***

“…เอ่อ จะให้ของพวกนี้กับพวกเราจริงๆ หรือคะ”

เหล่าสาวใช้แต่ละคนถือเครื่องสำอางสำหรับแต่งแต้มสีปากไว้ในมือและถามขึ้นมา

เมื่อแอนนี่พยักหน้าตอบพวกสาวใช้แทนอาเรียด้วยท่าทีกระหยิ่มใจ พวกสาวใช้ก็กรีดร้องออกมาเบาๆ และเปิดฝาเครื่องสำอางเพื่อดูสีและกลิ่นทันที

“แม่เจ้า นี่มันของมีค่ามากเลยนะนี่…”

อาเรียยิ้มเอ็นดูสาวใช้ที่อุทานออกมาด้วยความประทับใจ เธอจิบชาไปหนึ่งที อย่างไรของพวกนั้นไม่ใช่ของที่เธอตั้งใจซื้อมาเพื่อให้เป็นของขวัญแก่พวกหล่อน

นั่นเป็นเพียงของที่ได้รับมาจากใครสักคนในบรรดานักธุรกิจที่นักลงทุน A ได้เข้าไปลงทุนให้ ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางและส่งมันมาให้เป็นจำนวนมากเท่านั้น

อาเรียไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบารอนเวอร์บูมได้พูดอะไรออกไปหรือไม่ แต่บรรดาของขวัญที่ส่งมามีแต่ของที่ผู้หญิงทั้งหลายจะต้องชอบใจเมื่อได้รับทั้งนั้น

นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องสำอางที่ใช้วาดกรอบตาให้ดูคมขึ้น น้ำหอม กระเป๋าสวยหรู และอื่นๆ ถูกวางเกลื่อนกลาดเอาไว้อย่างจงใจในที่ที่เตะตาบรรดาสาวใช้

สิ่งของที่ถูกวางไว้ไม่ได้มีเพียงชิ้นสองชิ้นเท่านั้น แต่มีมากกว่าสิบชิ้นด้วยกัน และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้สาวใช้เกิดความสนใจและรู้สึกโลภขึ้นมา

“เลดี้คะ ดิฉันอยากจะถามอยู่เรื่องหนึ่งน่ะค่ะ…ทำไมเลดี้ถึงซื้อของมีค่าแบบนี้มาตั้งมากมายล่ะคะ”

หลังจากที่สาวใช้คนหนึ่งซึ่งไม่สามารถอดกลั้นต่อความอยากรู้อยากเห็นได้ถามขึ้นมา แอนนี่ก็ตอบคำถามนั้นแทนอาเรียราวกับจะบอกว่าเธอคนนั้นช่างงี่เง่าเสียเหลือเกิน

“อย่าบอกนะ ว่าเธอคิดว่าเลดี้เป็นคนซื้อของพวกนั้นมาน่ะ ดูยังไงก็รู้ว่านั่นเป็นของขวัญที่ได้รับมา จะบอกให้นะว่ากว่าจะจัดการกับของพวกนั้นได้เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่เลยละ”

“เอ่อ…!”

แม้ว่าในบรรดาของพวกนั้นจะมีของที่ส่งมาเพื่อแสดงความมีไมตรีจิตจากผู้ชายหลายๆ คนรวมอยู่ด้วยก็จริง แต่ของที่มีชนิดเดียวกันหลายๆ ชิ้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นของขวัญที่ได้รับมาจากเหล่านักธุรกิจเสียมากกว่า

แอนนี่เองก็รู้ความจริงเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเธออยากจะยกยอเจ้านายตัวเองเสียมากกว่า ถึงได้พูดจาโอ้อวดโดยที่ไม่จำเป็น

อาเรียมองแอนนี่และยิ้มอย่างพึงพอใจ อาเรียพอใจเป็นอย่างมากถึงขนาดที่ไม่คิดเสียดายแก้วแหวนเงินทองทั้งหมดที่เคยให้แอนนี่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเลย และแน่นอนว่าเรื่องที่เธอได้รับของขวัญนั้นเป็นความจริง มันจึงไม่ใช่การพูดโกหกแต่อย่างใด

และนั่นก็ทำเอาพวกสาวใช้ตาวาวเป็นประกายและเฝ้ามองอาเรียที่กำลังลิ้มรสน้ำชาอย่างสบายๆ สายตาที่พวกเธอมองมานั้นไม่ใช่สายตาที่เคารพชนชั้นสูงผู้มีเกียรติและสง่างามเท่านั้น

แต่ยังแฝงไปด้วยแววตาแห่งความใฝ่ฝันและอิจฉาที่อาเรียสามารถเอาชนะกำพืดที่ต้อยต่ำกว่าพวกเธอด้วยซ้ำ และทำให้ชายหลายคนในอาณาจักรหลงเสน่ห์ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามและนิสัยอันอ่อนหวานของเธอ

และ

“เลดี้อาเรียมักจะให้ของของพวกนี้อยู่บ่อยๆ เพราะมันมากเกินไปที่เลดี้จะใช้คนเดียวน่ะ”

พวกเธอยังอิจฉาแอนนี่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสาวน้อยจอมแก่นกลายมาเป็นหญิงสาวที่สง่างามได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แม้ว่าช่วงแรกๆ เธอจะถูกนินทาว่าหักหลังมิเอลมาประจบอาเรียอาเรียก็ตาม แต่สุดท้ายผู้ชนะก็คือเธอ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่น้อยหน้าชนชั้นสูงเลยมิใช่หรือไง

ยิ่งไปกว่านั้นบางทีในตอนนี้เธออาจจะได้เลื่อนสถานะทางสังคมขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ เพราะมีข่าวที่ลือกันไปทั่วว่าด้วยความสนับสนุนจากอาเรียทำให้แอนนี่ได้พบกับบารอนเวอร์บูมชายผู้ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนอื่นรู้สึกอิจฉาเธอได้อย่างไร

และจนถึงตอนนี้หลังจากที่ได้รับความสะเทือนใจจากการสูญเสียเอ็มม่าไป ก็ทำให้สภาพจิตใจของมิเอลยังไม่สู้ดีนัก จึงเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะเปลี่ยนใจบรรดาสาวใช้ของเธอ

เพราะอย่างไรพวกเธอทุกคนก็อยากจะเป็นเหมือนอย่างแอนนี่ และปรารถนาจะได้เป็นอย่างอาเรียเข้าสักวัน

“อะ จะว่าไปแล้ว วันนี้เลดี้มิเอลไปเดินเล่นในสวนตอนเช้าด้วยค่ะ แม้จะไม่นานนัก แต่ก็ได้อาศัยช่วงนั้นเข้าไปทำความสะอาดมาค่ะ”

“ใช่แล้วค่ะ ตอนที่เดินเล่นดิฉันเองก็อยู่ด้วยนะคะ ถึงจะไม่ค่อยพูดเหมือนเมื่อก่อนแต่ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะจดหมายก็ได้ค่ะ”

“จดหมายหรือ”

“ค่ะ จดหมายที่ได้รับจากว่าที่ดัชเชสไอซิสค่ะ หลังจาก ‘คดีนั้น’ จบไปก็เพิ่งจะส่งจดหมายกลับมานะคะ พอบอกว่ามีจดหมายจากว่าที่ดัชเชสส่งมาให้ เลดี้มิเอลก็รีบกลับเข้าไปในห้องเพื่อตอบกลับจดหมายทันทีเลยละค่ะ ดิฉันยังตกใจเลยค่ะ”

พวกสาวใช้ที่หูไวตาไวนำเอาข่าวคราวมาบอกให้อาเรียฟัง ดูเหมือนพวกเธอจะเข้าใจแล้วว่าการทำแบบนั้น จะทำให้พวกเธอได้เสวยสุขบนเงินทองและเกียรติยศแบบแอนนี่ พูดง่ายๆ ก็คือขายมิเอลเจ้านายของตัวเองนั่นเอง

“งั้นหรือ ดีจังเลยนะ”

อาเรียทำท่าดีใจและตอบออกไป ทั้งๆ ที่ท่านเคานต์ผู้รักและห่วงใยเธอพยายามสักเท่าไร เธอก็ไม่ยอมออกมาจากห้องแท้ๆ แต่กลับออกมาเดินเล่นเพียงเพราะได้รับจดหมายจากท่านไอซิสเนี่ยน่ะหรือ

‘หรือว่าในจดหมายจะมีเรื่องของออสการ์อยู่ด้วยกันนะ…’

หรือไม่ก็เป็นกำหนดการที่จะมาเยี่ยม

ฉันคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ เพราะออสการ์เป็นคนที่มิเอลรักมากพอๆ กับเอ็มม่าที่ฉันเอาชนะมาได้

‘ว่าแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงแผนที่ดีที่สุดก็คือการทำให้ออสการ์หลงเสน่ห์’

แต่มันก็จบลงไปแล้วหลังจากที่ได้ฉันพยายามอยู่หลายครั้ง และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ ใบหน้าของอาซก็โผล่ขึ้นมาในหัว ใบหน้าที่จ้องมองท่านพี่เคนอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อนั่น

ในตอนนั้นถึงแม้จะรู้สึกสับสนทำอะไรไม่ถูกไปบ้าง แต่พอกลับมาคิดอีกที ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียอะไรมากมาย ไม่สิ คิดดูอีกที…มันก็เป็นเรื่องที่สนุกไม่น้อยเลย

ความรู้สึกนั้นและข่าวคราวของมิเอลที่สาวใช้นำมาแจ้งให้ฟัง ทำเอาอาเรียไม่สามารถหุบยิ้มที่มองดูแจ่มใสได้ เธอให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่พวกสาวใช้ที่คาบข่าวมาบอก

“ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ มิเอลช่างน่าสงสาร ฉันอยากจะช่วยเธอแต่ว่า…ฉันไม่ค่อยจะรู้ทันข่าวคราวอะไรกับเขาเลยน่ะ”

“ค่ะ ได้เลยค่ะ! เลดี้! “

ข้ารับใช้ที่ตระหนักได้ว่าของมีค่าที่ได้มาไว้ในกำมือนั้น มันมีพลังมากกว่าความภูมิใจที่ได้ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายผู้สูงส่งเสียอีก และในแต่ละวันนับจากนี้ไปพวกเธอก็จะย้ายมาอยู่ฝั่งอาเรีย

***

“เดี๋ยว”

“…คะ! “

เคนเรียกแอนนี่ให้หยุด หลังจากที่เธอเพิ่งกลับเข้ามาจากข้างนอก

เธอกำลังจะกลับไปที่ห้องของอาเรียหลังจากไปรับจดหมายจากเหล่านักธุรกิจอายุน้อยมา เมื่อเห็นว่าแอนนี่แลดูอารมณ์ดีพร้อมกับถืออะไรบางอย่างเอาไว้อ้อมแขนอย่างทะนุถนอม เคนก็คิดว่าท่าทางของเธอดูแปลกไปจากปกติ

เคนถามแอนนี่ขึ้นมาว่า

“ถืออะไรเอาไว้ตั้งมากมายน่ะ”

“คะ…!”

ทั้งที่ไม่ใช่คำถามที่น่าแปลกใจอะไรมากขนาดนั้น แต่แอนนี่กลับแสดงท่าทางออกมาเกินเหตุ ทำให้เคนขมวดคิ้วไม่พอใจ

“อย่าบอกนะว่านั่นเป็นจดหมายจากคุณชายปิโนต์นัวร์อะไรนั่น”

ปิโนต์นัวร์เหรอ แอนนี่เอียงคอไปมาเมื่อได้ยินชื่อที่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อน ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดชื่อของปิโนต์นัวร์ หลุยส์ออกมากันเล่า

ทั้งที่เขาเป็นแค่คนคนหนึ่งในบรรดานักธุรกิจทั้งหลายเหล่านั้น

เพราะแอนนี่ทำหน้าตาสงสัยออกมา ทำให้เคนที่อ่านสีหน้าเธอออกรู้สึกโล่งใจและถามขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าไม่ใช่เขาแล้วเป็นใครล่ะ”

“คือว่า…นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของดิฉัน…”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เพราะนี่เป็นเรื่องที่อาเรียกำลังปกปิดเอาไว้ไม่ให้คนภายนอกรับรู้ และเพราะแอนนี่ไม่สามารถซ่อนความลนลานเอาไว้ได้ เธอจึงอ้อมแอ้มตอบออกไปอย่างคลุมเครือ  และเคนก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะถามออกด้วยคำถามแสดง‘การคาดเดา’

“บารอนหนุ่มคนนั้นที่เธอกำลังคุยๆ ด้วยอยู่นะหรือ”

แอนนี่พยักหน้าให้กับคำคาดเดาผิดๆ ของเคนในทันที การปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปแบบนั้น ย่อมดีกว่าการให้เธอมาอธิบายแก้ต่างแบบเงอะๆ งะๆ

เช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนเขาจะหมดความสนใจลง และกลับมามีสีหน้าเฉยเมยอีกครั้งก่อนจะทำมืออนุญาตให้แอนนี่ไปได้

“ค่ะ ค่ะ…”

“อะ ใช่สิ”

ทั้งที่คิดว่ารอดตัวแล้ว แต่เคนกลับเรียกแอนนี่อีกครั้ง แอนนี่ตกใจ เธอสะดุ้งโหยงก่อนจะเกร็งคอหันหน้ามา และเคนก็ถามเกี่ยวกับคุณชายปิโนต์นัวร์อีกครั้ง

“คนที่ชื่อปิโนต์นัวร์อะไรนั่นกับอาเรียเจอกันบ่อยแค่ไหน”

“…ท่านปิโนต์นัวร์หรือคะ อ่อ ดิฉันก็ไม่ทราบสิคะ เหมือนจะไม่เคยเจอกันตัวต่อตัวนะคะ…”

และเมื่อตอบคำถามนั้นเสร็จ เคนก็ปล่อยแอนนี่ไป เพราะเช่นนั้นเธอจึงรีบวิ่งมาที่ห้องของอาเรีย เมื่ออาเรียเห็นแอนนี่เข้ามาในห้องพร้อมกับหอบหายใจถี่ๆ เข้า จึงได้ถามถึงสาเหตุ

“อืม ก็ท่านเคนน่ะสิคะ ถามอะไรแปลกๆ “

“…อะไรนะ”

“เรื่องท่านปิโนต์นัวร์ค่ะ ถามว่าเขาเจอกับเลดี้บ่อยๆ รึเปล่าค่ะ ทำไมถึงสงสัยเรื่องแบบนั้นกันล่ะคะ…แล้วยังถามอีกว่าจดหมายที่ดิฉันถือมาใช่ของท่านปิโนต์นัวร์หรือไม่ด้วยค่ะ”

เมื่ออาเรียได้ฟังคำตอบของแอนนี่ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

หลังจากที่ได้เจอกับอาซวันนั้นอาเรียก็กังวลมาตลอด แต่เพราะเคนไม่ได้ถามซักไซ้อะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ส่งสายตาแปลกๆ มาให้เห็นในบางครั้งเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขาไม่ถามกับเธอโดยตรง แต่กลับไปถามสาวใช้แทนเสียนี่

‘ฉันจะทำอย่างไรดีนะ’

สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของอาซได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นมกุฎราชกุมารเท่านั้น แต่เพราะเขาทำให้ฝ่ายขุนนางตั้งมากมายล้มละลายลง จนว่าที่มกุฎราชกุมารีไอซิสถึงกับต้องกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แล้วไหนจะยังท่านเคานต์ที่ต้องมากลัดกลุ้มจนสีหน้าหม่นหมองอีก

อาเรียครุ่นคิดแล้วอ่านจดหมายที่แอนนี่ถือมาให้ เนื้อความข้างในก็เป็นเหมือนเช่นเคย มีรายงานเกี่ยวกับธุรกิจและรายชื่อนักธุรกิจใหม่ๆ ที่อยากจะแนะนำจดเอาไว้

หลังจากอ่านเนื้อหาพวกนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ถึงคราวของจดหมายฉบับสุดท้าย ซึ่งเป็นจดหมายของอาซที่ส่งมาในนามของปิโนต์นัวร์ หลุยส์

[การเตรียมการทุกอย่างใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้วครับ และเพื่อการนั้นกระผมมีเรื่องจะขอร้องหนึ่งอย่าง]

เมื่ออ่านเนื้อหาส่วนที่เหลือแล้ว ดวงตาของอาเรียก็สั่นไหว

เขาขอให้ฉันเปิดเผยตัวตอนที่การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นลงอย่างนั้นหรือ หากฉันเปิดเผยตัวตนในตอนนี้ไปมันจะไม่เป็นไรใช่ไหม ฉันต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้นอีกหน่อยเสียแล้ว

ถ้าเปิดเผยตัวตนออกไป…ฉันจะสามารถประชันหน้ากับมิเอลและว่าที่มกุฎราชกุมารีไอซิสที่คอยหนุนหลังให้เธอได้ไหมนะ ในตอนที่อาเรียกำลังคิดแบบนั้นอยู่ คำพูดของอาซก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ

‘เขาบอกว่าอยากให้ฉันอยู่เคียงข้างเขาสินะ หากฉันใช้เขาเป็นตัวช่วยแล้วละก็ แน่นอนว่าฉันต้องทำได้แน่ๆ’

ไม่รู้ว่าเหตุใด อยู่ๆ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เธอไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าจะหลอกใช้เขาเหมือนกับที่ทำกับออสการ์ ด้วยเพราะรู้ว่าอาซมีความรู้สึกดีๆ ให้เธอ ความรู้สึกนี้ช่างแปลกใหม่ต่ออาเรียยิ่งนัก

แต่ทว่าความกังวลของอาเรีย ก็ถูกคำพูดของเคนปัดเป่าออกไป

“ตระกูลปิโนต์นัวร์น่ะ ช่างดูไม่เหมาะสมกับฐานะของเราเลยนะครับ”

เนื่องจากจู่ๆ เขาก็กล่าวถึงปิโนต์นัวร์ขึ้นมา ท่านเคานต์และเคานต์ติสที่กำลังทานอาหารจึงเบิกตากว้างพร้อมกับถามถึงเหตุผล แน่นอนว่าอาเรียได้แต่กะพริบตาทำอะไรไม่ถูก อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะพูดเรื่องนั่นออกมาโต้งๆ ในเวลานี้

“ผมหมายถึงผู้ชายที่อาเรียกำลังพูดคุยอยู่ในตอนนี้น่ะครับ”

“อาเรียกำลังคุยอยู่กับคุณชายปิโนต์นัวร์งั้นหรือ”

สายตาที่มองไปยังเคนเมื่อครู่กลับพุ่งมาทางอาเรียแทน ทั้งที่อุตส่าห์แสร้งทำเป็นหายดีหลังจากการพักฟื้นอันยาวนานได้จบลง แต่กลับต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้เสียได้

ดูเหมือนเคนจะตั้งใจตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับไวเคานต์ปิโนต์นัวร์อย่างลับๆ ถึงได้ค้านหัวชนฝาว่าอาเรียไม่ควรไปพบเจอกับเขา แถมยังอ้างเหตุผลอีกหลายอย่างขึ้นมาแย้งอีกด้วย

“อา อาเรีย นี่ลูกกำลังคบกับคุณชายปิโนต์นัวร์อยู่จริงๆ น่ะเหรอ ลูกไปรู้จักกับเขาจากที่ไหนกัน”

เคานต์ติสถึงกับตะลึงงันและถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก ส่วนท่านเคานต์เองก็จ้องมองอาเรียพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะในตอนนี้ไม่เหมือนกับในอดีต อาเรียได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองอย่างเพียงพอแล้ว เขาจึงตระหนักได้ว่าเธอไม่มีความจำเป็นต้องไปคบกับขุนนางบ้านนอกแบบนั้น

อาเรียครุ่นคิดว่าจะตอบคำถามของทุกคนอย่างไร ในสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังเข้าใจผิดเลยเถิดไปกันใหญ่เช่นนี้ แล้วเธอก็ตอบออกมาอย่างคลุมเครือที่ไม่เชิงปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับด้วยเช่นกัน

“…ลูกกับเขาคุยกันในฐานะเพื่อนเท่านั้นค่ะ”

“ตายแล้ว…”

เคานต์ติสเอามือแตะศีรษะ ลำตัวท่อนบนของเธอซวนเซ ท่านเคานต์ยืดคอขึ้นมาราวกับไม่พึงพอใจ และทำสีหน้าไม่สบายใจนัก

“ฮึ่ม… ลองคิดดูอีกครั้งดีกว่านะอาเรีย”

อาเรียทำหน้าตาใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้และตอบออกไป

“เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นค่ะ อย่ากังวลไปเลยนะคะ อีกอย่างลูกกับเขาก็ไม่ได้เจอกันบ่อยด้วยค่ะ ลูกยังไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอกค่ะ”

“แบบนั้นมันก็ดีอยู่หรอกแต่…ฮึ่ม ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าจะต้องหาคนที่เหมาะสมกับอาเรียให้เสียแล้ว”

เมื่อท่านเคานต์พูดออกมาแบบนั้น เคานต์ติสเองก็เห็นด้วยและคลายสีหน้าลง แต่เคนกลับโมโหและพูดจาไม่มีเหตุผล

“อาเรียน่ะ! …ยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่หรือครับ”

ทั้งๆ ที่มิเอลมีคู่หมายตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็กกว่าอาเรียเสียด้วยซ้ำ และเหมือนเคนจะคิดได้ว่าตัวเองพูดจาไร้สาระออกมา เขาจึงพูดเสริมขึ้นมาทันทีว่าต้องจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบ

‘น่าขยะแขยงที่สุดเลย…’

ถึงเธอและเขาจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม แต่เขากล้าดียังไงถึงได้แสดงท่าทีแบบนั้นกับน้องสาวที่ถือว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง แม้ว่าเรื่องที่อาเรียหลอกใช้เขาจะเป็นเรื่องจริง แต่เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะหลงเธอจนทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดนั้น

‘จริงอย่างที่คนเขาว่า…ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’

เขาก็ไม่ต่างไปจากพ่อตัวเองที่หลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอก จนไม่สนใจคำค้านของทุกคนและยกตำแหน่งเคานต์ติสให้กับโสเภณีคนหนึ่ง

เพราะเคนไม่เคยแสดงความรู้สึกแบบนี้กับมิเอล ทำให้ท่านเคานต์จ้องมองเคนราวกับว่ามีอะไรที่ผิดปกติไป

เคานต์ติสที่มองเหตุการณ์นี้ออก มองปราดไปที่เคนด้วยความรู้สึกดูแคลนเช่นเดียวกับอาเรีย เคนสงบปากสงบคำและรีบทานข้าวอย่างรวดเร็ว ราวกับทำอะไรไม่ถูกที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกสิ่ง

‘ขนาดท่านเคานต์ยังแสดงออกมาแบบนี้ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้’

อาเรียเรียบเรียงสิ่งที่เธอครุ่นคิดในขณะนั้น และตัดสินใจถึงก้าวต่อไปในอนาคต

…………………………………………..