บทที่ 1020 พลังอภินิหารของปานเยว่กง โดย Ink Stone_Fantasy
คนกลุ่มนี้อยู่พักที่โรงเตี๊ยมไม่นาน แค่พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์นิดหน่อย หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามก็ออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว
มู่หรงซิงหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่ากลุ่มของเยี่ยนจื่อเกอรู้อยู่แก่ใจ แต่ละคนเล่นหูเล่นตาหยอกล้อเยี่ยนจื่อเกอ ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็ทำสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
มู่หรงซิงหัวเข้าใจว่าทุกคนเล่นหูเล่นตากันทำไม แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เพียงแต่แววตาหงอยเหงานิดหน่อย
ส่วนหยางไท่ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกัน แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สำหรับคนพวกนี้ เนื้อหนังของชายหญิงไม่มีค่าอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับร่างกายของมู่หรงซิงหัว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะมีความเห็นแย้งอะไรหรือเปล่า ต่อให้มีความเห็นอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้ทั้งสองร่วมมือกันแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ตัวเองเตรียมตัวมาดี อีกฝ่ายก็เตรียมตัวมาดีเช่นกัน
ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครเปิดโปงเลยสักนิด พากันเหาะขึ้นฟ้าออกจากดาววิงวอนชีพไปแล้ว…
ดาวเคราะห์ที่มีหินกระจัดกระจาย ที่ผิวดาวเคราะห์มีเศษหินทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ระหว่างนั้นมีต้นไม้ใบหญ้าเติบโตแข็งแรง อากาศเบาบาง ขาดแคลนทรัพยากรน้ำ มีคนอยู่อาศัยไม่เยอะ
จากที่ปานเยว่กงบอก ว่ากันว่าเศษหินที่ขรุขระอยู่ทั่วดาวเคราะห์ดวงนี้ เป็นผลหลังจากโดนหินอุกกาบาตชนปะทะหลายปี เดิมทีก้อนหินที่ผิวดาวเคราะห์นี้สมบูรณ์มาก ไม่ได้เศษหินมากขนาดนั้น
ขณะที่เหมียวอี้กับปานเยว่กงกำลังคุยกัน การต่อสู้สนามหนึ่งที่ไม่นับว่าดุเดือดก็จบลง
ปีศาจหนูตนหนึ่งที่ชื่อว่าถังโพถูกสวีถังหรานโจมตีจนสาหัสแล้ว ตอนนี้กำลังคุกเข่าวิงวอนชีวิต “ขุนนางสวรรค์โปรดไว้ชีวิต อย่าสังหารข้า ขุนนางสวรรค์โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
ไม่วิงวอนขอชีวิตคงไม่ได้ ถึงแม้สวีถังหรานจะเหมือนกับเขา และมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเหมือนกัน แต่สวีถังหรายไม่ใช่แค่สวมเกราะรบผลึกแดง ทั้งยังขี่เดรัจฉานสับปลับมาเล่นงานอย่างเอาจริงเอาจัง โดนทารุณจนระบายความโกรธไม่ออก
ถังโพ วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง เป็นหัวขโมยที่ทำผิดซ้ำซาก มักจะขโมยที่ตลาดสวรรค์ ตอนหลังโดนจับได้ว่าขโมยของ จึงฆ่าพนักงานในร้าน ทำให้โดนไล่จับ หลบหนีมาตลอด ครั้งนี้ในที่สุดก็โดนลงโทษแล้ว
แต่เจ้าบ้านี่ก็ดวงซวยเหมือนกัน พอพวกเหมียวอี้มาถึง ก็แทบจะไม่ต้องใช้เวลาตามหาเลย บังเอิญเจอชายคนนี้พอดี พอมองหน้าตรงๆ ก็พบว่าเป็นนักโทษหลบหนีที่อยู่บนรูปภาพ
คาดว่าเจ้าตัวก็คงหลบอยู่ที่นี่โดยไม่ออกไปไหนเลยเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์ปิดล้อมสถานที่ไร้ชีวิตเพื่อจับนักโทษแล้ว พอเห็นพวกเหมียวอี้ก็ยังรายงานชื่อปลอม โวยวายว่าที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา ผลที่ตามมาก็เป็นอย่างที่เห็น
สวีถังหรานที่ขี่เดรัจฉานสับปลับโยนเชือกมัดเซียนออกมาเส้นหนึ่ง เมื่อจับมัดไว้แล้ว ถึงได้กระโดดลงมาร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมถังโพไว้
หลังจากควบคุมวรยุทธ์ของถังโพได้อย่างถึงที่สุดแล้ว สวีถังหรานถึงได้ลากคอเขามาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในที่สุดก็จับได้คนถัดไปแล้ว”
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือออกมา ลากถังโพเข้ามาหา แล้วเก็บใส่กระเป๋าสัตว์ของตัวเองทันที
สวีถังหรานตะลึงงัน พูดไม่ออกนิดหน่อย หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ของเจียงอีอีก่อนหน้านี้ ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากลงมือจับถังโพ เพราะกังวลว่าจะเจอคนที่รับมือยากถึงอย่างไรบางครั้งวรยุทธ์ก็ตัดสินศักยภาพของคนเราไม่ได้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะต้องการให้เขาลงมือ หลังจากลงมือจับแล้ว กลับกลายเป็นสมบัติในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เสียอย่างนั้น จะไปเรียกร้องหลักทำนองคลองธรรมนี้จากไหน
แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร เพราะสถานการณ์บีบบังคับ อีกฝ่ายมีผู้ช่วยเยอะ ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บของ
“ไป! ไปดาวไอหมอก ไปหาเป้าหมายต่อไป” เหมียวอี้บอก แล้วนำทุกคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหลายชั่วยาม ก็มีคนแปดคนเหาะลงมาจากฟ้า แล้วเสาะหาบริเวณนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพวกเยี่ยนจื่อเกอนั่นเอง
“ตรงนี้!” ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉิงจวินซิ่นพลันเหยียบลงพื้นแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เรียก
คนที่แยกย้ายกันไปหาตรงจุดไกลๆ ได้ยินแล้วรีบเหาะกลับมา พอเหยียบลงพื้นตรงข้างเขา เยี่ยนจื่อเกอก็ถามว่า “หาเจอแล้วเหรอ?”
เฉิงจวินซิ่นชี้ไปที่รอยเลือดบนดิน แล้วก็ชี้ไปรอบๆ อีก “พวกเจ้าดูสิ มีร่องรอยการต่อสู้ด้วย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเป็นรอยใหม่ ตรงนี้ยังมีรอยเลือดด้วย หน้าผาทางนั้นเคยโดนอุณหภูมิสูงแผดเผา”
ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าหันเฉาเฟิ่งนั่งย่อลง ยื่นมือไปลูบรอยเลือดบนพื้น ใช้นิ้วมือฝั้นขึ้นมาดม ก่อนจะปัดมือพร้อมบอกว่า “ไม่ใช่รอยเลือดของคน แต่เป็นรอยเลือดของหนู รอยนี้เพิ่งแห้งได้ไม่นาน ดูท่าปีศาจหนูที่ชื่อว่าถังโพคงโดนคนอื่นจับไปแล้ว”
หยางไท่เดินมาตรวจดูข้างๆ หินที่โดนเผาไหม้ครู่หนึ่ง เขาค่อนข้างทำตัวชายขอบและไม่ค่อยพูดจาเมื่ออยู่ในกลุ่ม ในเวลานี้เอ่ยปากพูดแล้ว “นี่คือผลงานของเดรัจฉานสับปลับ สงสัยเพื่อนร่วมงานสองคนนั้นของข้าจะเคยมาที่นี่แล้ว ถ้าทำสำเร็จแล้วจริงๆ ตามที่ข้าคิด ตอนนี้พวกเขากำลังลงมือจากง่ายไปยาก ลงมือทีละคน ถังโพคนนี้มีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม เป็นคนที่วรยุทธ์ต่ำสุดในบรรดาเก้าคนนั้น ถ้าข้าวินิจฉัยไม่ผิด ตอนนี้พวกเขาคงจะไปที่ดาวไอหมอกแล้ว ไปจับปีศาจจิ้งจอกที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่”
รสชาติยามถูกทำให้อยู่ชายขอบนั้นยากจะรับไหว เขาเห็นจุดจบของมู่หรงซิงหัวแล้ว แต่เขาไม่มีความงามอะไรให้เสียสละ จึงกังวลว่าจะถูกทอดทิ้ง ตอนนี้หาโอกาสทุ่มเทความสามารถได้แล้ว เรียกได้ว่าพูดอย่างมีระเบียบแบบแผน
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ คนอื่นๆ ก็มองเขามากขึ้น
มู่หรงซิงหัวมองเขาด้วยแววตาสับสนนิดหน่อย นางกลายเป็นผู้หญิงที่ใครๆ ก็มาเป็นสามีได้ แต่หยางไท่กลับกำลังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทรยศ ตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นอะไรไปแล้ว?
แนวคิดทางศีลธรรมของโลกนี้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และเป็นแนวคิดที่มีร่วมกัน นางไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายใจ หลังจากเป็นหญิงชู้ของเฉาว่านเสียงแล้ว นางก็ปิดบังมาตลอดเช่นกัน ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พยายามทำตัวเหมือนบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำแบบนั้นแล้วน่าอาย แต่ใครจะไปคิด ว่าเฉาว่านเสียงจะเปิดโปงเรื่องน่าอับอายของนางต่อหน้าเพื่อร่วมงาน ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยิ่งเปิดโปงหมดเปลือกท่ามกลางฝูงชน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปถึงข้างนอก เยี่ยนจื่อเกอจึงคิดว่าการเอาเปรียบนางคือเรื่องที่สมแหตุสมผล ถึงดูถูกเหยียดหยามไปรอบหนึ่ง ถ้าไม่เล่นก็จะเสียดายของ ถึงอย่างไรทุกคนก็เล่นได้อยู่แล้ว
จากคนที่โอ้อวดตัวเองว่าบริสุทธิ์สูงส่ง จนกลายสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้ ในใจนางเองก็ไม่ได้รู้สึกสงบสักเท่าไร บนเส้นทางที่เดินมานี้ นางหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองอยู่ตลอด บอกตัวเองว่าเพราะโดนสภาพสังคมกดดัน นางทำเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่สภาพสังคม ตอนนี้หลังจากได้ฟังคำพูดของหยางไท่ จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองกำลังหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองจริงๆ ที่จริงตัวเองกับหยางไท่ก็ไม่ได้ต่างกันเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทั้งสองล้วนกลัวความลำบากและอันตราย ไม่อยากทนรับความลำบากทรมาน ไม่อยากไปสู้สุดชีวิต คนหนึ่งก็เลยขายตัว อีกคนก็ขายเพื่อนร่วมงาน ต่างก็อยากใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นก็เท่านั้นเอง
เยี่ยนจื่อเกอได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ ที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ เดิมทีก็เป็นเพราะรายชื่อในมือของมู่หรงซิงหัวอยู่แล้ว ในมือตัวเองก็มีรายชื่อที่ต้องจับกุมอยู่ฉบับหนึ่งเหมือนกัน แต่เตรียมจะเก็บไว้ตอนหลัง สาเหตุที่เลือกถังโพจากเก้าคนในรายชื่อ ก็เพียงเพราะอยากจะจัดการจากง่ายไปยาก ตอนนี้ดูท่าทางคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็คงมีวิธีคิดแบบนี้เหมือนกัน
“ที่หยางไท่พูดก็มีเหตุผล พวกเราไปที่ดาวไอหมอกกันเถอะ ตามหลังพวกเขาไป ถ้าห่างกันไม่มากก็กดดันให้พวกเขาส่งคนที่จับได้มาให้พวกเรา ไป!” เยี่ยนจื่อเกอกล่าว ก่อนจะนำทุกคนพุ่งขึ้นฟ้าไป
ณ ดาวไอหมอก เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่ใหญ่ เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีจะถูกหมอกบางๆ ปกคลุมพืชพรรณของที่นี่ไม่ว่าจะต้นสูงหรือต้นเตี้ย ก็ล้วนมีใบที่ค่อนข้างอวบอิ่มชุ่มชื้น
ขณะที่ยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน หมอกบางลอยวนเวียน เหมียวอี้และหยางไท่ก็หยิบรายชื่อฉบับสำเนาออกมา หลังจากอ่านดูแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับที่ว่อนตัวของหงเชียนเชียน ทั้งสองก็สบตาและพยักหน้าให้กัน เป้าหมายคงจะหลบอยู่ในหุบเขาแห่งนี้
หงเชียนเชียน วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ เป็นปีศาจจิ้งจอก เดิมทีเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าในตลาดสวรรค์ ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล เป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าในตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวนนี่เอง ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ก็ประหลาดเหมือนกัน คนอื่นหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ นางกลับโชคดี มีร้านค้าดีๆ ดันไม่ประกอบกิจการ ต้องการจะขายต่อให้คนอื่นเสียอย่างนั้น จะขายก็ขายไปสิ แต่ร้านค้าร้านเดียวกลับโดนนางขายให้ผู้ซื้อพร้อมกันสิบสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่านางทำได้ยังไง อย่างไรเสียก็รวบเงินหนีไปแล้ว สุดท้ายผู้ซื้อสิบสองคนมาลงทะเบียนเป็นเจ้าของพร้อมกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงผลลัพธ์ วุ่นวายใหญ่โตมาก ครั้งนี้จึงถูกใส่เข้าในรายชื่อที่ต้องจับกุมเหมือนกัน
เมื่อเก็บรายชื่อแล้ว สวีถังหรานก็ถามว่า “จะทำยังไง? บนนี้บอกแค่ว่าทุกครั้งปีศาจจิ้งจอกนั่นจะลงไปข้างล่างจากตรงนี้ ส่วนรายละเอียดว่าอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถแน่ใจได้เลย ถ้ามองหุบเขานี้จากบนฟ้า อย่างน้อยก็ยาวติดต่อกันร้อยลี้แล้ว จะแน่ใจตำแหน่งที่แน่นอนได้ยังไง?”
เหมียวอี้ก็ปวดหัวเหมือนกัน ตอนที่ตามหาชิงเหมยเจอเป็นเพราะมีปานเยว่กงบอก ตอนที่จับถังโพได้ก็เป็นถังโพที่โชคร้ายมาเจอพวกเขาเอง ถ้าจับปีศาจจิ้งจอกด้วยวิธีการเดียวกับที่รับมือกับชิงเหมย คาดว่าตะโกนเรียกไปก็ไร้ประโยชน์ พอได้ยินคำว่าตำหนักสวรรค์ก็จะต้องหนีก่อนเป็นอันดับแรกแน่นอน หุบเขาที่ยาวเหยียดขนาดนี้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะหนีไปไหนก็ไม่รู้แล้ว
“ข้าว่าลองดูก็ได้นะ แต่ว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย!” ทันใดนั้นปานเยว่กงก็เสนอความเห็น
เหมียวอี้ถามอย่างร่าเริงว่า “เวลาน่ะมีอยู่แล้ว เวลาเป็นร้อยปี พวกเราไม่รีบหรอก เจ้าคงไม่ถึงขั้นใช้เวลาเป็นร้อยปีหรอกใช่มั้ย?”
ปานเยว่กงยิ้มแล้วตอบว่า “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีเวลาวันเดียวก็เพียงพอแล้ว” หลังจากได้คลุกคลีกันมาระยะหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มสื่อสารอย่างมีน้ำใจต่อกันแล้ว
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ บอกให้เขาลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีวิธีการอะไร
ปานเยว่กงพยักหน้า แล้วเดินมาที่ริมหน้าผา พอใช้มือข้างหนึ่งกดที่หน้าอก ปราณปีศาจบนตัวก็เริ่มเข้มข้น จู่ๆ ก็อ้าปาก พ่นหมอกสีขาวสายหนึ่งออกมาจากปาก หมอกขาวพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ทะลักลงไปที่หุบเขาด้านล่างอย่างไม่ขาดสาย และไม่นานก็ก่อตัวหนาแน่นราวกับก้อนเมฆ
เหมียวอี้มองจนหนังตากระตุก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า หมอกหนาผืนใหญ่ที่ป่าลืมทุกข์คงไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่พ่นออกมาหรอกใช่มั้ย?
หลังจากปานเยว่กงหุบปาก ก็สะบัดแขนเสื้อสองข้างตีกวน ทำให้หมอกขาวในหุบเขาหมุนขึ้นหมุนลงทันที ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา กลายเป็นไอหมอกรูปงูจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วสั่นหัวส่ายหางเลื้อยเข้าไปทั่วทุกหนทุกแห่งในหุบเขา เมื่อเจอซอกหลืบก็มุดเข้าไป
สวีถังหรานเห็นแล้วเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง “ทักษะนี้ของพี่โหย่วไฉช่างดีจริงๆ ต่อไปเวลาจะหาคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว”
เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก ถ้ามีคนซ่อนอยู่ในหุบเขาด้านล่าง ก็เป็นไปไม่ที่จะไม่หายใจ ขอเพียงหายใจ สถานที่ซ่อนตัวก็จะมีช่องว่างสำหรับระบายอากาศแน่นอน ถ้างูหมอกที่ถูกควบคุมนี้มุดเข้าไป ก็จะพบคนที่กำลังซ่อนตัวทันที
แต่ปานเยว่กงกลับหลับตาแล้ว มือสองข้างกำลังขยับร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่หยุด งูหมอกนับไม่ถ้วนในหุบเขาเริ่มเลื้อยเข้าไปในสองฝั่งของหุบเขา
ส่วนเหมียวอี้ก็ลูบคางครุ่นคิด ถ้าหมอกหนาผืนนั้นของป่าลืมทุกข์เป็นฝีมือของปานเยว่กง ถ้าสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขนาดนั้น ก็ไม่ต้องกังวลขีดจำกัดระยะทางที่งูหมอกจะเลื้อยไปถึงแล้ว
หลังจากนั้นสองชั่วยาม ฟ้าเป็นสีแดงยามเย็น จู่ๆ ปานเยว่กงก็ลืมตาแล้วเดินไปชี้ที่หุบเขาทางขวา “ใต้ดินที่ห่างออกไปสิบลี้มีคนอยู่ กำลังโจมตีทำลายงูหมอกของข้า ไปดูหน่อย”
ไม่ต้องพูดอะไรมาก พวกเขาถลันตัวเหาะไปทันที ไปเหยียบลงตรงตำแหน่งที่คาดคะเนไว้คร่าวๆ
เพิ่งจะเหยียบลงพื้น ปานเยว่กงก็ชี้ไปข้างล่างแล้วถ่ายทอดเสียบอกอีก “เตรียมตัว! มีคนกำลังออกมาจากข้างล่างแล้ว”
เหมียวอี้ให้สัญญาณมือทันที ทั้งสี่คนรีบถลันตัวไปดักซุ่มไว้สี่ตำแหน่ง เตรียมจะดูสถานการณ์ก่อน เตรียมตัวจู่โจมแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็มีสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำเหาะขึ้นมาจากหุบเขา หน้าตาสวยเพริศพริ้ง ทั้งยังมีท่าทางบอบบางอ่อนแอ ยั่วให้คนที่เห็นรู้สึกอยากโอ๋ กำลังเหลียวซ้ายแลขวา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ไม่ผิดหรอก เป็นยอดนักต้มตุ๋นที่เหมียวอี้กับสวีถังหรานกำลังตามหา
“หงเชียนเชียน!” เหมียวอี้กระโดดออกมาจากที่ซ่อนตัวทันที “ยังไม่ยอมให้จับแต่โดยดีอีก!”
หงเชียนเชียนหันกลับมา พอเห็นเหมียวอี้ นางก็ทำสีหน้าตกใจมากทันที ถึงขั้นเบิกตากว้างอ้าปากค้างชี้เหมียวอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นเหมียวอี้แน่ใจแล้วว่าเป็นเป้าหมาย ปานเยว่กงก็รีบถลันตัวออกมาแล้ว ปั้ง! ฟาดฝ่ามือใส่หงเชียนเชียนจนเงยหน้ากระอักเลือดสดขึ้นฟ้า ตกกระแทกลงฝั่งตรงข้ามราวกับผีพุ่งใต้ มาตกลงข้างๆ เหมียวอี้พอดี ทำเอาก้อนหินข้างๆ เหมียวอี้โดนชนจนแตกละเอียก ไม่มีกำลังโต้ตอบเลยเมื่อสู้กับปานเยว่กง
“เอ! ไม่ถูกสิ วรยุทธ์ของคนคนนี้ไม่ถึงระดับบงกชทองเลย ยังห่างกับระดับบงกชทองตั้งไกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นบงกชทองขั้นสี่!” ปานเยว่กงอุทานอย่างแปลกใจ แล้วจู่ๆ ก็สีหน้าเปลี่ยน “ท่าไม่ดีแล้ว! ข้างล่างยังมีอีกหนึ่งคน มีทางลับสำหรับหลบหนีอีกทาง!” พอพูดจบ ตัวก็ถลันวูบลงไปแล้ว
…………………………