บทที่ 321.2 นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำ ProjectZyphon
ยอมสวามิภักดิ์แก่หนันเยวี่ยน สำหรับอนาคตของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่ได้แย่เสมอไป ถึงอย่างไรหนันเยวี่ยนก็เป็นแคว้นแข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่พร้อมสำหรับการทำสงคราม ทว่ารากฐานทั้งหมดของถังเถี่ยอี้ในเป่ยจิ้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูล ภรรยา อำนาจทางการทหาร หรือชื่อเสียงก็ล้วนจะกลายเป็นฟองอากาศ ขุนนางบุ๋นบู๊ของหนันเยวี่ยนจะเคารพและเกรงใจเขาที่เป็นคนนอกคนหนึ่งได้สักเท่าไหร่?
ถึงอย่างไรถังเถี่ยอี้ก็เป็นคนที่มีฝีมือสูงและใจกล้า อีกทั้งเมื่อเทียบกับปี้เซิ่งที่แก่ชราแล้ว แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นเสาหลักของเป่ยจิ้นที่อายุแค่สี่สิบกว่าปีย่อมต้องมีกำลังวังชาที่เปี่ยมล้นมากกว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่เลือกไปหลบอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเฉิงหยวนซาน กลับกันยังเลือกไปหอสุราที่มีการค้าคึกคักแห่งหนึ่ง เรียกหาเหล้าชั้นดี นั่งฟังคนเล่านิทานเล่าเรื่องราว คนเล่านิทานเป็นผู้เฒ่าวัยชรา เล่าเรื่องเก่าปีมะโว้ ถังเถี่ยอี้กลับฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าหากวันหน้าได้เป็นขุนนางของหนันเยวี่ยนดูท่าก็คงไม่เลวเหมือนกัน
สักวันหนึ่ง ในอาณาเขตของสี่แคว้นจะต้องพากันกล่าวขานถึงชีวิตบนหลังม้าของเขาถังเถี่ยอี้
ถังเถี่ยอี้ดื่มเหล้า หรี่ตาลง จิตใจเคลิบเคลิ้มล่องลอยไป
โจวเฝยและลู่ฝ่างยังอยู่ที่ร้านเหล้าข้างทางดื่มเหล้ารสชาติย่ำแย่ รอคอยให้ศึกบนหัวกำแพงเมืองปิดฉากลง
เมื่อมารเฒ่าติงและอวี๋เจินอี้ลงมือ บุคคลคนคนหนึ่งที่เดิมทีหลุดออกจากสถานการณ์นี้ไปแล้วกลับเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจอีกครั้ง
คนผู้นั้นก็คือ ถงชิงชิงปรมาจารย์ใหญ่แห่งหอจิ้งซิน
ก่อนหน้านี้ยาเอ๋อร์ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวถามขึ้นอย่างใคร่รู้ โจวเฝยกับลู่ฝ่างต่างก็ไม่สนใจจะตอบ ทว่าเมื่อยาเอ๋อร์เงียบไป โจวเฝยกลับหัวเราะเป็นฝ่ายพูดถึงเจ๋อเซียนที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดผู้นี้ขึ้นมาเอง ดูเหมือนโจวเฝยจะนึกอะไรออกจึงชำเลืองตามองยาเอ๋อร์ แล้วเล่าเรื่องราวบางอย่างของถงชิงชิงตอนที่อยู่ที่อื่นให้โจวซื่อฟัง
หลังจากฟังจบ หนุ่มปักบุปผาก็รู้สึกเพียงว่านี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี
หนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ที่อนาคตไร้ขีดจำกัด อีกหนึ่งคือเจ้าหอจิ้งซินที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ
นิสัยของคนทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว
บ้านเกิดของบิดาโจวเฝยมีสำนักแห่งหนึ่งที่เรียกว่าภูเขาไท่ผิง บนภูเขามีนักพรตหญิงคนหนึ่งที่พรสวรรค์การฝึกตนสูงล้ำ โชคดีอย่างถึงที่สุด วาสนาก็ลึกล้ำ สร้างความอิจฉาให้แก่ผู้คน
แจกันสมบัติทวีปมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าสำนักโองการเทพ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่านาง คนทั้งสองมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงถูกเรียกขานว่าคนผู้นี้ที่สอง
นักพรตหญิงคนนี้มีน้ำใจและมีความจริงใจ นิสัยองอาจห้าวหาญ หากพบเจอเรื่องอยุติธรรมก็จะต้องซักไซ้เอาความให้ถึงที่สุด มองความเป็นความตายเป็นเรื่องเล็ก ละเมิดเจตจำนงเดิมของผู้ฝึกตน อาจารย์ผู้มีพระคุณเคยตักเตือนด้วยความหวังดีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำให้นางสั่นคลอนได้ ทุกครั้งที่เตือน นางก็จะทำตัวสงบเสงี่ยมแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมาเป็นอีหรอบเดิม ไม่ว่าเรื่องอยุติธรรมใดบนโลก ขอแค่นางได้ไปพบไปเห็นก็จะปรี่เข้าไปจัดการทันที อีกทั้งมีหลายครั้งที่ต้องลากตัวคนบงการเบื้องหลังออกมาถึงจะยอมเลิกรา ส่วนข้อที่ว่าการที่นางชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจะถ่วงการฝึกตนหรือไม่? นางไม่สนใจแม้แต่น้อย จะพาตัวไปตกอยู่ในอันตรายหรือไม่? นางก็ยิ่งเหลือกตามองสูงใส่ ด้วยสาเหตุนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาไท่ผิง สำนักใบถงและสำนักกุยหยกชะงักงัน กับสำนักฝูจีก็ยิ่งเหมือนน้ำกับไฟ เพียงแต่เห็นแก่หน้าของสำนักศึกษา ทั้งสองฝ่ายจึงพยายามระงับอารมณ์ไม่ลงไม้ลงมือต่อกัน
เข่นฆ่ามาตลอดทาง ทั้งยังตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางกลับยังอยู่รอดปลอดภัยจนกระทั่งได้เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด
เป็นเหตุให้แม้แต่บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาไท่ผิงซานที่เป็นอัจฉริยะบุรุษซึ่งเก็บตัวเงียบไม่เผยตัวต่อโลกภายนอก รวมถึงอาจารย์อาไท่ซ่างเจ้าประมุขคนปัจจุบันต่างพันตกอกตกใจกับการเลื่อนขอบเขตของนาง
เซียนดินในสายตามนุษย์ทั่วไปอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดในภูเขาไท่ผิงมีมากถึงเก้าคน แต่ละคนสามารถมองทวีปหนึ่งด้วยสายตาเย่อหยิ่ง ทว่ากลับไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ดเลยแม้แต่คนเดียว
มีเพียงบุรพาจารย์ขอบเขตสิบสองเซียนเหรินคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยประคับประคองสถานการณ์
หันกลับไปมองทางสำนักใบถงและสำนักกุยหยก ไม่ว่าจะขอบเขตเซียนเหรินหรือขอบเขตหยกดิบก็ล้วนมีหมด บวกกับสำนักฝูจีที่ทั้งสามีและภรรยาล้วนเป็นขอบเขตหยกดิบแห่งนั้น อย่างน้อยในด้านการสืบทอดและด้านขอบเขตก็ไม่เคยขาดช่วง
ดังนั้นนักพรตหญิงคนนี้ของภูเขาไท่ผิงจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
หากนางเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้สำเร็จ ผนวกรวมเข้ากับโชควาสนาที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด ถ้าเช่นนั้นความสำเร็จในท้ายที่สุดของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปก็จะถูกนางข่มทับอยู่หนึ่งระดับ
บุคคลเช่นนี้ หากเอาไปไว้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นขนหงส์เขากิเลน เพราะมีหวังต่อมหามรรคา ซึ่งคนนอกต่างก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
พูดกันง่ายๆ ก็คือมีโอกาสที่จะขยับเข้าไปยืนใกล้สิบคนในใต้หล้า หรืออาจถึงขั้นเบียดคนคนหนึ่งให้ตกจากอันดับแล้วเข้ายึดครองตำแหน่งแทน
และในสิบคนนั้นก็มีเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ มีเจ้านครจักรพรรดิขาว และคนล่าสุดก็คือเทพีสงครามแห่งราชวงศ์ต้าตวน เผยเปย
นอกจากสิบคนนี้ แปดทวีปที่เหลือในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าต้องมีบุคคลที่ตบะเลิศล้ำเป็นหนึ่งอยู่ในแต่ละทวีป ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอันผู้มากความรู้แห่งทักษินาตยทวีป เทพแห่งโชคลาภแห่งธวัลทวีป ทว่าเมื่อเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว บรรยากาศโดยภาพรวมกลับต่างกันอักโขนัก
……
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่หอบตำรามาเต็มอ้อมอกวิ่งห้อออกจากลานบ้านไปถึงตรอกด้านนอก
นางอายุไม่มาก แต่เคยเห็นคนชั่วร้ายทำเลวมาไม่น้อย บางเรื่องก็ร้ายต่อผู้อื่น บางเรื่องก็ร้ายต่อตัวนางเอง แล้วก็เคยเห็นคนดีมาบ้าง บางคนทำดีก็ไม่ได้ดีตอบแทน คนดีบางคนก็เปลี่ยนไปเป็นคนชั่วร้าย
นางเคยเจอกับผู้เฒ่าบ้าคนหนึ่งที่เดินถือโคมไฟเตร่ไปทั่วทิศเกินครึ่งวัน พร่ำพูดว่าโลกนี้ดำมืดเกินไป หากไม่ถือโคมจะมองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นคน
นางวิ่งจนเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ก็ราวกับว่าบนท้องฟ้าแขวนโคมไฟดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่าง ยามฟ้าดินหมุนโคจรก็ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ขาดมันไม่ได้ แต่นางชอบมันในช่วงหน้าหนาวและฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น หากสี่ฤดูในหนึ่งปีไม่มีอากาศหนาวเลย นางก็ไม่ชอบมันสักนิด อยากให้บนท้องฟ้าไม่มีมันไปเลยด้วยซ้ำ พอมีมัน รอบด้านก็สว่างเกินไป เรื่องหลายอย่างที่นางทำจึงง่ายที่จะถูกคนจับได้ ยกตัวอย่างเช่นขโมยของกิน
ตอนที่นางเดินผ่านบ่อน้ำบ่อหนึ่งก็หยุดฝีเท้า นั่งพักบนปากบ่อ หอบหายใจฮักๆ
ชำเลืองตามองบ่อน้ำเห็นเพียงความมืดมิด
นางเตรียมจะถ่มน้ำลายลงไปในนั้นก็พลันเงยหน้าขึ้น พบว่าข้างกายมีผู้เฒ่าสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่
เขาสวมเสื้อผ้าที่น่าจะเรียกว่าชุดคลุมเต๋า เมื่อแหงนหน้ามองเขา เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน ราวกับว่าถ้าตัวเองขยับนิ้วข้างหนึ่ง หรือแม้แต่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว นางก็จะต้องตายทันที
ตั้งแต่เล็กจนโตนางแทบจะไม่เคยกลัวใครขนาดนี้มาก่อน
นักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของกวานเต๋าหรือของชุดคลุมเต๋าก็ล้วนพบเห็นได้ยาก
ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ผิวหนังของนักพรตเฒ่าส่องประกายแสงเรืองรอง บนชุดคลุมไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว
ราวกับว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้ยืนอยู่ใต้ฟ้าดินแห่งนี้
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กหญิงร่างผอมแห้งแล้วยื่นมือออกมาคว้าจับกลางอากาศหนึ่งครั้ง เด็กหญิงร่างเล็กบางที่แอบชำเลืองมองเขาอยู่ตลอดเวลาร้องโหยหวน โยนหนังสือที่อยู่ในอ้อมอกทิ้ง มือสองข้างกุมดวงตาเอาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา เรือนกายผอมแห้งลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น
เพราะเมื่อครู่นี้นางเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เฒ่าคนนั้นเอื้อมมือไปคว้าดวงอาทิตย์จากบนฟ้ามาคีบไว้ในระหว่างร่องนิ้วของเขา
เด็กหญิงร่างผอมแห้งเจ็บปวดจนร่างที่กลิ้งอยู่กระแทกชนบ่ออย่างแรง
นักพรตเฒ่าไม่สะทกสะท้าน ทั้งไม่รู้สึกว่าน่าสงสาร แล้วก็ไม่รู้สึกรังเกียจ มีเพียงความเฉยชาเท่านั้น
ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์ เคยเห็นมาหนึ่งครั้งหลายครั้งกับเคยเห็นมานับพันนับหมื่นครั้งเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นักพรตเฒ่าคนนี้เพียงแค่ก้มหน้าลงจ้องมองดวงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างสองนิ้ว
มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริงที่จับต้องได้จริง กลับเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าเวลานี้ต่างหากที่เป็นของปลอม
นักพรตเฒ่าเอา ‘ไข่มุก’ เม็ดนี้เก็บไว้ในชายแขนเสื้อชั่วคราว ครั้นจึงเงยหน้ามองกำแพงเมืองทางทิศใต้แวบหนึ่ง
‘ติงอิง’ ผู้นี้ทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย อวี๋เจินอี้กับจ้งชิวนับว่ายังพอถูไถ แต่คำว่าถูไถนี้ไม่ได้บอกว่าการแสดงออกของอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวดีอะไร แต่เป็นเพราะเดิมทีนักพรตเฒ่าก็ตั้งความหวังกับพวกเขาไว้ต่ำอยู่แล้ว
แต่ติงอิงนั้นไม่เหมือนกัน
ต้องรู้ว่าติงอิงผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูกหรือนิสัยใจคอก็ล้วนใกล้เคียงกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นมากที่สุด หรือหากจะพูดว่าเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปก็ถือว่าเป็นของเลียนแบบที่มีความใกล้เคียงกับของจริงที่สุดแล้ว
ไม่ว่าจะไปอยู่ในที่ใดของใต้หล้าไพศาล ติงอิงก็ล้วนต้องเป็นขอบเขตสิบสองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็หยุดอยู่เพียงเท่านี้ คอขวดเห็นชัดเจนเกินไป ของเลียนแบบที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งมักจะไม่ได้ย่ำแย่สักเท่าไหร่ แต่จะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว?
นักพรตเฒ่ายังคงรู้สึกไม่พอใจ
ติงอิงที่ดึงเอาข้อดีของเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนสามคนมารวมให้เป็นหนึ่ง กลับยังไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้
และในวินาทีที่เขาเตรียมจะสะบัดชายแขนเสื้อตบศีรษะติงอิงให้เละนั้นเอง นักพรตเฒ่ากลับเกิดความลังเล เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ผู้เฒ่ายืนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว มองไปเห็นถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา (พื้นที่มงคลดอกบัวชื่อภาษาจีนใช้คำว่าโอ่วฮวาที่แปลว่าดอกบัว ส่วนถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็แปลว่าดอกบัวเช่นเดียวกัน)
ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลสองแห่งนี้เชื่อมต่อกัน การดำรงอยู่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ในสี่ใต้หล้าใหญ่มีแค่สองสถานที่นี้เท่านั้น
นักพรตเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำมองประสานสายตากับนักพรตที่ ‘หลุบตามองต่ำมายังพื้นที่มงคล’ ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นชายแดนระหว่างพื้นที่มงคลดอกบัวกับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็พลันถูกดึงขยายจนเกิดเป็นร่องลึกกว้างนับพันนับหมื่นจั้ง
นักพรตเฒ่าแค่นเสียงเย็นชา
‘ไข่มุก’ ที่อยู่ในชายแขนเสื้อเม็ดนั้นเผาไหม้ชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าของเขาจนเป็นรูโหว่
ทว่าในถ้ำสวรรค์ที่เต็มไปด้วยบ่อดอกบัวแห่งนั้นก็มีใบบัวมากมายแห้งเหี่ยวไปเช่นกัน
ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำถอนสายตากลับมา เพียงไม่นานชายแขนเสื้อก็กลับมาเป็นปกติ เชื่อว่าบ่อบัวของที่แห่งนั้นก็คงไม่ต่างกัน
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่อยู่ข้างเท้านักพรตเฒ่ายังคงร้องไห้จ้าอยู่บนพื้น ความรู้สึกจ้องมองแสงอาทิตย์ในระยะประชิดเช่นนั้นตราตรึงล้ำลึกลงไปไกลยิ่งกว่าจิตวิญญาณ หากไม่เป็นเพราะโชคดีในโชคร้าย ได้มาหลบอยู่ใน ‘ร่มเงา’ ของนักพรตเฒ่าพอดี อดีตชาติและชาติหน้าของนางจะต้องแหลกสลายกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที
นักพรตเฒ่าสบถอย่างขุ่นเคือง “เหล่าซิ่วไฉ เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือไง?!”
—–