บทที่ 199 หอคอยแห่งเรือนจำเปิดใช้งาน ! (ปลาย)
บัดนี้เยี่ยฉวนเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดสตรีลึกลับจึงไม่ยอมให้เขาเปิดใช้งานหอคอยแห่งเรือนจำ เพราะจนเดี๋ยวนี้เยี่ยฉวนยังไม่สามารถทำให้หอคอยเปิดใช้งานได้ ยิ่งพยายามฝืนเปิดการใช้งาน มีหวังคงได้ตายจริงแน่ !
ชายหนุ่มรวบรวมสติพลางสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและหยุดคิดถึงการเปิดใช้พลัง !
เพราะยิ่งคิด กลับยิ่งกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัวเร็ว !
เมื่อเวลาผ่านไปเยี่ยฉวนค่อยรู้สึกดีขึ้นเป็นลำดับ จากนั้นจึงล้วงหยิบเอาตุ๊กตาไม้แกะสลัก เป็นรูปเด็กหญิงละม้ายคล้ายน้องสาว
เยี่ยหลิง !
ชายหนุ่มเฝ้านั่งจับลูบไล้ตุ๊กตาไม้แกะสลักอย่างเบามือ ปากพูดพึมพำแผ่วเบา “พี่ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูก ที่ให้น้องไปอยู่ที่นั่น…”
ขณะที่พูดกับตนเองอยู่นั้น สายตาวาววับทอประกายแน่วแน่ “สำนักเหมันตอุดร… ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่… คอยพี่อยู่ที่นั่นนะ แล้วพี่จะรีบไปหา สักวันหนึ่งพี่จะทำให้คนที่รังแกเจ้าไม่กล้ามาทำร้ายเจ้าอีก ให้มันได้รู้เสียบ้างว่าเจ้าเป็นน้องของพี่ !”
หลังจากนั้น จึงวางค่อยตุ๊กตาไม้ลงทางด้านหนึ่ง “ข้าต้องฝึกให้หนัก !”
“ข้าต้องฝึกให้หนัก !”
“ข้าต้องฝึกให้หนัก !”
เยี่ยฉวนฝีกฝนอย่างหนักเพื่อเพิ่มความกล้าแกร่งให้แก่ตนเอง เมื่อเขาแข็งแกร่งพอ เขาก็จะสามารถปกป้องคนที่เขาต้องการปกป้อง และขยับเข้าใกล้คนที่เขาใฝ่ถวิลหา ! หากปรากศจากความแข็งแกร่งเสียแล้ว สิ่งที่มุ่งหมายก็คงเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ!
ภายในห้องพัก โม่อวิ๋นฉีและคนอื่น ๆ ต่างกำลังคิดในสิ่งเดียวกัน ทุกคนรับรู้ได้ถึงวิกฤติที่กำลังคืบคลานเข้ามา !
วิกฤตร้ายแรง !
ช่วงที่พวกเขาต่อสู้กันในสถานที่แห่งความลับ ทุกคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แม้แต่เยี่ยฉวนเองยังเกือบพลาดท่าเสียทีหลายต่อหลายหน !
ถ้าวันนี้ไม่ตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ต่อไปพวกเขาไม่ใช่แค่เกือบตาย แต่คงได้ตายจริง !
ซึ่งครานี้ มันก็คงเป็นผลจากเหล่าบรรดายอดอัจฉริยะและยอดคนจากที่ต่าง ๆ ที่มาล้างแค้น !
ช่องว่าง ! ทุกคนยอมรับว่ามีช่องว่างกว้างใหญ่เหลือเกิน ระหว่างพวกของเยี่ยฉวนกับบรรดาสุดยอดฝีมือและยอดคนพวกนั้น !
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เพื่อสถานศึกษาฉางหลานและเพื่อตนเอง ทุกคนต้องทุ่มเทฝึกฝนให้จงหนัก !
ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยฉวน หรือโม่อวิ๋นฉีและคนอื่น ภายในหัวจิตหัวใจของทุกคนเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น !
อีกสองวันถัดมา เรือเหาะได้พาพวกเขากลับมาถึงเมืองหลวง !
ทันทีที่เรือเหาะเทียบท่าจอด เยี่ยฉวนและสหายทั้งสามก็ลงมาเหยียบแผ่นดินเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย แต่คนทั้งสี่ไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปสถานศึกษาฉางหลานในทันที กลับตรงไปยังสถานศึกษาฉางมู่ !
ตลอดระยะทางที่คนทั้งสี่เดินเท้า มีชาวเมืองเฝ้าติดตามเพิ่มเข้ามาตลอดทาง
แน่นอน คนส่วนใหญ่ชอบความสนุกตื่นเต้น !
ทันทีที่เยี่ยฉวนและคนอีกสามคนกลับมาถึง ข่าวพลันแพร่สะพัดกระจายไปทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าโรคระบาด ดังนั้นคนที่ติดตามพวกเขาไปสถานศึกษาฉางมู่จึงยาวเหยียดเป็นขบวน…
ด้านอาจารย์ใหญ่จี้ เขามิได้ร่วมขบวนไปฉางมู่พร้อมกับพวกเยี่ยฉวน แต่มุ่งหน้ากลับสถานศึกษาฉางหลาน !
ผู้เฒ่าเดินผ่านหอโถงฉางหลาน ตรงไปยังหอหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังภูเขา เมื่อเข้าไปภายในหอ ชายชราจึงจัดการจุดกระถางกำยานสีดำสามใบซึ่งวางเรียงกัน ไม่นานต่อมา ปรากฏภาพพร่าเลือนของชายวัยกลางคนท่ามกลางกลุ่มควันพวยพุ่ง ก่อนจะกระจายหายไปในอากาศ
ชายวัยกลางคนมองหน้าอาจารย์ใหญ่จี้ด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าสินะที่ขึ้นธูปสาส์นกำจาย ! มีอะไรก็ว่ามา ?”
อาจารย์ใหญ่จี้กระแทกกำปั้นแสดงคารวะต่อคนที่เพิ่งปรากฏเบื้องหน้า “ข้าคือจี้อวิ๋น มาจากสถานศึกษาฉางหลานแห่งแผ่นดินชิง วอนขอความช่วยเหลือจากสำนักใหญ่ ข้า…”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วทันควันที่ได้ยินคนพูด จึงมิฟังจนจบ แต่กลับเอ่ยถามขัดจังหวะ “ว่าไงนะ แผ่นดินชิง ? สถานศึกษาฉางหลาน ?”
อาจารย์ใหญ่จี้พยักหน้า “ขอรับ !”
อีกฝ่ายเขม้นมอง พลางกวาดสายตามองอาจารย์ใหญ่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคือ จี้อวิ๋น คนที่ออกจากสำนักใหญ่และยังขู่เข็ญให้อาจารย์ใหญ่ขอขมาต่อเจ้าด้วยสินะ !”
ผู้เฒ่าเงียบเฉย
ชายวัยกลางคนพูดเสียงเหยียดหยัน เย็นชา “เมื่อหลายปีก่อน เจ้าเป็นคนเย่อหยิ่งมั่นใจในตัวเอง ทว่าตอนนี้กลับต้องมาขอความช่วยเหลือจากสำนักใหญ่งั้นหรือ ? ท่าทางยโสของเจ้าหายไปไหนเสียหมด ? จี้อวิ๋นคนจองหองอวดดี กล้าออกจากสำนักใหญ่ไปอยู่เสียที่ไหน ?”
อาจารย์ใหญ่จี้ยังคงนิ่งเงียบ
เสียงเย็นชาของชายวัยกลางคนพูดต่อไป “เจ้าคงไม่รู้ว่าถูกลบชื่อออกจากสำนักใหญ่แล้ว เวลานี้เจ้าไม่ใช่คนของสถานศึกษาฉางหลาน ส่วนสถานศึกษาฉางหลานแห่งแผ่นดินชิง ในฐานะที่ข้าเป็นตัวแทนของฉางหลาน ข้าขอเตือนไว้เสียตรงนี้ ว่าสถานศึกษาฉางหลานไม่เคยมีสาขาในแผ่นดินชิง ทั้งไม่อนุญาตให้เจ้าเปิดสถานศึกษาฉางหลานสาขาในแผ่นดินชิงด้วย หากยังไม่เชื่อฟัง ข้าจะไม่ไว้หน้าอีก !”
กล่าวจบ ร่างคนเลือนหายไปทันที
“ข้าถูกลบชื่อออกจากสำนักใหญ่แล้วงั้นหรือ !”