ตอนที่ 165 ตลาดหนานสุ่ย + ตอนที่ 166 เงินได้มาง่าย อำนาจยากที่จะแสวงหา โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 165 ตลาดหนานสุ่ย
เป็นเช้าอีกวันที่อู่เหมยตื่นขึ้นมาตรงเวลาในช่วงเจ็ดโมงครึ่ง เหอปี้อวิ๋นทำกับข้าวอยู่ตรงระเบียงด้านนอก ขอบตาเธอดูดำคล้ำบ่งบอกได้ชัดว่าผ่านการนอนน้อยมา ช่วงนี้เข้าสู่เดือนธันวาคมแล้วอากกาศตอนเช้าจะเย็นๆ อู่เหมยเปลี่ยนมาใส่กางเกงเอี๊ยมสีน้ำเงินที่เหอปี้อวิ๋นทำให้ใหม่และสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้านนอก ใส่คู่กับรองเท้ากีฬาสีขาว เธอรวบผมหางม้าขึ้นสูงทำให้ดูสบายตามาก
“พ่อคะ สยงมู่มู่จะให้หนูไปเป็นเพื่อนเพื่อซื้อกระดาษและปากกา”
อู่เหมยดื่มนมไปอึกใหญ่พร้อมด้วยไข่ต้มที่เธอปอกเปลือกออก อาหารเช้าวันนี้อุดมสมบูรณ์จริงๆ มีทั้งไข่ต้ม ซาลาเปาไส้ทะลักร้อนๆ ที่เหมือนจะสั่งมา โจ๊กข้าวเหนียวดำและยังมีผักดองสุดพิเศษอีกสองจาน
เจอกับเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เหอปี้อวิ๋นกลับมาคิดทั้งคืนจนเธอเริ่มคิดได้ เฮ้อ! นี่มันแค่จุดเริ่มต้นเอง!
อู่เจิ้งซือเองก็พึงพอใจเป็นอย่างมากต่ออาหารเช้าที่มีความหลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขัดเคืองใจว่าทำไมตัวเขาไม่พูดออกไปตั้งแต่แรก ใจที่เริ่มเอนเอียงของอู่เจิ้งซือจึงขานตอบอย่างไม่ลังเล
“ไปเถอะ แล้วรีบกลับมานะ”
“ค่ะพ่อ หนูไปแล้วนะ!”
อู่เหมยดื่มนมเสร็จก็รีบสะพายกระเป๋าแล้วออกไป ในกระเป๋ามีฉิวฉิวที่ขดตัวแทะลูกกวาดอยู่ในนั้น ตอนนี้คุณชายฉิวเล่นกับสยงมู่มู่ได้อย่างสบายใจ แต่ลูกกวาดในบ้านของตระกูลสยงก็ลดลงไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้จ้าวอิงหนานต้องคอยเตือนให้สยงมู่มู่แปรงฟันวันละสามครั้ง
สยงมู่มู่รอเธออยู่ด้านล่างนานแล้ว อู่เหมยที่วิ่งเข้าไปผลักเขาลงจากรถจักรยาน “ฉันจะเป็นคนปั่นเอง นายปั่นช้าเกิน”
“ฉิวฉิวล่ะ? ฉันเอาลูกกวาดมาให้มันด้วยนะ”
สยงมู่มู่ล้วงเอาลูกกวาดออกมาจากกระเป๋าหนึ่งกำมือใหญ่ๆ ฉิวฉิวที่อยู่ในกระเป๋าของอู่เหมยได้วิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสยงมู่มู่อย่างรวดเร็ว มันร้องตอบไม่หยุดอย่างดีใจจนสยงมู่มู่แทบหุบยิ้มไม่ได้
“นายให้ฉิวฉิวกินลูกกวาดน้อยๆ หน่อย อีกหน่อยถ้าฉิวฉิวฟันร่วงหมดปากจะทำยังไง?”
อู่เหมยที่ขึ้นนั่งบนจักรยานได้ จึงหันกลับมาบ่นต่อสยงมู่มู่ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากระรอกกินลูกกวาดได้ไหม แต่พอเห็นฉิวฉิวกินก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย คงไม่เป็นอะไรหรอก
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวส่งเสียงร้องไปทางอู่เหมยดด้วยความไม่พอใจ คุณชายฉิวอย่างมันมีเหรอที่จะฟันหลุดหมดปากได้?
สยงมู่มู่หัวเราะอย่างได้ใจ “เธอดูสิ ฉิวฉิวมันยังต่อต้านเลย ฉิวฉิวเป็นเด็กดี ต่อไปนี้ลูกกวาดทั้งหมดฉันจะดูแลเอง”
ฉิวฉิวส่ายหางยาวๆ ของมันไปมา ใช้เท้าของมันตีไปที่สยงมู่มู่อย่างวางมาด และแทะลูกกวาดต่ออย่างสบายใจ
ตลาดหนานสุ่ยห่างจากอี้จงประมาณหนึ่ง
ใช้เวลาปั่นมาครึ่งชั่วโมงได้ ช่วงที่เขาและอู่เหมยมาถึงตลาดหนานสุ่ย พวกซุ้มขายของยังมีไม่เยอะ เจ้าของร้านหลายคนหาวไปด้วยจัดร้านไปด้วย คนเดินไปมาก็ยังไม่เยอะ เจ้าของแผงบางคนถึงกับต้องเอามือซุกไว้ใต้แขนเสื้อ หลับตาลงเพื่อพักสายตา
ร้านที่ขายกระดาษอยู่หัวมุมสุดของถนน พื้นที่ของร้านไม่ได้ใหญ่มาก จังหวะที่พวกเขาไปถึงเจ้าของร้านก็เพิ่งมาเปิดร้านพอดี เจ้าของร้านนำแผ่นไม้บนบานประตูออก ในช่วงยุคนี้ประตูไม่ได้ใช้แบบลูกบิด โดยทั่วไปประตูใหญ่หน้าร้านจะเป็นประตูไม้และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ประตูไม้ธรรมดา แต่เป็นชิ้นไม้ที่กว้างราวเจ็ดแปดนิ้วประกอบกันเป็นประตู
หากจะเปิดประตูต้องนำแผ่นไม้ทั้งหมดลง หากจะปิดก็นำแผ่นไม้สอดเข้าไปใหม่ ท้ายสุดล็อกด้วยสลักเปิดปิดอย่างแน่นหนา ในชาติก่อนของเธอประตูแบบนี้แทบไม่มีอยู่ให้เห็น แต่ในเวลานี้หน้าร้านทั่วไปส่วนใหญ่เป็นประตูลักษณะนี้ทั้งหมด
“มาเร็วไปหน่อย งั้นเราไปดูทางนั้นก่อนเถอะ” สยงมู่มู่ชี้ไปยังแผงลอยด้านใน
อู่เหมยไม่ได้สนใจของลายคราม เธอไม่เข้าใจเกี่ยวกับของพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ของจริงก็ดูจะเป็นของปลอม ส่วนของปลอมก็ดูจะเหมือนของจริง แต่ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว เดินเข้าไปดูหน่อยก็ได้
“ต๊อก ต๊อก”
แต่กลับฉิวฉิวแล้วมันรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เท้าหน้าทั้งสองข้างของมันชี้ไปไม่หยุดทำให้สยงมู่มู่ยิ้ม “ฉิวฉิวอยากไปชอปปิงเหรอ เจ้าตัวเล็กดูของโบราณเป็นด้วยเหรอเนี่ย?”
นายน้อยฉิวใช้เท้าฟาดเขาด้วยความไม่พอใจ ทำไมมันจะไม่เข้าใจสิ่งของพวกนี้ล่ะ ของพวกนี้ก็เหมือนกับยาดีๆนั่นเอง ของดีๆ เป็นธรรมดาที่ขอเพียงแค่มีไหวพริบมันก็จะรู้สึกได้
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 166 เงินได้มาง่าย อำนาจยากที่จะแสวงหา
เหยียนหมิงซุ่นนำจักรยานจอดทิ้งไว้ตรงถนน เขาคอยระวังกระเป๋าไว้เพราะด้านในมีของที่ลุงเขาเพิ่งได้มา เขาแค่ดูผ่านๆ คาดว่าน่าจะเป็นของแท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ราคาเท่าไหร่
ครั้งนี้เขามาเพื่อเอาของมาขาย เมื่อปีก่อนเขาได้รู้จักกับเจ้าของร้านกระดาษโดยบังเอิญ ตั้งแต่นั้นมาคุณภาพชีวิตของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โลกทั้งใบของเขาก็เปิดกว้างมากขึ้น
และการที่เขาไปเป็นทหารก็ได้คำแนะนำมาจากเถ้าแก่คนนี้ มีประโยคหนึ่งที่เถ้าแก่พูดแล้วโน้มน้าวใจเขาได้ เขาพูดว่าเงินทองเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย แต่อำนาจมันยากกว่าที่จะได้มา มีเงินไม่ได้แปลว่ามีอำนาจ แต่อำนาจเป็นสิ่งแน่นอนที่ทำให้มีเงิน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากมีเงินแต่ไม่มีอำนาจ ไม่ช้าก็เร็ว เงินจะต้องถูกคนอื่นแย่งไป
นั่นเลยทำให้เหยียนหมิงซุ่นได้เข้าใจ เมื่อก่อนชีวิตของเขาแบกความหวังไว้แค่การเป็นเศรษฐี ทำให้ตายายและลุงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ตอนนี้ความคิดของเขากลับต่างออกไป
เขาไม่เพียงแค่จะทำให้คนในครอบครัวใช้ชีวิตสุขสบายแบบคนรวย แต่เขาจะต้องปีนขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของอำนาจ ทั้งชีวิตของถานซูฟางยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดเลย
“ลุงหมิง ผมมีของดีมาให้ลุงดูครับ”
เหยียนหมิงซุ่นเข้าไปในร้านขายกระดาษ และเดินไปทางเคาน์เตอร์ที่มีผู้ชายสวมเสื้อผ้าไหมสีขาวแบบราชวงค์ถัง ลักษณะวัยกลางคนแลดูอ้วนท้วนแข็งแรง ชายผู้นั้นยิ้มและทักทายกลับมา เขาดูจะมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ตัวขาวๆ อ้วนๆ เหมือนกับหมั่นโถวที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม
ชายผู้นี้เป็นเจ้าของร้านกระดาษ เขาแซ่หมิง แต่ชื่อของเขานั้นไม่มีใครรู้ ผู้คนละแวกนี้เรียกเขาว่าพี่ใหญ่หมิง ฐานะของเขาไม่ธรรมดา
“หมิงซุ่นมาแล้วเหรอ นายไปได้ของดีอะไรมาอีก?”
เขายิ้มได้เหมือนกับพระศรีอริยเมตไตรยมาก มีคางสามชั้นที่สั่นระริก บนหัวที่ไม่มีเส้นผมดูเกลี้ยงเกลาราวกับแสงสว่างยามเช้าที่สาดส่องมา สว่างยิ่งกว่าหลอดไฟที่สาดกระทบกระเบื้องเป็นร้อยเท่า เหยียนหมิงซุ่นเอาชามสีดำสนิทใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ขนาดของมันใหญ่กว่าชามทั่วไปเล็กน้อย ลักษณะคล้ายกับงอบ(หมวกหญ้าสาน) มีคราบสกปรกติดอยู่บนชามเยอะเกินไปจนมองรูปร่างหน้าตาเดิมของชามไม่ออก
“ลุงหมิง ลุงดูให้ผมหน่อยว่าอันนี้เป็นยุคสมัยไหน? ผมเดาไม่ถูก”
เหยียนหมิงซุ่นใช้สองมือยื่นของไปให้เขาด้วยความนอบน้อม จากตอนแรกที่ลุงหมิงมีอาการเหมือนง่วงนอน แต่พอเห็นชามสกปรกใบนี้กลับเบิกตากว้าง และนัยน์ตาเปล่งประกาย
“เอาไปล้างก่อนแล้วค่อยมาดู นายตามฉันมาสิ”
หลังจากที่ลุงหมิงเพ่งมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน คางสามชั้นของเขาได้สั่นกระเพื่อมแรงขึ้น แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เขาจึงหยิบชามใบนั้นขึ้นมาแล้วเดินเข้าห้องไป เหยียนหมิงซุ่นจึงรีบตามมาติดๆ
บ้านหลังนี้ถ้ามองจากด้านหน้าจะดูไม่สะดุดตา แต่ด้านในแค่มองก็รู้ได้ถึงเหตุผล คาดไม่ถึงว่าจะมีลานบ้านที่ดูเป็นฮวงจุ้ยที่ดีขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่เหยียนหมิงซุ่นเข้ามาที่นี่ ในใจเขารู้สึกตระหนกและหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด เขาได้แต่มองตรงไปด้านหน้าโดยไม่วอกแวก
ลุงหมิงพาเขาไปยังห้องด้านในสุด เครื่องมือและยาน้ำทั้งหมดภายในห้องเป็นสิ่งที่เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้จัก และยังมีเศษซากเครื่องลายครามอีกมาก ราวกับที่นี่เป็นห้องเก็บของเก่า
“นายรู้ไหมว่าเศษเครื่องลายครามพวกนี้ วันก่อนมีคนให้ราคาเท่าไหร่?” จู่ๆ ลุงหมิงก็ถามขึ้นมา
เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าตอบ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับของพวกนี้มาบ้าง แต่มันก็แค่ผิวเผิน ลุงหมิงยิ้มและยื่นฝ่ามือให้เขาดู เหยียนหมิงซุ่นจึงลองถาม “ห้าร้อย?”
ลุงหมิงมองเขาตาขวางแล้วพูดออกไปด้วยอารมณ์ “ห้าร้อยแค่ชิ้นเดียวยังซื้อไม่ได้เลย ห้าพัน”
เหยียนหมิงซุ่นอุทานอย่างตกใจ เขามองไปยังเศษลายครามนั้นด้วยความตกตะลึงและถามขึ้น “ลุงหมิงไม่ขายเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ขาย แค่ห้าพันคิดจะซื้อของล้ำค่าของฉันไป ไม่มีทาง”
ลุงหมิงถอนหายใจหนึ่งครั้งและหยิบแปรงขนาดเล็กมาจุ่มน้ำเล็กน้อย ขัดเบาๆ ที่ผิวชาม เมื่อเขาขัดไปเรื่อยๆ ทำให้ชามที่เปื้อนจนไม่เห็นรูปร่างค่อยๆ ปรากฏให้เห็นหน้าตาเดิมของมัน
“นี่คือชามงอบเคลือบลายแดงทำจากเตาเผาจุน นับว่าเป็นสินค้าคุณภาพ แต่การเก็บรักษาไม่ดีนัก ทำให้มีช่องแตกเป็นรูใหญ่” ลุงหมิงมองรอยแตกด้านข้างของชามอย่างนึกเสียดาย
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจ เขาดูเองก็คิดว่ามันคือชามงอบเคลือบลายแดงที่ทำจากเตาเผาจุน เขาจึงถามต่อ “ชามใบนี้ลุงหมิงจะรับไว้ไหม?”
…………………………………………………………………………………………..