หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีจดหมายฉบับหนึ่งจากคฤหาสน์ของท่านดยุกส่งมา โดยเป็นจดหมายที่ส่งให้กับท่านเคานต์ไม่ใช่มิเอล จดหมายฉบับนั้นถูกส่งมาอย่างลับๆ ในตอนเช้ามืด เพื่อเลี่ยงสายตาของผู้คนในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้

หลังจากได้อ่านจดหมายที่ส่งมาจากคฤหาสน์ท่านดยุก ท่านเคานต์ก็สืบหาข้อมูลอยู่สักพักและกังวลใจอย่างหนัก อีกทั้งเขายังได้พบปะกับเหล่าขุนนางที่สนิทสนมกันถี่ขึ้นด้วย

และในบางครั้งพวกเขาก็มักจะมาที่คฤหาสน์ของท่านเคานต์ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังปกปิดอะไรเอาไว้มากมาย ถึงขนาดที่ไม่มีแม้แต่การทักทายกันด้วยซ้ำ มีเพียงแค่เคนที่ออกมาพาพวกเขาไปยังห้องรับรองแบบเงียบๆ เท่านั้น

‘พวกเขาวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่นะ’

อาเรียคิดว่าเรื่องนี้ดูน่าสงสัย เธอจึงออกมาเดินสังเกตการณ์ที่โถงชั้นหนึ่งในตอนที่พวกเขากำลังจะกลับพอดี เพราะเลยเวลาเข้านอนไปนานแล้ว ท่านเคานต์และแขกเหรื่อขุนนางจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในเวลานี้ ได้เผอิญพบกับอาเรียเข้า พวกเขาต่างหลบสายตาและพยายามซ่อนความตกใจเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาผ่านทางสีหน้า

“อาเรีย ดึกดื่นป่านนี้แล้วมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

เคนที่เดินตามหลังท่านเคานต์มาสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ อาเรีย เขาเอาเสื้อของเขาสวมทับชุดนอนที่ดูเบาบางของเธอ และสั่งให้เธอขึ้นไปชั้นบนด้วยความโมโห

“น้องได้ยินว่ามีแขกมาที่บ้าน ก็เลยรู้สึกผิดที่ไม่ได้ออกมาทักทายเลย แต่ดูเหมือนการที่น้องออกมาต้อนรับแบบนี้ จะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควรเสียแล้ว …ต้องขออภัยด้วยนะคะ”

คำพูดที่แสดงเจตนาบริสุทธิ์ของเธอเสียดแทงความรู้สึกของเหล่าขุนนางขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พวกเขากระแอมไอก่อนจะปฏิเสธว่าไม่ใช่แบบนั้น

และคนหนึ่งในเหล่าขุนนางก็พูดออกมาพร้อมกับมองอาเรียด้วยสายตาไม่พอใจ

“สงสัยว่านี่คงจะเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว แม้จะเพื่อเลดี้ที่น่ารักและจิตใจดีเช่นนี้ก็ตาม ปล่อยไปตามนี้ก็คง…”

“…เอาน่ะ ผมเข้าใจแล้ว ใจผมเองก็เกิดเอนเอียงไปทางนั้นอยู่เหมือนกัน ผมคงมาส่งคุณได้เพียงเท่านี้ครับ”

ท่านเคานต์ดันหลังขุนนางอายุน้อยที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เนื่องจากดึกมากแล้วพวกเขาจึงขอตัวกลับและออกไปนอกประตูบ้านกันทั้งหมด ภายในห้องโถงจึงเหลืออาเรียและเคนเวิ้งว้างกันอยู่สองคนเท่านั้น

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงเพ่งสายตาไปทางเคนซึ่งเอาแต่สนใจชุดนอนเนื้อบางของอาเรียตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว พอสบตากับอาเรียเข้าเขาก็ตกใจสะดุ้งโหยง และบอกอาเรียให้รีบขึ้นไปนอนอีกครั้ง

“น้องเป็นห่วงค่ะ ท่านพี่เองก็ดูยุ่งเอาการเลยทีเดียว…”

ใช่แล้ว ถ้าเป็นเขาละก็ต้องรู้อะไรแน่ๆ เพราะท่านเคานต์และเหล่าขุนนางต่างรีบสลายตัวกันอย่างรวดเร็วเลยทำให้เธอไม่ได้ข้อมูลอะไรแม้แต่น้อย อาเรียจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เคนและย่างเข้าไปใกล้เขาจนช่องว่างระหว่างทั้งคู่แคบลง

“ตอนทานข้าวก็ไม่ค่อยได้พบกันเลย น่าเสียดายจังเลยค่ะ”

อย่าว่าแต่เสียดายเลย แม้แต่ตอนที่พบหน้ากันก็เป็นอาเรียเองที่หลบตาและแสร้งทำเป็นยุ่งเดินหนีไป ท่าทีของเธอเปลี่ยนไปแถมยังเดินเข้ามาใกล้แบบที่เคนไม่ทันได้ตั้งตัวอีกด้วย ทำเอาชายหนุ่มหน้าร้อนผ่าวจนควบคุมอาการไม่อยู่ คงฝืนสันดานตัวเองไม่ได้สินะ

“…ไม่มีเรื่องอะไรให้น้องต้องกังวลหรอก อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลายลงแล้ว เอาเวลาไปทำแต่เรื่องที่ทำให้สบายใจดีกว่า อย่างเรียนภาษาต่างประเทศไว้ก็คงจะดีนะ แต่เอาเถอะ ถึงไม่เรียนก็คงมีค่าพอกันละนะ”

ภาษาต่างประเทศงั้นเหรอ อาเรียทำหน้านิ่วนึกฉงนใจต่อคำแนะนำของเคน ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องภาษาต่างประเทศขึ้นมาล่ะ… คงไม่ได้คิดจะพากันหลบหนีออกจากราชอาณาจักรนี้หรอกใช่ไหม

ถึงแม้จะพวกขุนนางต้องกระจัดกระจายกันออกไปเพราะกลอุบายของมกุฎราชกุมารก็ตาม แต่ถ้าหากเหล่าขุนนางจำนวนมากที่ยังเหลืออยู่พากันลี้ภัยออกไปนอกอาณาจักรกันหมดทีเดียวแล้ว ก็จะต้องเกิดความวุ่นวายอันใหญ่หลวงภายในราชอาณาจักรแน่ๆ

แต่ทำแบบนั้นไปแล้วอาจจะเกิดสงครามขึ้นมาก็เป็นได้ หากพวกเขาไม่บ้าไปแล้วละก็ คงไม่มีทางทำถึงขั้นนั้นได้หรอก

อาเรียไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เธอตั้งใจจะคุยกับเคนต่ออีกสักหน่อยแต่ท่านเคานต์ก็กลับเข้ามาหลังจากออกไปส่งแขกเสร็จเรียบร้อย จึงต้องกลับขึ้นห้องไปทั้งแบบนี้

‘พวกเขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่’

ไม่ว่าจะครุ่นคิดดูสักเท่าไร ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ อาเรียนอนตาตื่นทั้งคืนและตัดสินใจจะใช้นาฬิกาทรายในที่สุด แต่พอรุ่งสางวันถัดมาเธอก็หาคำตอบนั้นเจอ

“พ่อตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามทางเลือกของท่านไอซิส”

“พูดจริงๆ หรือคะ…”

หน้าตาของมิเอลดูสดใสขึ้นหลังจากไม่ได้เห็นมานาน แววตาเธอเป็นประกายขึ้นมา

ทางเลือกของท่านไอซิสอย่างนั้นหรือ แล้วทางเลือกนั้นของเธอคืออะไรกัน เคาน์ติสจ้องมองท่านเคานต์และรอฟังคำอธิบายราวกับว่าเธอเองก็ไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดเหมือนกัน

แต่ดูเหมือนท่านเคานต์ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาเริ่มทานอาหารต่อไปเงียบๆ

และอาเรียที่ทนสงสัยต่อไปไม่ไหวก็ถามขึ้นมา

“…ทางเลือกอะไรหรือคะ”

“เดี๋ยวไม่นานก็ได้รู้แล้วละค่ะ”

มิเอลตอบออกมาแทนท่านเคานต์ด้วยท่าทางกระหยิ่มใจ น้ำเสียงที่ฟังดูกระแนะกระแหนต่างจากเมื่อก่อนนั่น ทำให้อาเรียกำมือที่อยู่ใต้โต๊ะอาหารแน่นขึ้นมาโดยทันที

นี่มันดีกว่าตอนที่เธอแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาแบบในอดีตอีกไม่ใช่หรือไง ทั้งสามารถแสดงสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างซึ่งๆ หน้า แถมยังพูดจาเหน็บแนมได้อย่างใจอยากอีกต่างหาก

‘ว่าแล้วเชียว มิเอลต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแน่ๆ’

เพราะเธอสนิทกับท่านไอซิส บางทีหากท่านไอซิสคิดจะทำอะไร เธออาจจะรู้เรื่องนั้นได้ก่อนท่านเคานต์เสียด้วยซ้ำ

คำตอบที่ขีดเส้นแบ่งไว้ราวกับจะบอกว่าเธอจะได้รู้มันก็ต่อเมื่อทุกคนได้รู้นั่น ทำเอาอาเรียอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก เธอจึงจ้องไปที่เคนเพื่อหาคำตอบ แต่เขาเองก็ไม่ตอบอะไรนอกจากบอกว่าเคารพในการตัดสินใจของพ่อตัวเอง

‘ใช่สิ คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาอธิบายให้เคาน์ติสที่แสนโง่เขลาและลูกสาวของเธอฟังสินะ’

ทำไมพวกเขาถึงทำเมินเฉยไม่แยแสพวกเธอได้ขนาดนี้กัน! เมื่อใดที่วันแห่งการตัดสินระหว่างอาเรียกับท่านไอซิสและมิเอลมาถึง เธอสัญญาและสาบานไว้เลยว่าจะไม่ยอมปล่อยท่านเคานต์กับเคนรอดตัวไปเฉยๆ แน่นอน เธอรั้งแขนเคนที่เดินออกจากห้องอาหารไว้

“ท่านพี่คะ ที่จริงแล้วมันมีเรื่องอะไรกันแน่คะ”

หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง อาเรียก็คิดที่จะใช้นาฬิกาทรายของเธอ แน่นอนว่าการทำหน้าตาน่าสงสารใช้ได้ผลกับเคนมากกว่าคนพวกนั้น และเมื่อเธอทำเช่นนั้นเขาก็หลบสายตาของเธอด้วยสีหน้าลำบากใจเป็นที่สุด

“จะให้เปิดเผยตอนนี้มันก็ออกจะ…”

“นอกจากน้องกับท่านแม่แล้ว ทุกคนในครอบครัวก็รู้กันหมดเลยนี่คะ! หรือว่าน้องกับแม่ไม่ใช่คนในครอบครัวอย่างนั้นหรือคะ”

เมื่อเธอถามออกไปแบบนั้น เคนก็ปัดมือปฏิเสธและบอกว่าไม่ใช่แบบนั้น

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง! ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลออกไปเท่านั้นเอง”

ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดว่าพวกเธอเป็นครอบครัวเสียด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นถึงได้ดูหมิ่นแม่เลี้ยงตัวเอง และหน้าแดงเพราะสัมผัสจากมือของน้องสาวต่างสายเลือดไม่ใช่หรือไง

พออาเรียตีหน้าเศร้าน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา เคนก็หันไปมองดูรอบตัวเพื่อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ ก่อนจะย้ำกับเธอว่าห้ามเปิดเผยเรื่องนี้ให้กับใครและเล่าความจริงให้เธอฟัง

“ที่จริงแล้ว…ดูเหมือนว่าท่านไอซิสจะได้แต่งงานกับจักรพรรดิแห่งเนนน่ะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น อาเรียก็ทำกล่องนาฬิกาทรายที่ถืออยู่ร่วงออกจากมือ

***

อาเรียกลับมาที่ห้อง เธอเอามือกุมขมับที่ปวดตุบๆ มาทั้งวัน แม้จะคิดว่าพวกเขาจะร่วมมือกับอาณาจักรต่างแดนก็ตาม แต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขึ้นแต่งงานกับกษัตริย์ต่างแดนด้วยเหตุผลทางการเมืองเช่นนี้

‘…คุณนอาซจะไม่เป็นไรใช่ไหมนะ’

สิ่งแรกที่เธอคิดก็คืออาซจะเป็นอะไรหรือไม่ เธอคิดถึงอาซเป็นอันดับแรก แทนที่จะคิดถึงเรื่องที่คู่แค้นได้อำนาจใหม่มาไว้ในมือและทำให้ทุกอย่างยุ่งยากกว่าเดิมเสียอีก

เนื่องจากไม่สามารถพบเขาได้ง่ายๆ จึงพยายามทำจิตใจที่วุ่นวายให้สงบลงด้วยการบิดขยี้ผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายโดยเปล่าประโยชน์

‘คุณอาซเองก็รู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ’

ความรู้สึกที่อยากให้อยู่ข้างกายเพราะไม่สามารถเจอได้ในเวลาที่อยากเจอ

อาเรียรู้สึกเป็นกังวล เธอเขียนจดหมายขอให้บารอนเวอร์บูมซึ่งรู้ตัวตนของเธอช่วยหาโอกาสให้เธอได้พบกับปิโนต์นัวร์ หลุยส์

หากสร้างสถานการณ์ขึ้นมาโดยการแสร้งว่าได้พบเขาที่ร้านของบารอนเวอร์บูมด้วยความบังเอิญแล้ว ก็ดูจะเป็นแผนที่เข้าท่าไม่น้อย ยิ่งเป็นบารอนเวอร์บูมที่เคยเห็นฉันหายไปกับอาซด้วยกันสองต่อสองด้วยแล้ว ก็คงจะไม่คิดสงสัยอะไรและยอมให้ความร่วมมือด้วยแน่ๆ

ในระหว่างที่อาเรียรอคอยจดหมายตอบกลับอยู่นั้น คาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่เธอได้รับก่อนที่จะได้ข่าวอะไรจากเขา กลับเป็นใบหน้าอันขาวซีดของเคาน์ติสเสียอย่างนั้น

ดูเหมือนเคาน์ติสเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ เธอบ่นและโมโหท่านเคานต์ราวกับรู้ถึงรายละเอียดที่อยู่เบื้องหลังนี้เรียบร้อยแล้ว

เคาน์ติสหน้าซีดเผือด เธอชักชวนอาเรียให้หนีไปอยู่ต่างแดนด้วยกัน

 “เรื่องมันชักจะน่ากลัวไปใหญ่แล้วนะ เห็นทีคงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว ทั้งที่ได้โอกาสเป็นถึงเคาน์ติสแล้วแท้ๆ จะให้มาตายแบบนี้ได้อย่างไรเล่า แม่ว่าเราหนีไปอยู่ที่อื่นกันสักพักเถอะนะ ถ้าสถานการณ์เกิดไม่ราบรื่นขึ้น แม่ก็คงต้องหย่ากับท่านเคานต์ละ”

อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้แต่งงานกับท่านเคานต์เพราะความรักอยู่แล้ว และเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเองในอนาคต เธอก็พร้อมที่จะทิ้งเขาไปได้ทุกเมื่อ

และนี่ก็ทำให้อาเรียพึงพอใจเป็นอย่างมาก เธอพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

“ลูกคิดว่าการทำแบบนั้นจะเป็นผลดีกับแม่มากกว่านะคะ”

เพราะนอกจากท่านเคานต์แล้ว ก็ไม่มีอะไรช่วยปกป้องเธอได้หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะรีบเตรียมตัวให้เร็วที่สุด ลูกมีเรื่องอะไรคั่งค้างอยู่ก็รีบจัดการเข้าละ”

เมื่อเคาน์ติสหันกลับไปด้วยใบหน้าดีอกดีใจ อาเรียก็รีบคว้าแขนของเธอเอาไว้

“เดี๋ยวค่ะ”

“…จะพูดอะไรอีกงั้นหรือ นี่อย่าบอกนะ ว่าลูกจะยังจะอยู่ที่นี่ต่อไปน่ะ แม่นึกไม่ถึงเลยนะว่าลูกจะทำเพื่อนท่านเคานต์ขนาดนี้”

ดูเหมือนเธอไม่คิดที่จะทิ้งลูกสาวในไส้เอาไว้ที่นี่และหนีไปคนเดียว เคาน์ติสถึงได้เริ่มพูดโน้มน้าวใจอาเรียขึ้นมา

อาเรียที่ครุ่นคิดว่าจะตอบอะไรกลับไปนั้น ได้จับมือของเคาน์ติสเอาไว้และบอกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องทำด้วยความรอบคอบ เมื่อได้ฟังดังนั้นสีหน้าของเคาน์ติสก็หมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“เรื่องใหญ่แบบนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้หรอกค่ะ แต่ถ้าท่านไอซิสเข้าพิธีสมรสไปแล้วจะต้องเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นแน่ๆ ค่ะ ฉะนั้นแล้วเราถึงต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบอย่างไรล่ะคะ ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง แม่จะยอมแพ้ไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือคะ”

อาเรียไม่คิดที่จะหนีออกไปจากอาณาจักรแห่งนี้ เธอยังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกมากมายต่างจากเคาน์ติส อีกอย่างในตอนนี้เธอก็กังวลใจเรื่องของอาซอีกด้วย

และหากว่าเป็นไปได้…เธอก็คิดเอาไว้ว่าคงจะดีไม่น้อย หากเธอมอบอำนาจที่เธอสั่งสมมาให้กับเขา และพาตัวเองที่สามารถใช้นาฬิกาทรายย้อนเวลาได้ไปอยู่เคียงข้างเขา

และเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ก็คือการที่เธอจะต้องเป็นคนมอบคำพิพากษาให้กับนางมารร้ายตัวจริงนั่นเอง

“…นั่นน่ะ…”

แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นท่าทีที่ดูสุขุมของอาเรียเข้าแล้ว เคาน์ติสก็ตระหนักได้ว่าตนเองตื่นตระหนกมากเกินไป เธอจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของตนให้เข้าที่และพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะออกไปจากห้องอาเรีย

“…แม่เข้าใจแล้วว่าลูกหมายถึงอะไร แต่สุดท้ายแล้วลูกจะเข้าใจได้เอง ว่าการออกไปจากที่นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

แน่นอนว่าอาเรียเองก็คิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดสำหรับการรักษาชีวิตเอาไว้ แต่เพราะเธอไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว จึงเลือกทางเดินที่ตรงกันข้ามกับสิ่งนั้นไปในที่สุด

***

อาจเป็นเพราะข่าวลือยังไม่ถูกแพร่กระจายออกไป อาซจึงไม่ได้ส่งจดหมายอะไรให้กับ’อาเรีย’เป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ายังโชคดีที่เขาส่งจดหมายตอบกลับให้‘นักลงทุน A’

[ผมต้องขออภัยด้วย ในตอนนี้ผมยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้เลย เห็นทีคงจะไปพบท่านไม่ได้เสียแล้ว ผมจะรอพบท่านในวันงานเปิดวิทยาลัยนะครับ]

อาเรียอ่านจดหมายตอบกลับที่เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับมันอยู่หลายรอบ สีหน้าของเธอเคร่งตึงขึ้นมา ด้วยกังวลว่าอาซกำลังยุ่งเพราะเรื่องของท่านไอซิสอยู่หรือไม่ เขาถึงไม่สามารถมาพบเธอได้

‘เขาจะเป็นอะไรไหมนะ’

อีกไม่นานพิธีเปิดวิทยาลัยก็จะถูกจัดขึ้นแล้ว แม้เธอจะได้พบเขาในไม่ช้านี้ก็ตาม…แต่ใครจะนึกเล่าว่าการที่ไม่สามารถยืนยันข้อสงสัยด้วยตาตัวเองได้อย่างทันทีนั้น จะน่ากลัวถึงเพียงนี้ มากถึงขนาดที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ

เมื่อเจสซี่เห็นอาเรียยกมือขึ้นมาทาบอก เธอก็รีบถามอาเรียว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า พร้อมกับสีหน้าเป็นห่วง

“ให้เรียกหมอดีไหมคะ”

“ไม่ละ ฉันไม่เป็นไร”

“แต่สีหน้าเลดี้ดูไม่ดีเลยนะคะ…ดูอ่อนเพลียมากเลยค่ะ”

อาเรียโน้มน้าวให้เจสซี่ไปพักผ่อนก่อนจะมุดตัวลงบนโซฟาพร้อมกับปิดเปลือกตาและตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองสักพัก แล้วจู่ๆ เธอก็เด้งตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง

ผู้คนที่ไล่ต้อนเธอให้พบเจอกับความตายในอดีตกำลังจะสร้างอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง นี่จึงไม่ใช่สถานการณ์ที่เธอจะวางมือและเฝ้าดูอยู่เฉยๆ ได้

“ช่วยเตรียมปากกากับกระดาษเขียนจดหมายให้ฉันทีนะ”

ใช่แล้ว เธอไม่มีเวลาพอที่จะมัวมากังวลอะไรอยู่แบบนี้ เห็นทีจะต้องทำตามแผนที่วางไว้เสียแล้ว

ถึงเวลาที่จะต้องเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอแอบสั่งสมเอาไว้ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนแล้ว

อาเรียส่งจดหมายจำนวนหนึ่งให้กับคนภายนอก ส่วนจดหมายที่เหลือก็แจกจ่ายให้กับทุกคนในบ้านเริ่มตั้งแต่เคาน์ติสเป็นคนแรก เมื่อพวกเขาได้รับจดหมายก็ขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่ามันคืออะไร

“ลูกหวังว่าจะทุกคนจะเข้าร่วมงานนี้นะคะ เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ น่ะค่ะ”

“นี่น่ะ…คงไม่ใช่วิทยาลัยที่เจ้าชายมีส่วนร่วมอยู่ด้วยหรอกใช่ไหม”

หน้าตาของท่านเคานต์ดูบิดเบี้ยวยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก สำหรับเขาที่เปรียบได้ดั่งบุคคลสำคัญของฝ่ายขุนนางนั้น เจ้าชายถือว่าเป็นศัตรูคนสำคัญที่ไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้เลย

อย่างนั้นแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะร่วมเฉลิมฉลองยินดีให้กับผลงานชิ้นใหม่ของเจ้าชายเป็นแน่

“…ขอโทษนะ แต่พ่อยุ่งน่ะ ถ้ามีเรื่องสำคัญอะไรละก็ ค่อยบอกให้ฟังทีหลังแล้วกัน”

นั่นสิ นี่อาจจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดก็เป็นได้ จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่าลูกสาวคนใหม่ของตัวเองที่ยืนอยู่ตรงหน้า คอยให้ความช่วยเหลือแก่ศัตรูกันล่ะ

แน่นอนว่าเธอตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้น ถึงได้เชิญเขาเข้าร่วมงานด้วย แม้จะน่าเสียดายไปบ้างแต่ท่าทีที่เขาตอบสนองกลับมาก็เป็นสิ่งที่เธอนึกเอาไว้อยู่แล้ว

‘อยากจะรู้จริงๆ ว่าหลังจากพิธีเปิดวิทยาลัยแล้วจะยังทำท่าทางแบบนั้นได้อยู่อีกไหม’

ไม่ว่าเธอจะช่วยเจ้าชายเอาไว้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะอาเรียได้สั่งสมอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อเธอได้อีก เธอจึงคาดหวังที่จะได้เห็นท่าทีหลังจากนี้ของท่านเคานต์

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะคะ เอาไว้ลูกจะมาเล่าให้ฟังหลังจากนี้แล้วกันค่ะ”

“พี่คงจะว่างน่าดูเลยนะคะเนี่ย”

มิเอลปรายตามองพร้อมกับพูดออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นใจให้กับเธอ น้ำเสียงที่ฟังดูเชือดเฉือนของเธอ ทำให้ต้องหันสายตามามองที่เธออยู่ครู่หนึ่ง เคาน์ติสทำหน้าตาราวกับอยากจะต่อว่าอะไรบางอย่างออกไป

แค่มีทุกอย่างเพียบพร้อมเพราะชาติกำเนิดที่พิเศษกว่าคนอื่นเท่านั้น เลยคิดว่าตัวเองสูงส่งอย่างนั้นสินะ หากเป็นเมื่อก่อนแล้วละก็อาเรียคงได้เอาส้อมขว้างใส่หน้ามิเอลไปแล้วแน่ๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว

เพราะในตอนนี้เธอมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมือ แบบที่ทั้งชีวิตของมิเอลผู้โง่เขลาไม่มีวันจะได้ครอบครอง

…………………………………