ภาคที่ 1 บทที่ 68 ความเป็นมาของเนินกลบวิญญาณ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 68 ความเป็นมาของเนินกลบวิญญาณ (ส่วนที่ 4)

ยามเมื่อราตรีมาถึง สัมผัสคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากตราประทับอสรพิษควันก็พลันบังเกิด ซูเฉินรู้ในทันทีว่ากู่ชิงลั่วเดินทางมาหาตน

กู่ชิงลั่วรู้ได้ว่าเขากลับมาแล้วอย่างฉับไวเช่นนี้ ย่อมหมายความว่านางคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของตนอยู่ตลอด

ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงเดินออกจากห้องไปยังภูเขาด้านหลัง

หลังจากเดินผ่านป่าเล็ก ๆ มา เขาก็มาถึงสระน้ำอันแสนคุ้นเคย เด็กหนุ่มเห็นกู่ชิงลั่วกำลังแกว่งเรียวขางามอยู่ในสระน้ำ

เมื่อได้ยินเสียง นางก็หันมาทางซูเฉิน บนใบหน้ามีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นในพลัน “ออกไปเล่นสนุกข้างนอกจนพอใจ ยังจำทางกลับบ้านได้อีกหรือ?”

ซูเฉินหัวเราะ “เหตุใดคำพูดเจ้าถึงฟังดูแปลกประหลาดนัก? เจ้าพูดยังกับหญิงมีสามีแล้วที่ลูก ๆ พากันออกจากเรือนไปหมดแล้วอย่างนั้นเลย”

กู่ชิงลั่วหน้าแดง “ดีมาก เจ้ากล้าล้อเลียนข้าเช่นนี้”

นางพูดพลางหยิบใบไม้ขึ้นมาแล้วซัดไปทางซูเฉิน

ร่างของซูเฉินหลบเลี่ยงกระสุนใบไม้พลิ้วไสวราวกับสายลม เขาไม่เหลือบมองใบไม้ที่พุ่งเข้ามาด้วยซ้ำ ทว่าร่างกายของเด็กหนุ่มกลับสามารถหลบใบไม้ที่ถูกซัดเข้ามาได้ด้วยการขยับเพียงแผ่วเบา

นัยน์ตากู่ชิงลั่วเป็นประกาย “หืม? ก้าวย่างหมอกอสรพิษเจ้าคล่องตัวขึ้นมาก แต่เหตุใดข้าถึงสัมผัสได้ถึงพลังต้นกำเนิดกัน?”

พูดไปนางก็ซัดใบไม้อีกหลายใบไปทางซูเฉิน

ซูเฉินใช้การเคลื่อนไหวแบบเมื่อครู่หลบการโจมตี เขาหลับตาลง ความสามารถในการจับเสียงการเคลื่อนไหวผ่านลมเมื่อครั้งตาบอดยังไม่ลดลง ทั่วทั้งร่างพลันได้รับการเสริมพลัง เด็กหนุ่มพลิกฝ่ามือซัดออกไปเบื้องหน้าเพื่อสร้างคมมีดขึ้นมา ถึงจะเหมือนการใช้ฝ่ามือซัดอากาศธรรมดา แต่ก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น คมมีดที่ถูกสร้างขึ้นจากมวลอากาศถูกซัดไปทางกู่ชิงลั่วโดยพลัน

กู่ชิงลั่วตกตะลึง นางใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษก่อนจะพลิกตัวหลบคมมีดนั้นได้ คมมีดนั่นซัดโดนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง ส่งผลให้ลำต้นสั่นไหวอย่างรุนแรง

“เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแล้วหรือ?” กู่ชิงลั่วโพล่งขึ้น

ครั้งก่อนที่ซูเฉินกลับมา เขาได้พบกู่ชิงลั่วเพียงไม่กี่ครั้ง ครานั้นเด็กหนุ่มยังไม่ได้เผยเรื่องที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดออกไป ตอนนี้ที่เวลาสามเดือนได้ผ่านพ้นไป ถึงเวลาที่เขาสามารถบอกความจริงข้อนี้แก่นางได้แล้ว ถึงความเร็วจะมากกว่าปกติไปสักหน่อยแต่ก็ไม่ต่างมากนักและสามารถยอมรับได้

“ไม่แปลกที่ก้าวย่างหมอกอสรพิษของเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นมากเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าสัมผัสได้ถึงด้านที่ไม่ธรรมดาของก้าวย่างหมอกอสรพิษแล้วใช่หรือไม่?” กู่ชิงลั่วกล่าว มือทั้งสองพาดอยู่ด้านหลัง ดูท่าทางพึงพอใจยิ่ง

“ก้าวย่างหมอกอสรพิษของคุณหนูกู่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ถึงข้าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็สามารถสัมผัสได้” ซูเฉินหัวเราะ

“ฮึ่ม” กู่ชิงลั่วกลอกตาใส่ซูเฉิน

คนทั้งคู่นั่งคุยเรื่องต่าง ๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่กู่ชิงลั่วจะเอ่ยขึ้น “ข้ามาพบเจ้าวันนี้เป็นเพราะข้าได้ข้อมูลเกี่ยวกับเนินกลบวิญญาณมา”

“อย่าเพิ่งบอก ให้ข้าลองคาดเดาดู อย่างแรกคือเนินกลบวิญญาณเป็นชื่อสถานที่สถานที่หนึ่งใช่หรือไม่?” ซูเฉินกล่าว

“ถูกต้อง”

“เช่นนั้นคงเป็นสถานที่ในเมืองหลินเป่ยใช่หรือไม่?”

“นี่เจ้ารู้ได้อย่างไร?” กู่ชิงลั่วถามด้วยความสงสัย

ซูเฉินตอบ “เพราะผู้อาวุโสซางพยายามหลอกใช่หลินเซี่ย หลินเซี่ยไม่ใช่คนใหญ่โตที่มีอำนาจล้นมือ หากเขาจงใจเอ่ยเรื่องนี้ให้หลินเซี่ยฟังแสดงว่าหลินเซี่ยต้องมีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หลินเซี่ยเป็นคนในตระกูลหลินที่มีอำนาจเพียงในเมืองหลินเป่ย ดังนั้นข้าจึงเดาว่าเนินกลบวิญญาณน่าจะอยู่ในเมืองหลินเป่ย”

“เฉียบแหลมนัก” กู่ชิงลั่วหัวเราะก่อนประกบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน “เจ้าว่าต่อสิ”

“อย่างที่สามคือมันน่าจะเป็นซากโบราณ”

“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

“เพราะอาณาจักรทั้งเจ็ดของเผ่ามนุษย์ในปัจจุบันไม่มีสถานที่อย่างเนินกลบวิญญาณอยู่”

หลังจากกลับมามองเห็น ซูเฉินก็ได้อ่านบันทึกโบราณหลายเล่ม เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในหลากหลายอาณาจักร ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่พบสถานที่ที่มีชื่อว่าเนินกลบวิญญาณเลยแม้สักแห่ง และเมื่อค้นพบว่าองค์กรนั้นคืออารามนิรันดร์ เขาจึงรู้ได้ว่าสถานที่นี้อาจจะเป็นสถานที่โบราณ แต่ไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่

ที่สำคัญคือซูเฉินรู้ว่าพวกมันคือองค์กรของเผ่าอาร์คาน่า

องค์กรเผ่าอาร์คาน่าทุกแห่งมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือต้องการฟื้นคืนความรุ่งเรืองแต่กาลก่อนของอาณาจักร และโค่นล้มการปกครองในปัจจุบัน

พวกมันต้องการให้อาณาจักรอาร์คาน่ากลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง หากแต่พวกมันไม่ต้องการพยายามฝ่าฟันด้วยตนเองและใช้การทดลองที่ผ่านมาของชนเผ่าอาร์คาน่าเพื่อสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้น พวกมันกลับทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเอาสิ่งประดิษฐ์และซากโบราณในอดีตของเผ่าอาร์คาน่าขึ้นมาเพื่อใช้ตามหาขุมสมบัติ

พูดโดยง่ายคือพวกมันต้องการให้สิ่งต่าง ๆ “กลับคืนมาอีกครั้ง” พวกมันขุดคุ้ยสิ่งที่ถูกปฐพีซุกซ่อนไว้เบื้องใต้มานานนับหมื่นปี หวังว่าของเหล่านั้นจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์

ดังนั้นเมื่อซูเฉินล่วงรู้ถึงตัวตนของพวกมัน เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าพวกมันต้องการทำสิ่งใด การคาดเดาจุดมุ่งหมายของพวกมันไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย

กู่ชิงลั่วไม่รู้ข้อมูลส่วนนี้ แต่ถึงนางรู้ก็ไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นสายตาที่มองไปยังซูเฉินจึงมีความนับถือยิ่ง ทั้งยังมีความชื่นชมเจืออยู่เล็กน้อย ถึงคุณหนูกู่จะมิอาจยอมรับกับตนเองก็ตาม

“เจ้านี่เก่งจริง การคาดเดาของเจ้ายังถูกต้องอีกด้วย”

“ที่ข้าว่ามาเป็นเพียงภาพรวมเท่านั้น เจ้าช่วยเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังที” ซูเฉินตอบ

“ข้าพบข้อมูลนี่ในหนังสือประวัติศาสตร์ เนินกลบวิญญาณถูกสร้างขึ้นในสมัยฮ่องเต้ชาง”

ในปี 16700 ของ ยุคดาราใหม่ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์สวรรคต องค์ชายทั้งยี่สิบสี่พระองค์ต่างก็ต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ องค์ชายสิบสองผู้มีนามว่ากู้หงจิ้นเป็นผู้ขึ้นครองบัลลังก์ด้วยการสนับสนุนจากแม่ทัพหลินจงฮุย ผู้คนขนานนามพระองค์ว่า ฮ่องเต้ชาง

หลังจากนั้นฮ่องเต้ชางก็สังหารพี่น้องของตน จากนั้นเลื่อนขั้นหลินจงฮุยให้เป็นจอมพล

ฮ่องเต้ชางได้สร้างความยิ่งใหญ่ไว้หลายอย่างด้วยกัน

ในปี 17200 ของยุคดาราใหม่ ฮ่องเต้ชางฉีก “ข้อตกลงสันติภาพขุนเขาตะวันตก” ทิ้ง กรีธาทัพเข้าสู้กับเผ่าปักษา หลินจงฮุยสังหารทหารของเผ่าปักษาไปมากกว่าห้าพันนาย

ในปี 18400 ของยุคดาราใหม่ ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ก็ขยายอาณาเขตไปยังทะเลตะวันออก ส่งผลให้เผ่าสมุทรไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ในปี 19000 ของยุคแห่งความโกลาหล ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ส่งทหารไปยังชายแดนทางตอนเหนือเพื่อทำสงครามกับเผ่าคนเถื่อน หลินจงฮุยแม่ทัพกล้าแกร่งสังหารทหารเผ่าคนเถื่อนจนราบเป็นหน้ากลอง เมื่อเคลื่อนทัพใหญ่มายังบ่อสังหาร เผ่า คนเถื่อนก็เหลือทหารอยู่เพียงหยิบมือ

ทว่าที่ศึกบ่อสังหาร แม่ทัพเค่อหลี่อ่าวเฮยหูของเผ่าคนเถื่อนกลับสามารถเดินทัพมายังเขาหมื่นชั้นด้วยความช่วยเหลือของเผ่าปักษา จากนั้นลอบโจมตีเผ่ามนุษย์จากด้านหลัง เผ่ามนุษย์พ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลวง หลังจากกลับเมืองหลวงไม่นานหลินจงฮุยก็สิ้นชีพลง

การพ่ายศึกที่บ่อสังหารทำให้อำนาจของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ลดลงอย่างมาก ตกลงสู่ยุคเสื่อมอำนาจ สูญเสียเขตแดนทางใต้และทางภาคกลาง เหลือเขตแดนเพียงสี่สิบสองแดนจากทั้งหมดสี่สิบแปดแดน

ในปี 19200 ของยุคดาราใหม่ ฮ่องเต้ชางสวรรคต บุตรชายนามกู้หยางเชิงครองบัลลังก์สืบต่อ ผู้คนขนานนามว่า ฮ่องเต้ผิง

ฮ่องเต้ผิงนั้นไร้ใจและไร้ความสามารถด้านการบริหาร จึงพึ่งพารัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจทั้งสิบของตนในการดูแลบ้านเมือง

เสนาบดีลั่วอวี๋เฉิงทำทีเป็นทำตามราชโองการ สังหารแม่ทัพหลี่เจ๋อผู้มีชื่อลงจนแผ่นดินสั่นคลอน ฮ่องเต้ผิงจึงประหารรัฐมนตรีทั้งสิบคนทิ้งเสีย

หลังจากนั้นอสูรยักษ์ก็เข้าโจมตีราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ที่ไร้ซึ่งผู้ปกปัก ภายใต้ความโกลาหลที่เกิดจากอสูรยักษ์ ราชวงศ์ก็ได้สูญเสียไปอีกสามดินแดน

เผ่าคนเถื่อนฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีเช่นกัน เผ่ามนุษย์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอีกต่อไป จึงยอมเสียอีกสี่ดินแดนเพื่อให้ศัตรูยอมหยุดโจมตี ก่อนที่เผ่าคนเถื่อนพวกนั้นจะกลับไปยังทุ่งหญ้าฮาเหวยที่อยู่ทางตะวันตก

ในปี 21000 ของยุคดาราใหม่ ฮ่องเต้เฉิงขึ้นครองบัลลังก์ คนผู้นี้ชอบการประจบสอพลอนัก ในรัชสมัยได้ตั้งชื่อให้ตนเองไว้หลายชื่อ ในเวลาเดียวกันนั้น เสนาบดีเฉินลิวหม่าเริ่มกอบโกยอำนาจไว้ในมือ

ไม่นานหลังจากนั้น เผ่าวิญญาณก็ลงมือ ชิงขุมพลังกักเก็บแสงไป

เผ่าสมุทรชิงเขตแดนสองแห่งแถบทะเลตะวันตกกลับไป ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ สูญเสียทรัพย์สมบัติแผ่นดินและดินแดนติดต่อกันหลายครา มีการก่อจลาจลและปฏิวัติเกิดขึ้นมากมาย ปัจจุบันเหลือเขตแดนเพียงสามสิบเอ็ดแดน

ฮ่องเต้เฉิงไม่อาจรับมือภาระอันหนักหน่วงเช่นนี้ สวรรคตไปตั้งแต่ยังไม่ทันชรา

ในปี 22400 ของยุคดาราใหม่ ฮ่องเต้เย่าขึ้นครองบัลลังก์ นับเป็นฮ่องเต้องค์สุดท้ายในราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ที่แสนยิ่งใหญ่ มีอารมณ์ดุร้ายยิ่ง เป็นฮ่องเต้ที่กระหายเลือดอย่างเหลือคณา

ในปี 23000 ของยุคดาราใหม่ ฮ่องเต้เย่าสังหารหัวหน้าตระกูลเฉิง ทำให้ประชาชนโกรธเกรี้ยว ส่งผลให้เกิด “การเปลี่ยนแปลงขุมกำลังสนับสนุนองค์ฮ่องเต้” ฮ่องเต้เย่าถูกลอบสังหาร นับเป็นที่สิ้นสุดของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์

ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์มีฮ่องเต้ทั้งหมดสิบองค์ก่อนจะสิ้นราชวงศ์ ฮ่องเต้สี่องค์สุดท้ายรู้จักกันในนาม “สี่ฮ่องเต้แห่งยุคราชวงศ์เสื่อม: ชาง ผิง เฉิง เย่า”

ฮ่องเต้ชางเป็นรัชสมัยแรกแห่งสี่ฮ่องเต้แห่งยุคราชวงศ์เสื่อม

เขาได้ขึ้นครองราชย์ในช่วงที่ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์กำลังรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด ทว่าด้วยใจทะเยอทะยานและแนวคิดที่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน จึงนับได้ว่าเขาเป็นตัวการสำคัญในการทำให้ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์เสื่อมลง พูดก็คือเขาเป็นฮ่องเต้องค์แรกที่ทำให้ราชวงศ์อยู่ในยุคเสื่อม

ลูกหลานประชาชนในกาลต่อมาต่างดูถูกเหยียดหยามการกระทำของฮ่องเต้พระองค์นี้ และด้วยเหตุนี้ ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเจ็ดอาณาจักรจึงวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของฮ่องเต้เพื่อดำรงไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เป็นการบันทึกถึงจุดเริ่มต้นของฮ่องเต้พระองค์แรกในยุคราชวงศ์เสื่อม

เมื่อได้ยินว่าเนินกลบวิญญาณถูกสร้างขึ้นโดยฮ่องเต้ชาง ซูเฉินจึงชะงักไปเล็กน้อย “ไม่ใช่ซากโบราณของเผ่าอาร์คาน่าหรือ?”

“หืม? เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าเป็นของเผ่าอาร์คาน่าเล่า?” กู่ชิงลั่วเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง

“อ้อ…… ข้าแค่คิดว่ายิ่งโบราณยิ่งดี” ซูเฉินตอบสบาย ๆ

ซูเฉินได้ข้อมูลจากกู่ชิงลั่วว่า ในรัชสมัยของฮองเต้ชางนั้น มีความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้คนในราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ล้มตายนับไม่ถ้วน ภายหลังแม่ทัพได้ขจัดภัยต่าง ๆ ออกไปจนสิ้น เพื่อเป็นการปลอบประโลมจิตใจตระกูลที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ฮ่องเต้จึงสร้างเนินกลบวิญญาณขึ้นมาเพื่อเป็นหลุมฝังศพให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้น

พูดโดยง่ายคือ เนินกลบวิญญาณคือหลุมฝังศพขนาดใหญ่

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าความโกลาหลครั้งนั้นมาจากที่ใด?” ซูเฉินถาม

กู่ชิงลั่วเอียงคอเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยตอบ “ข้าคิดว่าเป็นเพราะหัวหน้าขององค์กรชั่วถูกจับตัวไป เหล่าสมาชิกจึงเตรียมแผนการแหกคุก ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหตุการณ์โดยละเอียดเช่นกัน”