ภาคที่ 4 ตอนที่ 86 คำที่เคยรับปาก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

การทะเลาะกันครั้งนี้ถูกหยุดอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เอาชีวิตคน แต่คนในที่นั้นต่างมีรอยเขียวช้ำได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 

 

 

ส่วนสองฝั่งนี้ คนของกรมทหารม้าห้าเมืองใครก็จัดการไม่ได้จึงส่งไปหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วยกันเสีย 

 

 

ฮ่องเต้สดับฟังปุบก็ตรัสว่าทรงไม่ยุ่ง ให้พวกเขาไสหัวไปให้หมด 

 

 

“ข้าไม่ได้รับความยุติธรรม” 

 

 

แน่นอนจูจั้นไม่มีทางไป กลับคุกเข่านอกประตูตำหนักตะโกน 

 

 

“ข้าไม่ยอม ฝ่าบาทต้องลงโทษเขา เขาจ้องภรรยาข้าตาเป็นมัน ฟ้าสว่างกลางวันแสกๆ ก็แทะโลม…” 

 

 

เสียงดังจนขันทีและนางกำนัลที่เดินอยู่ไกลๆ ล้วนมองมา 

 

 

ขันทีทั้งหลายที่ยืนอยู่นอกตำหนักก็รีบร้อนร้องโธ่กันระนาว 

 

 

“ท่านชายของข้า” ขันทีใหญ่เอ่ยขึ้น “รีบหยุดโวยวายเถิด ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิอะไรเสียหน่อย” 

 

 

จูจั้นถลึงตาสบถ 

 

 

“เขาหน้าไม่อาย ไยข้าต้องไว้หน้าเขา เรื่องงามหน้าของเขาต้องให้ทุกคนรู้กันให้หมด” เขาเอ่ย 

 

 

ภรรยาของท่านถูกคนแทะโลม ท่านก็น่าภาคภูมิไปไม่ถึงไหนหรอก ขันทีทั้งหลายร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก 

 

 

“ข้าย่อมภาคภูมิสิ” จูจั้นเอ่ย “นี่บ่งบอกว่าภรรยาข้าเฉิดฉายจับตา นี่เป็นเรื่องดี ข้าถือเป็นเกียรติ” 

 

 

เหลวไหลอะไรกัน! ขันทีทั้งหลายอึ้งมองเขา 

 

 

“แต่ ความภาคภูมินี่เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่ใช่เหตุผลให้เขาลู่อวิ๋นฉีจ้องตาเป็นมันแทะโลมได้” จูจั้นสีหน้าจริงจังเอ่ย โขยกเขยกพุ่งไปข้างหน้า “ฝ่าบาท ข้าไม่ยอม ข้าถูกลู่อวิ๋นฉีตีขาหักแล้ว…” 

 

 

ขันทีทั้งหลายรีบร้อนโถมเข้าไปขวางเขา 

 

 

“ข้าว่าท่านชายท่านอย่าโวยวายเลย” 

 

 

“ฝ่าบาทกำลังเกษมสำราญ ท่านอย่าก่อความวุ่นวาย” 

 

 

“ระวังฝ่าบาทพิโรธขึ้นมาไล่ท่านไปแดนเหนือ ให้ท่านไม่ได้พบหน้าภรรยาท่านหนึ่งปี” 

 

 

บางทีประโยคนี้คงข่มขวัญจูจั้นแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วจึงเห็นลู่อวิ๋นฉีที่คุกเข่าเงียบสงบอยู่ด้านข้าง 

 

 

“เจ้าสุนัข เจ้ารอก่อนเถอะ เห็นครั้งหนึ่งตีเจ้าครั้งหนึ่ง” เขาคำรามเอ่ยเสียงเบา 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองก็ไม่มองเขาสักหน เพียงคุกเข่าตัวตรง 

 

 

จูจั้นก้าวยาวจากไป ยังมีสภาพถูกตีขาหักยกเท้าโขยกโขยกสักนิดอีกที่ไหน 

 

 

ขันทีทั้งหลายโล่งอกปาดเหงื่อ ส่งบรรพบุรุษคนนี้จากไปแล้วก็เรียบร้อยแล้ว 

 

 

พวกเขามองไปทางลู่อวิ๋นฉีอีกครั้ง 

 

 

“ใต้เท้าลู่ ฝ่าบาทไม่ได้ตำหนิ ท่านก็รีบกลับไปเถิด” พวกเขาเอ่ยพลางมองดวงหน้าบวมเขียวของลู่อวิ๋นฉี รวมถึงรอยเลือดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ข้างหู 

 

 

ไม่ตะโกนไม่ร้อง แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่น้อย 

 

 

“ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย 

 

 

บรรดาขันทีสบตากันทีหนึ่งจนปัญญายิ่งนัก ท่านชายจูรังควานตามตื๊อโหวกเหวกโวยวาย พวกเขายังกล้าตำหนิปนปลอบปนขู่ เพราะพวกเขารู้ว่าท่านชายจูคนนี้แม้บ้าบอ แต่ไม่มีทางทำอันใดพวกเขาคนรับใช้เหล่านี้ แต่ลู่อวิ๋นฉี… 

 

 

คนผู้นี้ไม่ส่งเสียงไม่พูดไม่โวยวายไม่ยินดีไม่โกรธเกรี้ยว แต่เหมือนอสรพิษในเงามืดตัวหนึ่งจับจ้องเจ้าอยู่ เจ้าไม่รู้ว่าเวลาใดประโยคใดล่วงเกินเขา แต่เขาจดจำเจ้าไว้แล้ว หลังจากนั้นก็กัดเจ้าคำหนึ่งอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งตายบนใบหน้าเจ้ายังมีรอยยิ้ม 

 

 

เขาไม่สนใจฐานะสูงต่ำ ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนางตำแหน่งสูงชนชั้นสูงมากอำนาจหรือบ่าวไพร่พ่อค้าหาบเร่ ขอเพียงมีเรื่องกับเขา เขาล้วนกัดไม่ไว้ไมตรีสักนิด 

 

 

ขันทีที่เคราะห์ร้ายในมือเขาไม่ใช่แค่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงที่ยังขังอยู่ที่องครักษ์เสื้อแพรจนถูกคนลืมเลือนไปหมดแล้วคนนั้น 

 

 

หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแล้วอย่างไร? คนโปรดที่องค์ไทเฮาให้ความสำคัญแล้วอย่างไร? ไม่พบหน้าหนึ่งเดือนองค์ไทเฮาก็โยนเขาออกไปจากสมองแล้ว ในสำนักแพทย์หลวงคนใหม่ก็เปลี่ยนคนเก่า ใครยังจดจำเขาได้ 

 

 

กระทั่งเขาชื่อว่าอะไร ขันทีหลายคนชั่วขณะยังคิดไม่ออกแล้ว 

 

 

คนน่ากลัวเพียงใด เรื่องน่ากลัวเพียงใด 

 

 

ยอมล่วงเกินวิญญูชนไม่ล่วงเกินคนถ่อย ก็คงเพราะเหตุนี้ล่ะนะ 

 

 

ขันทีทั้งหลายสบตากันทันที 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าท่านรอสักประเดี๋ยว พวกเขาจะลองดูอีกหน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่พูดไม่จาคุกเข่าตัวตรงมองขันทีผู้นั้นก้าวไวๆ จากไป เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป แสงตะวันเอียงเฉถึงมีขันทีรีบร้อนมา 

 

 

“ใต้เท้าลู่ ฝ่าบาทเรียกขอรับ” เขาแจ้ง 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีได้ยินก็ลุกขึ้น ทว่าเพราะคุกเข่านานเกินไปผนวกกับบนร่างบาดเจ็บถึงกับโซเซวูบหนึ่งลุกไม่ขึ้น ขันทีสองด้านรีบแย่งกันพยุง 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสะบัดพวกเขาออก โซซัดโซเซลุกขึ้นมุ่งไปข้างหน้า 

 

 

ขันทีทั้งหลายติดตามอยู่ข้างหลังไกลๆ 

 

 

“เพื่อสตรีคนเดียวคุ้มค่าหรือ?” ขันทีคนหนึ่งอดไม่ได้พึมพำเสียงเบา “คุณหนูจวินคนนั้นหน้าตาก็แค่นั้น อีกอย่างนิสัยก็ก้าวราวปานนั้นอีก จะเลี้ยงให้เชื่องได้อย่างไร” 

 

 

“เจ้านี่ไม่เข้าใจเสียแล้ว ยิ่งไม่ได้มาจึงยิ่งคิดถึง” ขันทีอีกคนหนึ่งยิ้มเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ม้าที่ยิ่งก้าวร้าวถึงยิ่งดึงดูดคนขี่” 

 

 

ขันทีคนนั้นกลอกตาใส่เขา 

 

 

“พูดเสียเหมือนเจ้าเข้าใจนัก เจ้ามีอะไรมากกว่าข้ารึ?” เขาเอ่ย 

 

 

ขันทีคนนั้นสบถแล้ว สองคนด่ากันเอะอะ มองลู่อวิ๋นฉีด้านหน้าเข้าไปในตำหนัก 

 

 

พลบค่ำฤดูร้อนในตำหนักอบอ้าวอยู่บ้าง 

 

 

“เจ้าก่อเรื่องอะไร?” ฮ่องเต้พิโรธตวาด “รังเกียจว่ายังไม่วุ่นวายพอรึ?” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเพียงคุกเข่าบนพื้นไม่พูดจา 

 

 

“ตอนนี้เฉิงกั๋วกงกำลังชื่อเสียงรุ่งเรือง ข้าไม่อาจตบหน้าเขา ยิ่งไม่อาจตบหน้าตนเอง” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นชา “เจ้าสร้างจุดอ่อนให้ผู้อื่นเล่นงานเช่นนี้ เฉิงกั๋วกงถือโอกาสกำจัดเจ้า ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะปกป้องเจ้าได้” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้น 

 

 

“ครานั้นฝ่าบาทเคยรับปากว่าจะยกองค์หญิงจิ่วหลิงให้กระหม่อม” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

ได้ยินคำว่าครานั้นสองคำ สีหน้าของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

 

 

“คุณหนูจวินคนนี้ไม่ใช่นางเสียหน่อย” พระองค์เอ่ยอย่างโกรธแค้นอยู่บ้าง “อีกอย่างพูดถึงนางข้าก็ให้เจ้าแล้ว นางตายไม่ใช่ความผิดของข้า” 

 

 

ไม่รอลู่อวิ๋นฉีเอ่ยวาจาก็ลุกขึ้นเดินกลับไปมา 

 

 

“นางต้องการสังหารข้า ข้าจะเก็บนางไว้ได้อย่างไร?” 

 

 

ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ คล้ายคิดถึงภาพตอนนั้นจนหวาดกลัวตามหลังอยู่บ้าง 

 

 

“ข้าเชื่อเจ้า แล้วก็เชื่อนาง ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะชักมีดออกมา ดีที่ข้าหลบไว!” 

 

 

พูดอยู่ก็หยุดเดิน 

 

 

“เรื่องครานั้นเจ้าสืบเรียบร้อยหรือยัง? นอกจากนางกำนัลคนนั้น ยังมีพรรคพวกคนอื่นหรือไม่?” 

 

 

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งเฉย “ปิงเอ๋อร์ฆ่าตัวตายแล้ว จิ่วหลิงก็ตายแล้ว สืบไม่ได้แล้วว่าพวกนางที่แท้พูดอะไรกัน” 

 

 

ฮ่องเต้พรูลมหายใจมองใบหน้าซีดขาวของลู่อวิ๋นฉี ท่ามกลางแสงอัสดงนี้ชวนให้กระทั่งพระองค์ก็ยังสยองอยู่บ้าง 

 

 

“อวิ๋นฉีเอ๋ย” พระองค์ตรัสเสียงอ่อนโยนอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าตัดใจไม่ได้ แต่ในเมื่อจิ่วหลิงมาฆ่าข้าแล้ว นั่นก็คือรู้ความจริงแล้ว จิ่วหลิงนิสัยเช่นไรเจ้าก็รู้ชัดเจนยิ่งนัก นางน่ะเป็นคนหัวดื้อคนหนึ่ง ทั้งยังป่าเถื่อนอยู่ข้างนอกจนชิน เจ้าไม่ฆ่านาง นางต้องฆ่าเจ้าแน่” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจแผ่วเบา 

 

 

“นาง เจ้าเก็บไว้ไม่ได้” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจา เพียงมองพื้น 

 

 

แผ่นหินเขียวท่ามกลางราตรีสะท้อนแสงวาววับ แต่เขาคล้ายมองเห็นสีเลือดซึมอยู่ข้างใต้ 

 

 

เก็บไว้ไม่ได้ 

 

 

เก็บไว้ไม่ได้หรือ? 

 

 

………………………………………. 

 

 

แสงอัสดงถดถอยไป ม่านราตรีเลิกเปิด ในพระราชวังกลายเป็นยิ่งมืดทึม ลู่อวิ๋นฉีเดินช้าๆ อยู่ในนั้น เดินออกจากประตูวัง พวกองครักษ์เสื้อแพรพลันแห่เข้ามา 

 

 

นอกจากม้า ยังจูงรถม้าคันหนึ่งมาด้วย 

 

 

“ใต้เท้านั่งรถเถอะขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงกล่อมเสียงเบา 

 

 

จูจั้นอยู่ในกองทหารมานานแล้วยังสังหารคนมามากมายปานนั้น ต่อยตีคนเหี้ยมอย่างที่สุด ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้บาดเจ็บอยู่ไม่เบาแน่นอน 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกลับไม่สนใจ เดินไปถึงหน้าอาชา 

 

 

“ใต้เท้าลู่” 

 

 

มีเสียงดังมาจากด้านหลัง 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีผินหน้าไปนิดหนึ่ง ปลายหางตามองเห็นในกรมขุนนางด้านข้างมีคนตัวสั่นงั่กๆ เดินออกมา 

 

 

“ใต้เท้าลู่โปรดรอก่อน ข้ามีของอยากยืมจากท่าน” หวงเฉิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน 

 

 

……………………………………….