บทที่ 91 ภัยร้าย

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 91
ภัยร้าย

กรอดดด

เย่เย่ขบฟันของเขาด้วยความเจ็บใจ เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะป้องกันฝ่ามือพิภพคำรามด้วยม่านน้ำที่สร้างขึ้นด้วย ฝ่ามือคลื่นพิโรธของเขา ก่อนที่เขาจะเริ่มโจมตีสวนกลับลั่วเฟิงเฉิงไปบ้าง

ฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นเป็นวิชายุทธ์ที่เหมาะกับการโจมตีมากกว่าการป้องกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้มันในการป้องกันการโจมตีของมังกรสวรรค์ลั่ว เขาจึงตัดสินใจใช้มันโจมตีแทนที่จะป้องกัน

ตู้มมมมม ตู้มมมมม ตู้มมมมม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังกึกก้องจากยอดเขา แม้แต่ผู้คนที่หอการค้าหยูเย่ยังสามารถได้ยินมันจากระยะไกล ไม่ต้องพูดถึงหูของแม่นางมู่หลูที่ดับสนิทไปชั่วครู่หนึ่งเลย

แม่นางมู่ไม่เคยเห็นผู้ใช้ค่ายกลคนไหนที่สามารถประมือกับเทพอสูรไร้เงาได้เลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าผลการต่อสู้จะออกมายังไง นางก็ไม่สงสัยในความแข็งแกร่งของเย่เย่อีก

เมื่อนางมองไปที่เย่เย่ นางก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ด้วยความลังเลสุดท้ายนางจึงสะบัดหัวเพื่อสลัดความคิดของนางออกไป และรอดูผลของการประลองอย่างใจจดใจจ่อ

เปรี้ยงงงงงงง!

เย่เย่ที่บุกเข้าโจมตีชายชราครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ต้องถอยกลับมาตั้งหลักทุกครั้งไป ความมุ่งมั่นของเขาทำให้ความคิดของลั่วเฟิงเฉิงที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

เดิมทีลั่วเฟิงเฉิงนั้นตั้งใจจะจบการประลองตั้งแต่งัด ฝ่ามือพิภพคำรามของเขาออกมาใช้ แต่เขาก็คิดผิด แม้เย่เย่จะไม่สามารถปัดป้องฝ่ามือของเขาได้และรับการโจมตีแทบจะทุกครั้งเข้าไปเต็มๆ ถึงกระนั้นชายหนุ่มกลับกระอักเลือดออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้มือเช็ดเลือด และพุ่งเข้าโจมตีเขาอีกเรื่อยๆทำให้ชายแก่เริ่มหวาดระแวงในพลังป้องกันของเย่เย่

ด้วยพลังป้องกันของเกราะมังกรเมฆา แม้ว่ามันจะไม่สามารถดูดซับการโจมตีทั้งหมดของเทพ อสูรไร้เงาได้ แต่มันก็เพียงพอที่จะลดทอนพลังโจมตีของฝ่ามือพิภพคำรามได้ ทำให้ เย่เย่ยังคงสามารถต่อสู้ได้เรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะบาดเจ็บอะไรมากมาย

อย่างไรก็ตามหากเขายังรับการโจมตีของลั่วเฟิงเฉิงต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีแผนการรับมือใดๆ จากอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ อาจทำให้เขาบาดเจ็บปางตายได้

เย่เย่ที่รอคอยโอกาสพลิกวิกฤติมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็เริ่มเห็นความตึงเครียดที่แสดงออกมาทางสีหน้าของศัตรู นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายออกมาด้วยรังสีอำมหิต

“จังหวะนี้แหละ!”
เขาที่รับบทผู้โดนทำร้ายมาโดยตลอด ก็ได้อาศัยจังหวะนี้พลิกโอกาสกลับมาเป็นผู้กระทำบ้าง ชายหนุ่มกระตุ้นจิตวิญญาณอสรพิษของเขาออกมา ทำให้พลังป้องกันและความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มเป็นทวี

ตู้มมม ตู้มมม ตู้มมมม

เย่เย่รัวฝ่ามือคลื่นพิโรธชุดใหม่ผสานกับจิตวิญญาณอสรพิษในตัวเขา ทำให้ฝ่ามือชุดนี้รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ลั่วเฟิงเฉิงที่กำลังงุนงงกับพลังป้องกันของเขาก็รีบดึงสติกลับมาพร้อมตั้งรับอย่างรวดเร็ว แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว…

เย่เย่ได้หงายไพ่ตายของเขาทั้งหมดรุกไล่ชายชราที่ตกเป็นรอง

ตู้มมมมม ตู้มมมมม ตู้มมมมม ตู้มมมมมมมมมม!

มังกรสวรรค์ลั่วงัดวรยุทธ์ทุกท่วงท่าของเขาออกมาป้องกันอย่างสุดความสามารถ แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานคลื่นทะเลคลั่งนี้ได้ ฝ่ามือของเย่เย่ฝ่าแนวป้องกันของเขาและโจมตีเข้าที่แผ่นอกของเขาเข้าอย่างจัง

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงง!

ร่างของลั่วเฟิงเฉิงลอยไปไกลก่อนที่จะตกลงมาด้วยแรงดึงดูดของโลก แม่นางมู่หลูที่ประหลาดใจตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกและไม่อยากเชื่อสายตาของนางเอง

แม้แต่ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดอันดับ 159 ของฉางหลางกลับถูกเทพยุทธ์จากหลิงเฉิงโค่นลงได้ด้วยตัวคนเดียว

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แม้จะยากที่จะยอมรับ แต่ชายชรากลับมองความเป็นจริง แพ้ก็คือแพ้ ชนะก็คือชนะ ดังนั้นไม่มีอะไรต้องเสียใจ เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้แต่โดยดี

“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ข้าคงแก่เกินไปที่จะสู้กับคนหนุ่มอย่างเจ้าแล้วล่ะนะ”

ลั่วเฟิงเฉิงลุกขึ้นจากพื้นด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะพูดกับเย่เย่ว่า

“จงภูมิใจเถอะ! เจ้าหนุ่ม เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า”

“ขอบคุณที่ชี้แนะ!”

เย่เย่ที่พยายามไม่ดีใจจนออกนอกหน้า เขาจึงสงบจิตสงบใจ และทำความเคารพคู่ต่อสู้ของเขาอย่างอ่อนน้อม

หลังจากจบการประลองลั่วเฟิงเฉิง และแม่นางมู่หลูต่างถอนหายใจพลางคิดว่า ในโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่จริงๆ ยังมีผู้คนมากมายที่เก่งกาจกว่าพวกเขาอีกมาก

ขณะเดียวกันนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นใน หลิงเฉิง โจวไท่ บุตรบุญธรรมของโจวซง และศิษย์คนสำคัญของนิกายวิถีสวรรค์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาไม่ได้มาตัวเปล่าแต่อย่างใดในมือของเขายังมีหัวของหลิวเทียนเซียง และเหล่าศิษย์แห่งสำนักเมฆาทมิฬมาโยนไว้ที่หน้าประตูเมืองอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาจัดการกับพวกเขาและชิงจี้หยกเจิ้งฮุนได้มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจุดประสงค์ที่เขามายังหลิงเฉิงนั้นก็เหลือเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือฆ่าเย่เย่เพื่อล้างแค้นให้สาวใช้ของเขาตายตาหลับ

เมื่อข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมือง หลิงเฉิงก็ตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง

เดิมทีหอการค้าหยูเย่ก็ถูกกดดัน และข่มขู่ด้วยอำนาจของปราการหลิงหยวนอยู่แล้ว และความตึงเครียดนั้นก็ได้มาเยือนพวกเขาอีกครั้ง หอการค้าที่เคยแน่นขนัดไปด้วยผู้คนกลับโดนทิ้งร้าง สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือบรรดาลูกจ้างที่ยังคงจงรักภักดีต่อเย่เย่ที่เคยช่วยเหลือพวกเขาไว้ในศึกครั้งก่อน พวกเขาเลือกจะยืนหยัดเคียงข้างหอการค้าหยูเย่ตราบวินาทีสุดท้าย

ถึงอย่างไรก็ตามเหล่าขุมอำนาจน้อยใหญ่ที่ขอเข้าร่วมกับหอการค้าของพวกเขาต่างพากันถอนตัวกันไปเกือบหมด แม้แต่สำนักเพลิงสวรรค์ และหอการค้าตันเซียงเองก็ดูจะรับความกดดันนี้ไม่ไหวเช่นกัน แม้ว่าเฉิงอี้ตัน ประธานหอการค้าตันเซียงจะไม่ต้องการถอนตัว แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเลือกความอยู่รอดของธุรกิจเป็นสำคัญ

จางเหิงที่อาศัยอยู่หอการค้าหยูเย่เพื่อศึกษาการเสริมแกร่งอาวุธจากอาวุธต้นแบบของเย่เย่ได้พักหนึ่งเขาก็โดนคำสั่งเรียกกลับสำนักเพลิงสวรรค์จากจางเสี่ยวยู่ผู้เป็นพ่อในทันที แม้ว่าตัวเขาจะไม่เต็มใจก็ตาม

แม้แต่ขั้วอำนาจทั้งห้ายังหวาดเกรงการมาของโจวไท่ นับประสาอะไรกับตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลเจิ้งที่เริ่มมีการถกเถียงกันภายในตระกูลอีกเช่นเคย

“ท่านเจิ้งซู! ดูจากสถานการณ์ของหลิงเฉิงในตอนนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว! พวกเราหวังว่าท่านจะรีบถอนตัวจากหอการค้า หยูเย่ให้เร็วที่สุด!”

ในโถงประชุมตระกูลเจิ้ง เจิ้งซูและผู้อาวุโสทั้งห้ารวมตัวกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางในอนาคต เจิ้งเฉิงที่เพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ของเขาได้หมาดๆ ก็ยืนขึ้นและทำความเคารพผู้นำตระกูล และได้กล่าวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่เพียงแต่เจิ้งเฉิง เจิ้งกงก็เสนอไปในทิศทางเดียวกันด้วยเช่นกัน แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามที่เหลือจะไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆเลย แต่สีหน้าตึงเครียดของพวกเขาก็ได้อธิบายความรู้สึกออกมาได้เป็นอย่างดี

“ท่านเฉิง ท่านกง! พวกเราเพิ่งร่วมสาบานกับหอการค้าหยูเย่ได้ไม่ถึงเดือน หากพวกเราถอนตัวตอนนี้ จะมีใครอีกที่อยากจะคบค้าสมาคมกับตระกูลเจิ้งของเราในอนาคต?”

เจิ้งซูนั้นเตรียมสภาพจิตใจมาเป็นอย่างดี แม้ว่าแรงกดดันมหาศาลจากการมาของโจวไท่นั้นจะทำให้หอการค้า หรือขุมกำลังอื่นๆพากันถอนตัวเกือบทั้งสิ้น แต่เขาไม่เคยมีความคิดที่จะทรยศเย่เย่ผู้เปรียบเสมือนพี่ชายที่มีบุญคุณต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เขาจึงปัดตกของเสนอของผู้เฒ่าทั้งสองอย่างไม่ลังเล

“มันไม่สำคัญหรอกว่าผู้คนในหลิงเฉิงจะคิดอย่างไรกับพวกเราในอนาคต ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเราต้องรอด! ตราบใดที่พวกเรารอดพวกเราก็กลับมากู้หน้าได้เสมอ! ไม่ว่าท่านจะดื้อด้านขนาดไหนข้าขอให้ท่านเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ได้โปรดพิจารณาด้วย!”

เจิ้งกงลุกพรวดขึ้นมาแย้งความคิดเด็กน้อยของเจิ้งซูในทันที นัยน์ตาของเขาแสดงออกถึงความโกรธถึงขั้นที่เรียกว่าอยากจะบดขยี้เด็กที่ไม่รู้จักคิดนี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

แม้ว่าอิทธิพลของตระกูลเจิ้งจะเติบโตได้เพราะความช่วยเหลือของหอการค้าหยูเย่ และเหล่าผู้อาวุโสจะซาบซึ้งการช่วยเหลือนี้ขนาดไหน มันก็ไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับพวกตน

ไม่ว่าสายตาคนนอกจะมองตระกูลเจิ้งอย่างไร เจิ้งเฉิงและเจิ้งกงนั้นห่วงชีวิตของตนมากกว่าสิ่งใด ชื่อเสียงมันจะไม่สำคัญเลย หากไม่มีชีวิตอยู่เพื่อใช้มัน

ถึงกระนั้นเจิ้งซูก็ดื้อรั้นยิ่งกว่าที่พวกเขาคาดคิด เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากไม่มีเย่เย่ก็ไม่มีเขาในวันนี้ ดังนั้นเขาจึงเชื่อเย่เย่อย่างสนิทใจและพร้อมเอาชีวิตของคนทั้งตระกูลเป็นเดิมพัน ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่มีวันถอนตัวจากหอการค้าหยูเย่เป็นอันขาด ทำให้เจิ้งเฉิงและเจิ้งกงเริ่มหมดความอดทนลงไปทุกที…