ราชันเร้นลับ 396 : ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 396 : ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์ โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากกลับโลกจริง ฟอร์สนั่งลงบนโต๊ะอ่านหนังสือและปล่อยสมองให้ครุ่นคิดเรื่องตระกูลอับราฮัมอยู่พักใหญ่ ขณะเดียวกันก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำบางในหนังสือศาสตร์เร้นลับซึ่งตนเคยสับสนมานาน

แบบนี้นี่เอง… เป็นเหตุผลว่าทำไม มาดามอาริสาถึงไม่ยอมบอกให้มิสเตอร์ลอว์เรนซ์ทราบเรื่องการตายของสามี… เมื่อลองนึกภาพตาม ตระกูลอับราฮัมช่างน่าสงสารนัก…

ฟอร์สพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกเดินไปค้น ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ จากกองหนังสือจำนวนมาก เจตนาเตรียมคัดลอกสองบทแรกสังเวยให้แก่มิสเตอร์ฟูล

ขณะนั่งเขียน หญิงสาวต้องเข้าฌานและปรับลมหายใจให้สงบนิ่ง เพื่อมิให้จิตใจเกิดการสับสนว้าวุ่นหรือเข้าสู่ภาวะปั่นป่วนทางสมอง อิทธิพลจากประสบการณ์โลกวิญญาณรุนแรงและอันตรายถึงเพียงนั้น

ตัวอักษรมิได้แฝงพลังเวทมนตร์หรือพลังวิญญาณไว้เลย แต่เมื่ออ่านและจินตนาการตามเนื้อหา คล้ายกับอารมณ์ของเราถูกชักจูงอย่างรุนแรงจนสมองพร่ามัว… หลังจากเพ่งสมาธิเขียนห้านาทีเต็ม เราต้องนั่งพักนานถึงห้านาทีเต็มเช่นกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เราไม่อยากเกิดคลุ้มคลั่งในสภาพเช่นนี้…

ฟอร์สนำนาฬิกาพกออกมาวางตรงมุมโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อจับเวลา

บ้านตระกูลเบเกอร์ เมืองเงินพิสุทธิ์

เดอร์ริคลืมตาขึ้นและได้พบกับแสงสายฟ้าแลบวิบวับด้านนอกหน้าต่าง

ในสภาพพยุงตัวนั่ง เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวหนึ่งหน และไม่พบว่ามีใครกำลังสอดส่องจับตามองตนอยู่

แต่จากการคาดเดาสถานการณ์อย่างแม่นยำของแฮงแมน รวมถึงการให้เหตุผลอย่างฉะฉานจนเถียงไม่ออก เดอร์ริคเห็นพ้องว่าตนคงกำลังถูกจับตามองโดยผู้วิเศษบางคนจากสภาเมือง

เหนือสิ่งอื่นใด มิสเตอร์ฟูลมิได้โต้แย้งคำพูดของแฮงแมน…

เดอร์ริคลุกจากเตียงพลางบิดขี้เกียจตามกิจวัตรปรกติ ขณะเดียวกันก็นึกทบทวนคำแนะนำจากแฮงแมนอย่างละเอียด

“จวบจนปัจจุบัน ในเมื่อคุณยังได้รับอิสระโดยไม่ถูกลากตัวไปขังไว้ใต้หอคอย ให้ประเมินไว้ก่อนว่า ทางสภายังเลือกใช้วิธีจับตามองคุณอย่างสันติ บางที พวกเขาอาจกำลังหาวิธีอพยพชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งต้องคำสาป ผ่านทางตัวตนลึกลับนามอามนุด์—ผู้มาเยือนลึกลับจากภายนอกคนแรกในรอบหลายพันปี ฉะนั้น ถ้าคุณไม่ล้ำเส้น พวกเขาก็จะไม่ทำตัวกระโตกกระตาก เพื่อให้อามุนด์ไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ ฉะนั้น ผู้วิเศษซึ่งคอยจับตามองคุณจะไม่เข้าใกล้คุณมากนักในทางกายภาพ อย่างน้อยก็ในยามคุณลืมตาตื่น ด้วยเหตุนี้ ทางสภาเมืองคงยังไม่เห็นว่าคุณอาเจียนหนอนกาลเวลาออกมาแล้ว เครื่องพิสูจน์ก็คือ ท่าทีเย็นชาของผู้นำสูงสุดขณะคุณรายงานเรื่องความผิดปรกติของทีมสำรวจ โดยในลักษณะเดียวกัน พวกเขาคงสังเกตเห็นว่าคุณแอบประกอบพิธีกรรมบางอย่าง เพียงแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณสวดภาวนาถึงใคร ถ้าเป็นผม คงเลือกสงสัยอามุนด์ไว้ก่อน ด้วยเหตุผลข้างต้น คุณสามารถประกอบพิธีกรรมได้อย่างเปิดเผยหลังจากนี้ เพราะพวกเขาจะพุ่งเป้าความสงสัยไปหาอามุนด์แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม คุณต้องแสร้งทำเป็นระวังตัวให้มากขณะประกอบพิธีกรรม เพื่อให้พวกเขาไม่เกิดความเคลือบแคลง และเหนือสิ่งอื่นใด หลังจากลงมือเสร็จ คุณต้องเตรียมเข้ารับการทดสอบจากนักจิตวิเคราะห์ของสภาเมือง ส่วนจะผ่านไปได้อย่างไรนั้น ผมขอแนะนำให้คุณรับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล…”

จากคำแนะนำของแฮงแมน เด็กหนุ่มเดินวนรอบโต๊ะกลมสองหนและเริ่มจุดเทียนสร้างแท่นบูชา เตรียมประกอบพิธีกรรมรับมอบ

ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ท่ามกลางพระราชวังโบราณโอ่อ่า

ไคลน์นั่งจ้องเสาหินต้นใหญ่อย่างเหม่อลอย ฉากตรงหน้ามอบความรู้สึกคล้ายกับสถาปัตยกรรมของวิหารเอเธนส์จากโลกเก่า

เสาหินเหล่านี้เกิดจากจิตใต้สำนึกของเราจากโลกเดิม? ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย

ทันใดนั้น ดาวแดงแทนเดอะซันเริ่มยุบพองและส่องแสง ตามด้วยการก่อตัวเป็นประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน สายหมอกสีเทาด้านล่างจำนวนหนึ่งเริ่มไหลเวียนคล้ายกับมีการใช้พลังงานภายในห้วงมิติ

ขณะนั่งฟังเสียงสวดภาวนามายาดังซ้อนทับหลายชั้น ไคลน์ก้มมองดวงตาดำล้วนซึ่งถูกเตรียมไว้บนโต๊ะทองแดงยาวเบื้องหน้า

หวังว่าเดอะซันน้อยจะไม่ทำมันหาย… ไม่อย่างนั้น ชุมนุมทาโรต์คงต้องบอกลาเดอะเวิร์ลเป็นการถาวร…

หากไม่เพราะดวงตาดำล้วน ไคลน์ ผู้ยังไม่มีพลังของนักเชิดหุ่น คงไม่สามารถควบคุมเดอะเวิร์ลให้เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์จริง

หากสิ่งนี้สูญหาย ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เดอะเวิร์ลตาย ดีกว่าปล่อยให้สมาชิกคนอื่นมอง ‘กล’ ของตนออก

ขณะถอนหายใจยาว ชายหนุ่มเพ่งพลังวิญญาณเพื่อบงการสายหมอกสีเทา ให้ไหลเข้าไปในบานประตูมายาด้านข้างและทำการเปิดมันออก พร้อมกับสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อระหว่างมิติปัจจุบันกับโลกความจริง

ถัดมา ชายหนุ่มนำดวงตาดำล้วนวางลงในกล่องโลหะและปิดฝาสนิท ตามด้วยการโยนเข้าไปในรอยแยกกึ่งกลางบานประตูและกล่าวเสียงขรึม

“ห้ามสัมผัสวัตถุด้านในเด็ดขาด”

เมื่อพูดจบ ไคลน์ไม่เสียเวลาอยู่ในห้วงมิติสายหมอกนานนัก มันมั่นใจว่าเดอะซันคงยังไม่ลงมือในเร็ววัน และมิสเมจิกเชี่ยนคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการคัดลอกเนื้อหาสองบทแรกของหนังสือ

ชายหนุ่มห่อหุ้มร่างจิตด้วยพลังวิญญาณและเลือนหายไปจากห้วงมิติเหนือสายหมอก

เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์

ขณะเดอร์ริคเหลือบเห็นกล่องโลหะบนแท่นบูชา เด็กหนุ่มได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังตามมาอย่างเลื่อนราง :

“ห้ามสัมผัสวัตถุด้านในเด็ดขาด”

ห้ามสัมผัส…

เดอร์ริคเตือนสติตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ละเมิดข้อห้ามดังกล่าวโดยเด็ดขาด

หลังจากขอบคุณเดอะฟูลและมิสเตอร์เวิร์ล เด็กหนุ่มสิ้นสุดพิธีกรรมและหยิบกล่องโลหะขึ้นมาเปิดฝาสำรวจ

วัตถุด้านในคือดวงตาสีดำล้วนซึ่งปราศจากตาดำ เพียงจ้องมองก็ทำให้สมองเกิดความปั่นป่วน ขาวโพลน โงนเงน อืดอาดยืดยาด และได้ยินเสียงเพรียกอย่างเลือนราง

เมื่อร่างกายตอบสนองในด้านลบ เด็กหนุ่มรีบปิดฝากล่องและใช้มีดเงินสร้างกำแพงวิญญาณผนึกไว้ทันที

ถัดมา เดอร์ริคนำกล่องซ่อนไว้ในช่องกระเป๋าลับของเสื้อตัวนอก ตามด้วยการจัดแจงขวานเฮอร์ริเคนให้เข้าตำแหน่ง และเดินออกจากบ้านและตรงไปยังลานฝึกของเมือง

ทีมสำรวจยังคงถูกกักกัน

อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคยังไม่มีแผนลงมือในวันนี้ เพียงต้องการสำรวจสถานการณ์ให้รอบคอบและแน่ใจเสียก่อน อย่างไรก็ตาม หากสบโอกาสเหมาะเจาะ เด็กหนุ่มก็เตรียมลงมือโดยไม่ลังเล

เมื่อย่างกรายเข้าเขตลานฝึก เดอร์ริคเดินวนเขตกักกันหนึ่งรอบและสังเกตเห็นว่า สมาชิกทีมสำรวจล้วนจับกลุ่มยืนสนทนาราวสองถึงสามคน แต่เมื่ออีกฝ่ายตระหนักถึงสายตาจ้องมองจากบุคคลแปลกหน้า ทุกคนจะหยุดการกระทำทั้งหมดและยืนแน่นิ่งทันที บางกลุ่มเดินวนเวียนไปมาอย่างไรชีวิตชีวาราวกับซอมบี้

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปลดผนึกกล่องโลหะและให้พวกเขาสัมผัสถึงออร่าของวัตถุจากมิสเตอร์เวิร์ลเดี๋ยวนี้?

พวกเขาจะหันมามองเราด้วยสายตาเย็นชาอย่างพร้อมเพรียง?

เพื่อเดอร์ริคจินตนาการภาพทุกคนพลันหันขวับมาจ้องตนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์และปราศจากประกายดวงตา เด็กหนุ่มพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเข้าไปถึงก้นบึ้ง

มันถอนหายใจยาวสุดปอด พลางเตือนสติตัวเองให้ใจเย็นและไม่ตื่นตูมจนเกินไป

เมืองเงินพิสุทธิ์

ณ ยอดหอคอย ห้องผู้นำสูงสุด

น่าล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ผู้กำลังนั่งหลับตาเพื่อพักผ่อนสมอง พลันหันขวับไปมองเงาดำตรงมุมห้อง

จุดดังกล่าว เงาดำค่อยๆ ยืดตัวออกจากพื้นในลักษณะบิดเป็นเกลียว จนกระทั่งก่อตัวเป็นรูปทรงคล้ายมนุษย์สีดำสนิท

เงาดำพูดด้วยน้ำเสียงหวีดแหลมคล้ายโลหะเสียดสี

“ท่านผู้นำ เดอร์ริค·เบเกอร์ประกอบพิธีกรรมอีกแล้วขอรับ จากการสำรวจของผม คราวนี้เป็นพิธีกรรมรับมอบวัตถุบางชนิด หากเข้าใจไม่ผิด พิธีกรรมมีลักษณะคล้ายกับพิธีกรรมรับมอบซึ่งพวกเราทำกันเป็นประจำ เพียงแต่ว่า เดอร์ริคได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายเป็นกล่องโลหะสีดำ ผมมองไม่เห็นว่าวัตถุด้านในกล่องมีลักษณะเป็นเช่นไร แต่ออร่าของสิ่งนั้นได้มอบความรู้สึกอันตรายและชั่วร้ายสุดขีด”

เล่าถึงตรงนี้ เงาดำแสดงความเห็น

“ท่านผู้นำ ปลายทางพิธีกรรมต้องเป็นชายปริศนาคนนั้นแน่ พวกเราต้องรีบลงมือก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้! มิฉะนั้น เดอร์ริค·เบเกอร์อาจอัญเชิญเทพมารหรือตัวตนระดับเดียวกัน ลงมาทำลายเมืองเงินพิสุทธิ์จากภายใน!”

สีหน้าโคลินพลันอึมครึม มันลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินวนไปมาด้วยย่างก้าวเชื่องช้า

“รอดูไปก่อน… สำหรับปัจจุบัน พวกเรายังไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของบุคคลปริศนานามอามุนด์คนนั้น ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเขาถึงส่งร่างแยกมาเพียงหนึ่งหลังจากค้นพบตำแหน่งเมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งแต่สี่สิบปีก่อน แล้วเหตุใดถึงต้องให้ร่างแยกรอนานกว่าสี่สิบปีจึงค่อยเคลื่อนไหว หากเขามีเจตนาทำลายพวกเราให้สิ้นซากจริง ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเฝ้ารออย่างสูญเปล่านานกว่าสี่สิบปี… จริงไหม? ช่วยอดทนไปอีกสักพัก เขาอาจเป็นความหวังเดียวของเรา ความหวังในการรอดชีวิตจากเหตุการณ์วันโลกาวินาศ!”

เมื่อสิ้นเสียง สายฟ้าเส้นใหญ่พลันผ่าลงมาด้านนอกหน้าต่าง ช่วงมอบแสงสว่างวาบให้กับห้องทำงานบรรยากาศมืดสลัว

จนกระทั่งใกล้ตกเย็น เมื่อไคลน์ได้ยินเสียงสวดภาวนาจากมิสเมจิกเชี่ยน มันส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกเพื่อรับกระดาษเขียนเนื้อหาสองบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณ

ขณะกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ชายหนุ่มบรรจงพลิกกระดาษฉบับคัดลอกอ่านด้วยท่าทีผ่อนคลาย

ผ่านไปบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า ยิ่งอ่านถลำลึกลงไปมากเท่าใด ไคลน์ก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อตระหนักว่าตนถูกรบกวนทางสมองหนักหน่วง

เกิดอะไรขึ้น…?

ตัวอักษรพวกนี้ปราศจากพลังวิญญาณแฝงโดยสิ้นเชิง และกระดาษก็เป็นกระดาษธรรมดา ไม่ใช่สมบัติวิเศษแน่ แล้วทำไมจิตใจของเราจึงถูกรบกวน? ยิ่งไปกว่านั้น เรากำลังอยู่บนมิติสายหมอก แม้แต่ทวยเทพยังไม่มีพลังมากพอจะแผ่อิทธิพลเข้ามาได้…

ไคลน์ขมวดคิ้ว เอนกายพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลายพลางครุ่นคิด จนกระทั่งเริ่มตระหนักว่า อาการวิงเวียนของตนคลับคล้ายคลับคลากับเหตุการณ์บางชนิด

มันเริ่มเข้าใจสาเหตุ

หากมีการเขียนอธิบายรูปลักษณ์ของตัวตนระดับสูงไว้อย่างละเอียด ต่อให้เป็นการเขียนลงบนกระดาษธรรมดาด้วยอักษรธรรมดา แต่จิตใจของผู้อ่านก็สามารถเกิดความรู้สึกระคายเคืองได้เช่นกัน!

จากบรรดาตัวตนระดับสูงทั้งหมด หากใครได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับทวยเทพ ผลข้างเคียงจะไม่ใช่แค่อาการวิงเวียนแน่นอน

และถ้าหนังสือเล่มใดอธิบายลงลึกในรายละเอียดของตัวตนระดับเทพ ผู้อ่านทุกคนมีสิทธิ์กลายเป็นบ้า บางคนอาจเปลี่ยนอุดมคติและการนับถือศาสนา ส่วนในกรณีของผู้วิเศษ มีโอกาสสูงว่าจะประสบภาวะคลุ้มคลั่งกะทันหัน

หนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ถูกเขียนขึ้นโดยหนึ่งในบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม ผู้เขียนได้บันทึกประสบการณ์แปลกประหลาดซึ่งตนได้เห็นและได้ยินในโลกวิญญาณอย่างละเอียด

บทแรกกล่าวถึง ‘แสง’ ภายในโลกวิญญาณ โดยผู้เขียนเชื่อว่า แสงพิสุทธิ์เจ็ดสีของโลกวิญญาณจะอุดมไปด้วยองค์ความรู้มหาศาลในแต่ละขอบเขตโดยไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน และไม่ว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางไปยังหนแห่งใดในโลกวิญญาณ พวกเขาก็จะเห็นริ้วแสงพิสุทธิ์เจ็ดสีอยู่ด้านบนสุดเสมอ

เรื่องน่าประหลาดใจกว่านั้นคือ แสงทั้งหมดมีชีวิตและความนึกคิดเป็นของตัวเอง! เป็นราวกับกายจิตซึ่งทอดยาวปกคลุมทั่วโลกวิญญาณทุกซอกมุม

ในทางศาสตร์เร้นลับ พิธีกรรมพันธสัญญาลับบางชนิดได้กำหนดเป้าหมายไปยังริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดโดยตรง และหากอีกฝ่ายยอมตอบสนองพันธสัญญา ผู้ประกอบพิธีกรรมจะได้รับความรู้ในขอบเขตดังกล่าวจำนวนหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับส่วนใหญ่มักเรียกเจ็ดแสงพิสุทธิ์ว่า ‘อาจารย์’ หรือไม่ก็ ‘ครู’

การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดมีความสุขอย่างมาก พวกเขาถึงกับรวบรวมสิ่งมีชีวิตภายในโลกวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อก่อตั้งเป็นองค์กรลับสำหรับสอนสั่งมนุษย์นามว่า :

ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์!

สำหรับบทที่สองของหนังสือ นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมซึ่งเป็นผู้เขียน ได้บันทึกความทรงจำและประสบการณ์เมื่อครั้งได้พบกับ ‘แสงเหลือง’ ซึ่งมีนามว่า :

เวนิธาน

……………………