บทที่ 321 หลุมพราง
ภายในห้องโถงที่รองรับแขก สวี่ชีอันนั่งบนเก้าอี้ ในมือถือถ้วยชาที่สาวใช้รินไว้ ที่เท้ามีกระสอบสูงประมาณเข่าตั้งอยู่
เขานั่งเงียบๆ อยู่สองสามนาที ใบหูก็ขยับเล็กน้อยและได้ยินเสียงของเกล็ดเกราะแกว่งไปมา จากนั้นเขาก็เห็นฉู่เซียงหลงข้ามธรณีประตูและเดินตรงเข้ามาข้างใน
“ขอบคุณแม่ทัพฉู่กับเฉากั๋วกงที่ยื่นมือช่วยเหลือ”
คำพูดของสวี่ชีอันนี้ไม่จริงใจ เพราะเขาไม่แม้แต่จะลุกขึ้นและยังพูดไปพลางจิบชาไปพลาง
ฉู่เซียงหลงไม่ได้สนใจและมองพินิจเขา จากนั้นสายตาก็ตกไปอยู่ที่กระสอบที่เท้าของสวี่ชีอันและกล่าวว่า “ของล่ะ”
สวี่ชีอันวางถ้วยน้ำชาลงและเปิดกระสอบ เผยให้เห็นพระพุทธรูปหินแกะสลัก งานมีดนั้นแย่มาก เทียบกับมือใหม่ไม่ได้
แววตาของฉู่เซียงหลงลุกวาวทันที เขาจ้องมองพระพุทธรูปด้วยสายตาเป็นประกาย แม้ว่ามันจะแกะสลักหยาบๆ ใบหน้ามีเพียงเค้าโครง แต่พุทธสัมผัสที่คล้ายมีคล้ายไม่มี กลับทำให้ผู้คนตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของมัน
“ข้าบันทึกเคล็ดลับพลังเทพวชิระระดับเพชรไว้ในพระพุทธรูปแล้ว ส่วนจะฝึกสำเร็จหรือไม่ นี่เป็นเรื่องของท่านแม่ทัพ” สวี่ชีอันกล่าว
“แน่นอน”
ฉู่เซียงหลงถอนสายตากลับ เขามองสวี่ชีอันและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้าเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ”
เฮอะ หากข้าไม่มีความน่าเชื่อถือ เจ้าคงพูดว่า ฆ้องเงินตัวเล็กๆ เช่นเจ้ากล้ากลับคำพูด แม้แต่เว่ยเยวียนก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้!
สวี่ชีอันยิ้มเย็นในใจ แต่ใบหน้ายังคงสงบเยือกเย็น “อันที่จริงเคล็ดวิชานี้ไม่เสียเงิน หากแม่ทัพฉู่สนใจ ข้าจะขายให้ในราคาห้าร้อยตำลึงเงิน ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนั้น”
ฉู่เซียงหลงเดินเข้ามา ใช้กระสอบห่อพระพุทธรูปและถือไว้ในมือ สีหน้าเยาะเย้ยกับเย้ยหยัน
“ของที่ได้มาด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย ข้ารู้สึกว่าไม่คุ้มค่ากับการเสียเงินห้าร้อยตำลึง แน่นอนว่าร่างทองของสำนักพุทธไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน ฆ้องเงินสวี่เดินทางปลอดภัย ขอไม่ส่ง”
ร่างทองของสำนักพุทธไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน เพราะข้าไม่คู่ควรให้เจ้าจ่ายเงิน…สวี่ชีอันไม่โกรธและยิ้ม “ภูเขาสูงตระหง่าน สายน้ำมิไหลกลับ”
เขาหันหลังกลับและเดินจากไป
ทันทีที่เดินมาถึงลานบ้าน เขาก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบและพูดว่า “ท่านคือ ฆ้องเงินสวี่ สวี่ชีอันใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ข้าเอง” สวี่ชีอันพยักหน้า
“พระมเหสีของข้าอยากพบเจ้า” สาวใช้กล่าว
พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือต้องการพบข้าหรือ หญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งต้องการพบข้าหรือ นี่จะมี…สวี่ชีอันอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหญิงสาวที่มีชื่อเสียงคนนั้นมาก
อย่างไรเสียก็แค่เจอหน้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่…สวี่ชีอันยิ้ม “พี่สาว โปรดนำทาง”
สาวใช้พาสวี่ชีอันเลียบตามทางเดินที่คดเคี้ยว ผ่านลานบ้านกับสวน เมื่อเดินมาหนึ่งเค่อก็ถึงจุดหมาย ซึ่งเป็นศาลาที่แขวนผ้าม่านไว้ทุกด้าน
เขามองเห็นร่างอรชรนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ในมือถือม้วนตำรารางๆ
สวี่ชีอันพยายามมองหน้าตาของนางให้ชัดเจน แต่กลับพบว่าหลังผ้าม่านยังมีผ้าคลุมหน้าอีกชั้นหนึ่ง
“เจ้าคือสวี่ชีอันหรือ”
ภายในผ้าม่าน เสียงของหญิงสาวที่โตเต็มวัยดังขึ้น ในความเย็นชามีเสน่ห์น่าดึงดูดอยู่
แม้จะมองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่เสียงไพเราะมาก…สวี่ชีอันประสานหมัด “พระมเหสีเรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
หญิงสาวในศาลาเอ่ยเสียงเย็น “ข้าได้ยินมาว่าที่ประตูอู่เหมิน เจ้าขวางเจ้าหน้าที่นับร้อยด้วยตัวคนเดียวและแต่งกวีเยาะเย้ย มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”
สวี่ชีอันตอบว่า “เด็กหนุ่มบ้าระห่ำ หุนหันพลันแล่น น่าละอายใจๆ”
‘เจ้าละอายใจหรือ ถุย!’ หญิงสาวในศาลาเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยเสียงเรียบ “ส่งแขก”
แค่นี้หรือ สวี่ชีอันมองหญิงสาวในศาลาอย่างมึนงง หันหลังกลับและตามหลังสาวใช้ไป
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีวัตถุสีเหลืองส้มถูกโยนออกมาจากศาลาและกระแทกที่หลังของสวี่ชีอันดังตุ้บ
“เหตุใดพระมเหสีถึงทุบตีข้า”
สวี่ชีอันหันกลับมาและก้มหน้ามองทองคำบนพื้น เขาไม่ได้รับการเตือนถึงอันตรายจากจิตเทพ นี่หมายความว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีวิกฤต แต่เขาก็โกรธเล็กน้อย
หญิงสาวในศาลาไม่สนใจเขา
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของสวี่ชีอัน เมื่อเห็นว่าพระมเหสีไม่อธิบาย เขาจึงเอนตัวไปเก็บทองคำขึ้นมาและใส่ในกระเป๋าของตัวเองอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน
“ครั้งต่อไปหากพระมเหสีต้องการทุบตีข้า อย่าลืมใช้อิฐทองคำ”
สวี่ชีอันเยาะเย้ยและตามสาวใช้ออกไป
…
ในห้องนอนที่เงียบสงบ ฉู่เซียงหลงปิดประตูกับหน้าต่างอย่างแน่นหนา เขาวางพระพุทธรูปหินแกะสลักลงบนโต๊ะและสังเกตอย่างตั้งใจอยู่นาน เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันมีพุทธสัมผัสหลั่งไหลออกมา ซึ่งเลิศล้ำเกินบรรยาย
แต่ไม่ว่าเขาจะตระหนักรู้ได้อย่างไร เขาก็ไม่อาจซึมซับเคล็ดวิชาจากมันได้
“พลังเทพวชิระระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธต้องการโอกาสที่แน่นอนและรากฐานของพุทธศาสนา สวี่ชีอันสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นระดับเพชรไร้พ่ายได้ มีพรสวรรค์นิดหน่อยจริงๆ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงสามัญชนที่ไม่มีรากฐาน ใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยก็ทำให้เขายอมจำนนอย่างเชื่อฟัง”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่เซียงหลงก็หัวเราะเยาะ เขาทั้งพึงพอใจและดูถูกเหยียดหยาม
‘จอมยุทธ์อัจฉริยะอะไร พรสวรรค์อะไรจะเทียบได้กับอ๋องสยบแดนเหนือ หากไม่มีท่านโหราจารย์แอบช่วยเหลือ เขาจะสู้กับพระอรหันต์แห่งสำนักพุทธได้อย่างไร’
ในบรรดาข่าวลือที่คุยโวโอ้อวดเรื่องเขาในเมืองหลวง สิ่งที่ฉู่เซียงหลงไม่พอใจและเกลียดที่สุดคือการเอาเขามาเปรียบเทียบกับท่านอ๋อง
ฆ้องเงินที่มาจากมือปราบ ชายผู้ต่ำต้อยที่มาจากครอบครัวทหาร เขาคู่ควรหรือ
“นอกจากพลังเทพวชิระระดับเพชร ผลประโยชน์ที่รีดจากเด็กคนนี้ออกมาได้ช่างน้อยจนน่าสมเพช มิฉะนั้นในคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ คุณค่าทั้งหมดของเขาคงถูกสูบจนแห้งในครั้งเดียว”
ฉู่เซียงหลงกับเฉากั๋วกงวางแผนชิงพลังเทพวชิระระดับเพชรย่อมมีเหตุผล ด้วยสถานะ ตำแหน่งและความรู้ของพวกเขา พวกเขาจะไม่รู้ถึงความลึกลับของพลังเทพวชิระระดับเพชรได้อย่างไร
ฉู่เซียงหลงรับราชการทหารตั้งแต่ยังเด็ก ในช่วงปีแรกๆ เมื่อเขาติดตามกองทัพไปปิดล้อมและปราบปรามโจรเร่ร่อน เขาได้พบกับนักพรตที่มาจากดินแดนประจิมทิศคนหนึ่ง
นักพรตคนนั้นพยายามใช้พุทธศาสนาโน้มน้าวโจรเร่ร่อนที่หิวโหย แต่กลับถูกโจรเร่ร่อนมัดไว้และต้องการทำเป็นอาหาร
ฉู่เซียงหลงจึงช่วยชีวิตนักพรต เพื่อตอบแทนความใจดีของเขา นักพรตมอบเครื่องรางทองแดงให้เขา เครื่องรางนี้สลักตัวอักษรพุทธไว้และมีพุทธสัมผัสหลั่งไหลออกมา ทุกครั้งที่สวมติดตัว เขาจะรู้สึกจิตใจสงบ จิตชั่วร้ายสลายไปหมดและเข้าสู่สภาวะที่คล้ายกับการตรัสรู้
หลังจากการต่อสู้ในสนามรบทุกครั้ง ฉู่เซียงหลงจะสวมมันไว้ที่ตัวเพื่อปัดเป่าจิตชั่วร้ายและตระหนักรู้ถึงพุทธศาสนาที่ลึกลับอย่างยิ่ง
‘ครืด…’
เขาเปิดตู้ข้างเตียง หยิบกล่องไม้จันทน์ใบเล็กออกมาและเปิดฝากล่อง ข้างในมีผ้าไหมสีแดงห่อเครื่องรางทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือไว้
“แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนในสำนักพุทธ แต่เครื่องรางนี้ทั้งลึกลับและมีมนต์ขลัง มันสามารถช่วยให้ข้าเข้าสู่สภาวะตรัสรู้บางอย่างได้และอาจจะถือโอกาสนี้ตระหนักรู้ความลึกลับของพลังเทพวชิระระดับเพชรได้ หากข้าฝึกฝนจนกลายเป็นระดับเพชรไร้พ่าย พลังการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับ กุญแจสำคัญคือ ร่างกายที่เหนือกว่าทหารทั่วไปจะช่วยให้ข้าอยู่รอดบนสนามรบได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากข้าสามารถอาศัยเครื่องรางทองแดงฝึกฝนพลังเทพวชิระระดับเพชรได้ ท่านอ๋องก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นท่านอ๋องต้องตบรางวัลให้ข้าอย่างหนักแน่”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของฉู่เซียงหลงก็ลุกวาว เขาแทบอยากจะสัมผัสพระพุทธรูปในทันที
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาเพื่อสงบสติอารมณ์ ทำให้จิตใจสงบและไม่ให้เกิดความหวั่นไหว
จากนั้นเขาก็ถือเครื่องรางทองแดงและเริ่มทำสมาธิ
เขาค่อยๆ รู้สึกถึงกลิ่นอายอันกว้างใหญ่และอ่อนโยน จิตใจแจ่มใสขึ้น เขาพินิจเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอย่างใจเย็นและไม่ถูกความคิดฟุ้งซ่านรบกวนอีก
หลังจากเข้าสู่สภาวะนี้ ฉู่เซียงหลงก็ลืมตาขึ้นและสังเกตพุทธสัมผัสบนรูปปั้นหินอย่างตั้งอกตั้งใจ
ครั้งนี้เขาเห็นพระพุทธรูปเคลื่อนไหวและเปลี่ยนเป็นอิริยาบถต่างๆ อย่างชัดเจน แต่ละอิริยาบถล้วนตามมาด้วยวิธีการขับเคลื่อนลมปราณที่แตกต่างกัน
‘ทำได้จริงๆ…’ ฉู่เซียงหลงรู้สึกปีติยินดีจนแทบจะคงสภาวะ ‘กำเนิดอย่างเฉยเมย’ ไว้ไม่ได้
เขาพยายามลอกเลียนแบบท่าทางบนรูปปั้นหินโดยไม่รู้ตัวและลอกเลียนแบบวิธีการขับเคลื่อนลมปราณอันเป็นเอกลักษณ์นั่น
แผ่นทองตรงระหว่างคิ้วสว่างขึ้นและปกคลุมครึ่งร่างของเขาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น…พลังปราณภายในร่างกายก็ได้รับผลกระทบ ราวกับภูเขาไฟปะทุ โจมตีเส้นลมปราณกับตันเถียนของเขา
“อึก!”
ฉู่เซียงหลงกระอักเลือดออกมา เส้นเลือดบนผิวกายแต่ละเส้นแตก ตันเถียนก็ถูกพลังปราณรุนแรงทำลาย เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ใบหน้าของเขาแดงก่ำทันที หยาดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วหยดลงมา เขาก้มหน้าลงสำรวจตัวเอง แผ่นทองบนแขนค่อยๆ สลายไปทีละน้อย
‘เป็นไปได้อย่างไร เครื่องรางทองแดงก็ใช้การไม่ได้หรือ…’ ความคิดของฉู่เซียงหลงวาบขึ้นมา ดวงตาของเขากลอกไปมาและหมดสติไป
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนสนิทของฉู่เซียงหลงก็มาหาเขาและพบเขาที่หมดสติและกำลังจะตายในที่สุด
“มีผู้ลอบสังหาร มีผู้ลอบสังหาร…”
…
เมื่อพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือฟังทหารรักษาพระองค์รายงานจบ นางก็ทรงระงับความยินดีในใจไว้และถามว่า “ฝึกฝนจนธาตุไฟเข้าแทรกหรือ อยู่ดีๆ เหตุใดถึงธาตุไฟเข้าแทรก”
ทหารรักษาพระองค์ส่ายหน้า “ข้าน้อยก็มิทราบขอรับ”
พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือเอ่ยอย่างมีความสุข “ตายแล้วหรือยัง”
ทหารรักษาพระองค์ส่ายหน้าอีกครั้ง “ชีวิตปลอดภัย แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส โหรของสำนักโหราจารย์บอกว่า ต้องนอนบนเตียงนานเป็นเวลาหนึ่งเดือนถึงจะฟื้นกลับมาเป็นปกติ นอกจากนี้ หากพบช้าเกินไป พลังปราณจะย้อนกลับ เส้นลมปราณก็จะฉีกขาดทั้งหมด เป็นไปได้มากว่าจะไม่หายขาด”
พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือผิดหวังทันที
“แต่ข้าน้อยได้ยินมาว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปที่ฆ้องเงินสวี่มอบให้” ทหารรักษาพระองค์ลังเลเล็กน้อยและพูดออกมา
‘เกี่ยวข้องกับเขาหรือ เจ้าเด็กน่ารำคาญนี่ทำเรื่องดีๆ ที่น่ายินดี…’ พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือคิดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
…
ทางบนเขาที่ขรุขระ หลี่เมี่ยวเจินที่สวมชุดคลุมเต๋าและมัดผมด้วยรัดเกล้าหยกสะพายดาบยาวอาวุธเวทมนตร์ที่อาจารย์มอบให้และเดินไปอย่างช้าๆ
ดอกไม้ป่าริมทางมีสีสันสดใส แสงอาทิตย์เจิดจ้า ทัศนียภาพงดงาม นางเดินไปชมไปอย่างมีความสุข
ร่มกระดาษน้ำมันสีแดงสดตามอยู่เคียงข้างนาง ใต้ร่มนั้นคือซูซูสาวงามล่มเมือง ดวงตาของนางเงางาม ริมฝีปากสีแดงสด ผิวเนียนขาวราวหิมะและสวมชุดกระโปรงยาวที่ดูซับซ้อนงดงาม
หลี่เมี่ยวเจินสวยมาก แต่กิริยาท่าทางก้าวร้าวเกินไป
ในทางกลับกันซูซูแต่งตัวเป็นบุตรีของตระกูลร่ำรวยที่สง่างาม ดวงตาเป็นประกาย ท่าทางเย้ายวนและมีเสน่ห์อย่างที่อธิบายไม่ได้
“อีกแปดสิบลี้จะถึงเมืองหลวง นายท่าน พวกเราพักที่เมืองหลวงสักครู่หนึ่ง ดีหรือไม่” ซูซูมองไปทางทิศใต้และเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ข้าไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับสำนักโหราจารย์ สวี่ชีอันก็เสียชีวิตไปแล้ว หากไม่มีหน้าตาของเขา ซ่งชิงจะสนใจเจ้าสิแปลก” หลี่เมี่ยวเจินเบะปากและโจมตีอย่างไร้ความปรานี
“นั่น…”
ซูซูกลอกตาและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าจะบอกว่าข้าเป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของสวี่ชีอัน”
หลี่เมี่ยวเจินยิ้มเย็น “พอดีเลย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเมตตาเจ้าและขอให้เจ้าไปอยู่กับเขา”
ซูซูหันกลับมาอย่างโกรธเคือง นางยืนอยู่ข้างทางและกล่าวอย่างฉุนเฉียว “ข้าไม่ไปแล้ว ข้าจะกลับนิกายสวรรค์ ข้าจะกลับนิกายสวรรค์”
ท่าทางแสร้งทำเป็นโกรธสามารถกระตุ้นความอ่อนโยนที่อยากทะนุถนอมสตรีของผู้ชายได้อย่างมาก
ทว่าน่าเสียดายที่หลี่เมี่ยวเจินไม่ใช่ผู้ชาย นางจึงพลิกมือจะตบหลังหัวของซูซู “จะไปหรือไม่ไป”
ซูซูที่จะถูกทุบตีเชื่อฟังทันที “ไอหยา อย่าตีหัวข้า ข้าถูกนายท่านทุบตีจนยับเยินแล้ว”
เวลานี้ หลี่เมี่ยวเจินสูดจมูกและเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าได้กลิ่นเลือด”
นางมองไปรอบๆ ครู่หนึ่งและมุ่งความสนใจไปที่พุ่มไม้ข้างหน้า
…………………………………………………