มู่เฉียนซีพยายามที่จะออกจากอ้อมกอดของจิ่วเยี่ย แต่กลับถูกเขาดึงตัวกลับไปอย่างรุนแรง

จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าจะไปไหน ?”

มู่เฉียนซีจนปัญญา และอยากจะกล่าวกับจิ่วเยี่ยจริง ๆ ว่า ‘ช่วยไม่ได้ แต่เจ้าจะต้องเป็นพาหนะของข้าเสียแล้ว’

“จะไปไหนได้อีก ก็ไปหอหมอปีศาจสิ”

ลมหนาวได้พัดผ่านมาสายหนึ่ง ทำให้ชายผู้ที่น่าหวั่นกลัวกับสาวน้อยอัจฉริยะผู้งดงามนั้นได้หายตัวไปต่อหน้าต่อตาของเขาภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา เชียนอ้าวเซี่ยมองไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไป เรี่ยวแรงทั้งตัวของเขานั้นราวกับโดนดูดเอาไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความโดดเดี่ยวสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง

เชียนอ้าวเซี่ยรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ในหัวใจ การแข่งขันอย่างยุติธรรมอะไรกัน นั่นมันเป็นเพียงการที่เขาหลอกตนเองก็เท่านั้นมิใช่รึ ?

มิเพียงแค่ชายผู้นั้นมีความแข็งแกร่งอย่างมิอาจหยั่งถึงได้ แต่เสี่ยวซีซีเองก็เชื่อมั่นและชอบเขาอย่างที่สุด  การพึ่งพากันและกันเช่นนั้น  ความเข้าใจกันและกันเช่นนั้น เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

เชียนอ้าวเซี่ยกลับวังไปอย่างไร้วิญญาณ เดิมทีวันนี้ควรเป็นหนึ่งวันแห่งการไปมาหาสู่กันอย่างมีความสุข แต่มันถูกทำให้วุ่นวายเพราะการปรากฏตัวของจิ่วเยี่ย

“คิดถึงเจ้า” คำสามคำนี้ได้ลอยเข้ามาอย่างเย็นยะเยือก แต่กลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด “เจ้าก็อยู่ด้วยตลอดมิใช่หรือ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

“ข้าคิดถึงร่างกายของเจ้า” ดวงตาสีฟ้าที่เยือกเย็นนั้น มองลึกเข้าไปในดวงตามู่เฉียนซี

— ปัง! —

มู่เฉียนซีแทบจะล้มลง

“นี่เหมือนจะเป็น… ครั้งสุดท้ายแล้วกระมัง” มู่เฉียนซีคอยนับ เหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริง ๆ ทุกครั้งที่จิ่วเยี่ยถูกทำให้ทรมานจนในหัวว่างเปล่า นางล้วนแต่ลืมนับมัน

ในที่สุดก็จ่ายหนี้ที่จะต้องจ่ายหมดเสียที มู่เฉียนซีมีอารมณ์ที่สดใสไม่น้อยเลย

ริมฝีปากอันบางเฉียบของจิ่วเยี่ยดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจนัก

มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงความอันตรายระดับเดียวกับสัตว์ป่า จากนั้นเสียงที่เคร่งขรึมก็ลอยละล่องมา “ดูเหมือนว่าซีจะไม่ตั้งใจมาโดยตลอด”

“ครั้งสุดท้าย ข้าจะทำให้เจ้าใส่ใจกับมันอย่างสิ้นเชิง!”

อะไรคือคำที่ว่าอย่างสิ้นเชิง ?

…นั่นมันก็คือทำให้มู่เฉียนซีหายสาบสูญไปสามวันสามคืน เพราะว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงทำให้สัตว์ป่าตัวนั้น (จิ่วเยี่ย) รักษาโอกาสเป็นอย่างมาก และเกือบที่จะทำให้มู่เฉียนซีตายคาอ้อมกอดอีกครั้ง มู่เฉียนซีจับที่เอวของตนเองพลางกล่าว “จิ่วเยี่ย ทีหน้าทีหลังหากเจ้าอยากจะฆ่าข้าก็รัดคอข้าเสียจะดีกว่า เหตุใดถึงต้องใช้ความโหดร้ายทารุณเช่นนี้ด้วย ข้าจะตายอยู่แล้วให้ตายเถอะ!  โอ๊ย! เจ็บ…”

เมื่อมู่เฉียนซียกแขนขึ้น ก็เห็นว่ามีรอยฟกช้ำดำเขียวเป็นจ้ำ ๆ!

“จิ่วเยี่ย! เจ้าคิดว่าทำข้าเช่นนี้ ข้าไม่เจ็บรึ ?”

“ข้าไม่คิด เจ้าเองก็เคยทำกับข้ามาก่อน” จิ่วเยี่ยตอบเสียงเรียบ

ทว่านั่นทำให้สองข้างแก้มของมู่เฉียนซีแดงระเรื่อขึ้นมา นี่เขากำลังเตือนว่านางนั้นติดค้างหนี้อย่างไรเช่นนั้นหรือ ?

“นั่นเป็นเพราะข้าทะนุถนอมเจ้าเข้าใจหรือไม่ ส่วนเจ้า… เจ้านั้นเป็นเดรัจฉานตัวหนึ่ง หึ!” มู่เฉียนซีถลึงตาพลางก่นด่าจิ่วเยี่ย ยิ่งนางคุ้นเคยกับชายผู้ที่ทำให้คนทั้งใต้หล้าหวาดกลัวและยังสามารถทำให้จิตวิญญาณและร่างกายของคนสลายหายไปได้มากขึ้น นั่นก็ยิ่งทำให้นางไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

เวลาเดียวที่เขาจะทำให้นางกลัวได้ก็คือช่วงเวลาที่เขามาเก็บหนี้ที่ติดค้างเท่านั้น

มู่เฉียนซี “หนี้นั้นข้าได้ชำระหมดสิ้นแล้ว ข้าเป็นหมอรักษาโรคให้เจ้าและเจ้าเป็นคนป่วยที่อยู่ในการดูแลของข้า หากไม่มีการอนุญาตจากข้า ทางที่ดีเจ้าอยู่ให้นิ่งเสียหน่อยดีกว่า มิเช่นนั้นข้ามีวิธีการเป็นหมื่นที่จะทำให้เจ้า…”

“หึ!”

มู่เฉียนซีมองเขา การบ่งบอกถึงการกล่าวเตือนของนางนั้นชัดเจนมาก

“อาการกำเริบ! ใช่หรือไม่…” จิ่วเยี่ยถาม เวลานี้เขาเหมือนคนที่พูดไม่รู้เรื่อง ริมฝีปากที่เบาบางนั้นเข้ามาใกล้มู่เฉียนซี และบนแก้มของนางก็มีไอร้อนแผ่ออกมา

“เจ้าแกล้งป่วยให้มันน้อยหน่อย มิใช่ว่าจะป่วยปีละครั้งหรอกหรือ ? และข้าก็หาหม้อเทพนิรันดร์พบแล้วด้วย บางที…”

‘โอ้! สวรรค์’

นางเอาแต่คิดว่าจะถอนพิษร้ายให้ท่านอาอย่างไร แต่กลับลืมถามเจ้าหม้อเทพนิรันดร์ไปเลยว่าจะแก้คำสาปของจิ่วเยี่ยเช่นไรได้บ้าง ?

“หม้อนิรันดร์! เจ้าหม้อเทพนิรันดร์!”

มู่เฉียนซีเรียกหม้อเทพนิรันดร์ด้วยความสัมพันธ์ของผู้ทำพันธสัญญา แต่ปรากฏว่าเจ้าหม้อเทพนิรันดร์มิได้ตอบรับกลับมาแม้สักหนึ่งคำ  กลับมีเสียงที่ไม่พอใจเสียงหนึ่งลอยมา “หึ! สตรีบ้า เหตุใดเจ้าถึงได้ร้องเรียกเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นด้วยความเสน่ห์หาเช่นนั้นเล่า เจ้าคงไม่หลงรักเขาไปแล้วหรอกกระมัง!”

มู่เฉียนซีอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองท้องฟ้า “อาถิง เจ้ามิเข้าใจสำนวนภาษาก็อย่าได้กล่าวมั่วซั่ว อะไรที่เรียกว่าด้วยความเสน่ห์หากันล่ะ ?!”

“หึ! ในตอนนี้ยังไม่ใช่ แล้วในภายหลังจะใช่หรือไม่เล่า” อาถิงแค่นเสียงถามขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา ? เมื่อไรเขาถึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้” มู่เฉียนซีถาม

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าพวกเราล้วนแต่เป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่เรื่องส่วนตัวเช่นนั้นข้าไม่รู้แน่ชัดหรอก”

มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงมา ของศักดิ์สิทธิ์ระดับตำนานที่หลับใหลเป็นร้อยปีได้เช่นนั้น หากถึงเวลาที่คำสาปของจิ่วเยี่ยออกอาการและนางไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้ นางจะทำเช่นไร ?

“ข้านั้นเทียบไม่ได้กับมู่อวู่ซวงเลยรึ ?” จู่ ๆ จิ่วเยี่ยก็ถามขึ้นอย่างเย็นชา

“ท่านอาเป็นญาติของข้า” มู่เฉียนซีตอบ

“เจ้ากำลังบอกข้าว่า เจ้าอยากให้ข้ากลายเป็นญาติของเจ้าหรือ ?” จิ่วเยี่ยกล่าวพลางมองไปที่นาง

มู่เฉียนซีตะลึงงัน ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่อยากที่จะเป็นเครือญาติกัน นั่นก็หมายความว่าเป็น… ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยนะ” มู่เฉียนซีผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนกเต็มที่

จิ่วเยี่ยเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่ว่าข้าหมายความเช่นนั้น” พูดจบเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ  สายตาของเขาอันตรายและเร่าร้อนจนมู่เฉียนซีกลัวว่าจะถูกจับไปแต่งงาน จากนั้นก็พาเข้าเรือนหอ

“ตอนนี้ข้าเป็นหมอของเจ้า จิ่วเยี่ย เจ้ารักษาอาการป่วยให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยมาหยอกล้อข้าผู้เป็นหมอได้หรือไม่ล่ะ ?” มู่เฉียนซีทําได้เพียงใช้แผนชะลอกําลังทหารเท่านั้น  นางยังไม่ได้เพลิดเพลินกับอิสระเลย ยังไม่ได้เดินทางไปทั่วโลกที่แปลกประหลาดแห่งนี้เลย ยังไม่ได้พบพลังวิเศษทั้งหมดเลย และนางยังอยากที่จะพัฒนายาต่าง ๆ อยู่เลย  ทว่านางก็ต้องมาผูกชีวิตของตนเองไว้เช่นนี้

จิ่วเยี่ยลูบผมยาว ๆ ของมู่เฉียนซีอย่างช่วยไม่ได้  สตรีผู้นี้ราวกับสายลมที่พัดผ่าน เมื่อจับไว้แน่นขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นางหนีไปเร็วขึ้นเท่านั้น เขามีเวลาที่จะทำให้สายลมเบาบางผู้นี้ยอมหยุดอยู่ข้างกายเขาอย่างเต็มใจ …แต่ถึงอย่างไรคําสาปของร่างกายเขาก็เป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ซึ่งต้องกําจัดมันไปให้ได้

สายตาของจิ่วเยี่ยเปลี่ยนไป ในที่สุดเขาก็ให้คําตอบกับมู่เฉียนซีว่า “ได้”

“อืม เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายจริง ๆ” มู่เฉียนซียิ้มกว้าง ในที่สุดคนไข้ที่ไม่เชื่อฟังคนนี้ก็สงบลงมาเล็กน้อยแล้ว

เด็กดี!

ผู้ที่กล้าพอที่จะพูดคําสองคํานี้กับจิ่วเยี่ยได้ เกรงว่าคงจะมีเพียงมู่เฉียนซีเท่านั้นที่กล้าเอ่ยปากพูด  สำหรับจื่อโยว หากเขาอยู่ที่นี่ เขาคงตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่อแน่นอน

หมดหนี้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยมากแต่มู่เฉียนซีก็รู้สึกดีมาก

รอจนท่านอาล้างพิษเสร็จและเจ้าหม้อเทพนิรันดร์ฟื้นขึ้นมา นางก็จะสามารถทำทุกอย่างเพื่อรักษาคนไข้ที่รักษาได้ยากที่สุดในชีวิตนี้อย่างจิ่วเยี่ยได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องน่าเห็นใจนั่นก็คือ อวิ๋นหวงได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงต่อให้จิ่วเยี่ยหายตัวไปอีกครั้ง สำนักอวิ๋นเยียนก็ไม่กล้าลงมือสังหารมู่เฉียนซีอย่างรีบร้อนแล้ว พิษของหมอปีศาจนั้นทำให้นักปรุงยาของสำนักอวิ๋นเยียนทำอะไรไม่ถูก

หอฉงโหลวบนเมฆายังไม่ปรากฏตัว มู่เฉียนซีสงสัยว่าเจดีย์เทพหนานอู้กําลังหลอกนางอยู่ แม้ว่าหอฉงโหลวบนเมฆาจะไม่ปรากฏขึ้น แต่ดินแดนลึกลับของแคว้นเฉียนเซี่ยกำลังจะเปิดขึ้นแล้ว

“เสี่ยวซีซี พวกเราจะออกเดินทางแล้ว…” แม้ว่าเชียนอ้าวเซี่ยจะเสียสติไปหลายวัน ทว่าเขาก็ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

แม้ว่าความห่างชั้นระหว่างตนกับศัตรูหัวใจจะแสนกว้างใหญ่ แต่แล้วอย่างไรเล่า ? เขาจะไม่ยอมแพ้ตราบใดที่เขาสามารถมองเห็นเสี่ยวซีซีได้ทุกวัน นั่นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเช่นกัน

ชอบ… แต่ก็ไม่จำเป็นต้องได้มา

แม้ว่าน่าหลานอวี้จะบาดเจ็บสาหัสในวันนั้น  เขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และแน่นอนว่าจิตสํานึกของเขาย่อมไม่ด้อยไปกว่าเชียนอ้าวเซี่ย

“เสี่ยวซีซี ไปกันเถอะ”

ดินแดนลึกลับของแคว้นเฉียนเซี่ยบนเส้นชีพจรมังกรของแคว้นเฉียนเซี่ย มีภูเขาที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด ผู้คนทั้งหมดหนึ่งร้อยคนที่ได้รับเลือกล้วนมารวมตัวกันครบถ้วนแล้ว

“ปรมาจารย์มู่ องค์รัชทายาทเซี่ย นายน้อยน่าหลานมาแล้ว”

ต้องยอมรับเลยว่าการปรากฏตัวของทั้งสามคนสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามขึ้นมามากจริง ๆ

.