บทที่ 226 สาดน้ำใส่เธอทั้งตัว

รักหวานอมเปรี้ยว

“งั้นหล่อนก็ลองพูดมาซิว่า ทำไมหล่อนจะต้องเรียกเปปเปอร์มาที่นี่ด้วย?” มายมิ้นท์กำลังล่นกับไม้ปัดขนไก่และถามอย่างเย็นชา

พิศมัยท้าวสะเอว “แล้วทำไมหล่อนถึงไม่ยอมตัดใจจากเปปเปอร์สักที”

มายมิ้นท์รู้สึกมีความสุข แล้วจึงพูดว่า “จากที่คุณพูด พอฉันเรียกให้เขามาเขาก็มา งั้นเขาก็คงตัดใจจากอดีตภรรยาคนนี้อย่างฉันไม่ได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ?”

“หล่อนพูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆหน่อย เปปเปอร์น่ะเหรอจะตัดใจจากหล่อนไม่ได้? หล่อนคิดแบบโลกสวยเกินไปแล้วล่ะ เปปเปอร์ไม่เคยรักหล่อน” พิศมัยเชิดหน้ามองเธออย่างดูถูกเหยียดหยาม

มายมิ้นท์เคลื่อนสายตาออกไปอย่างแหนงหน่าย “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วคุณคิดว่าฉันจะสามารถเรียกเขามาได้ไหมล่ะคะ?”

“นี่…..” พิศมัยสำลักอยู่ครู่หนึ่ง

แต่ไม่นาน เธอก็ยกหน้าอกขึ้นอีกครั้งและตอบอย่างมั่นใจว่า “ใครจะไปรู้ว่าหล่อนจะใช้วิธีที่ลับลมคมนัยอะไรเรียกให้เปปเปอร์มา?”

“เฮ้อ เถียงข้างๆคูๆ” มายมิ้นท์หรี่ตาลงอย่างน่าอันตรายสักครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันจะบอกคุณเอาไว้เลยนะคุณพิสมัย ถ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก เชื่อหรือเปล่าว่าฉันจะใช้แปรงขัดชักโครกขัดปากของคุณซะ?”

“แก……แกกล้า!” พิศมัยเบิกตากว้าง

มายมิ้นท์ยิ้มเยาะ “งั้นคุณก็คอยดูว่าฉันจะกล้าหรือไม่กล้า!”

เธอโบกไม้ขนไก่สักครู่หนึ่ง

พิศมัยก้าวถอยหลังไปในทันทีโดยจิตใต้สำนึก

เนื่องจากเธอถอยหลังเร็วเกินไป ส้นเท้าซ้ายของเธอจึงเหยียบเข้ากับเท้าขวาโดยไม่ระวัง หลังจากนั้นจุดศูนย์ถ่วงของเธอก็ไม่เสถียร และก้นของเธอก็ไปนั่งอยู่บนพื้นเสียแล้ว เธอเจ็บจนใบหน้าขมวดเข้าหากัน และเอาแต่ร้องโอยๆอยู่ในปาก

“แม่!” ปีโป้ที่ไม่พูดไม่จาอยู่เงียบๆรีบไปประคองเธอ

พิศมัยลูบบั้นท้ายไปมา

มายมิ้นท์ พูดให้เธออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยว่า “สมน้ำหน้า!”

“แก……”

“คุณเป็นอะไรของคุณ พอเข้ามาก็ใส่ร้ายว่าฉันเป็นคนทำให้เปปเปอร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คิดว่าฉันจะไว้หน้าคุณจริงๆเหรอ?” มายมิ้นท์มองไปที่เธอด้วยสีหน้าที่เย็นชา “รีบไสหัวไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้คุณลำบากใจมากยิ่งขึ้น!”

“ฉันกลับอยากจะดูซิว่าหล่อนจะทำให้ฉันลำบากใจได้ยังไง!” พิศมัยไม่เก็บคำพูดของมายมิ้นท์ไปใส่ใจเลย เธอจึงผลักปีโป้ให้ไปยืนที่กลางประตู “ถ้าหล่อนไม่อธิบายเรื่องของเปปเปอร์ให้ฉันฟังให้กระจ่าง ฉันก็จะยังไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“แม่…….” ปีโป้เอามือประคองหน้าผากด้วยความอับอายเล็กน้อย “อย่าเป็นแบบนี้เลยนะครับ”

“ยุ่งเรื่องของฉันให้มันน้อยๆหน่อย” พิศมัยถลึงตาจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ

มายมิ้นท์ยิ้มเยาะ แล้วพูดว่า “ดี ไม่ไปใช่ไหม งั้นคุณก็อย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”

เธอหันหลัง แล้วเดินเข้าไปในห้อง

ปีโป้คิดในใจว่าไม่ดีแน่ๆ จึงรีบถามเสียงดังขึ้นมาว่า “พี่มายมิ้นท์ พี่จะทำอะไร?”

มายมิ้นท์ไม่สนใจเขา เธอเดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำ แล้วเอาอ่างน้ำมา หลังจากนั้นก็กลับไปที่ประตู แล้วสาดน้ำใส่พิศมัยโดยตรง

พิศมัยคิดไม่ถึงว่ามายมิ้นท์จะมาไม้นี้ สีหน้าของเธอจึงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เธออยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว พอถูกสาดน้ำเข้าไปเต็มๆ ร่างกายของเธอจึงเปียกปอนไปทั้งตัว

เธอเช็ดน้ำที่อยู่บนใบหน้าออก ในขณะที่กำลังมองครบเปื้อนหลากสีที่อยู่ในมือ เธอก็รู้เลยว่าเครื่องสำอางได้เลอะไปทั่วใบหน้าของตัวเองแล้ว ทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องขึ้นมาด้วยความรับไม่ได้ “กรี๊ดๆๆ!”

เดิมทีปีโป้เคยคิดที่จะไปดูแลเอาใจใส่เธอสักหน่อย แต่ในขณะนี้เขาก็ได้ล้มเลิกความคิดไปแล้ว แล้วก้มหน้าลงต่ำ

คุณพระ ช่างน่าขายหน้าชะมัดเลย!

เขาไม่อยากยอมรับว่าผู้หญิงที่เป็นเหมือนคนบ้าคนนี้ คือแม่ของเขาเอง

ในขณะที่มายมิ้นท์กำลังมองพิศมัยที่อับอายไปทั้งตัวก็ฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจ แล้วพูว่า “ฉันเคยพูดแล้ว ว่าถ้าคุณยังไม่ไปอีก ฉันจะทำให้คุณลำบากใจมากยิ่งขึ้น!”

พอพิศมัยเอามือออกมาจากใบหน้า ก็ปรากฏหน้าตาที่อัปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยรอยกระด่างกระดำ เธอจึงจ้องมองมายมิ้นท์ด้วยความอาฆาตแค้น แล้วพูดว่า “แกคอยดูเถอะ เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้หรอก ฉันจะไม่ปล่อยแกไปเด็ดขาด!”

พอพูดจบ เธอก็หันหลังกลับ แล้ววิ่งไปที่ลิฟต์อย่างด้วยความโมโห

ปีโป้มองดูเธอ แล้วก็มองดูมายมิ้นท์อีกครั้งหนึ่ง อ้าปากแล้วอ้าปากอีก ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่มายมิ้นท์ขี้เกียจเกินกว่าจะไปถาม เธอจึงตั้งใจปิดประตูเข้าไปเสียเลย

ปีโป้รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา แต่ทว่าในขณะที่กำลังมองประตูห้องที่ปิดอยู่ เขาก็เลยจำใจต้องกลืนคำพูดของตัวเองกลับไป แล้วหันหลังไล่ตามพิศมัยไป หลังจากที่คิดว่าจะคลายความโมโหให้เธอแล้ว เขาก็จะกลับไปที่ทีมบาสเก็ตบอล

ในห้องนั่งเล่น มายมิ้นท์วางอ่างล้างหน้าไว้บนโต๊ะกาแฟ หลังจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรศัพท์ไปหาท่านย่า

เปปเปอร์เป็นอย่างไรบ้าง เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด เธอเป็นห่วงแค่ท่านย่าเท่านั้น

ระหว่างสองพี่น้องเปปเปอร์และปีโป้นี้ คนที่ท่านย่ารักที่สุดก็คือเปปเปอร์ ถ้าเกิดเรื่ออะไรกับเปปเปอร์ท่านย่าจะต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่

ไม่นาน โทรศัพท์ก็เชื่อมต่อแล้ว แล้วเสียงที่เหนื่อยล้าของท่านย่าก็ดังขึ้นว่า “หนูมิ้นท์ คิดถึงย่าแล้วใช่ไหม?”

“ค่ะ คิดถึงแล้วล่ะค่ะ” สีหน้าของมายมิ้นท์นุ่มนวลลงมา แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านย่าคะ ท่านย่าไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”

ท่านย่ารู้ว่าเธอหมายถึงอะไร จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วพูดว่า “ย่าไม่เป็นอะไรจ๊ะ”

“แต่พอย่าได้ยินเสียงของเธอ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเลย……” มายมิ้นท์ยังคงไม่วางใจอยู่เล็กน้อย

ในขณะที่ท่านย่ากำลังมองดูหลานชายที่บนเตียงผู้ป่วยและยังไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “วางใจเถอะมิ้นท์ ย่าก็แค่พักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น อย่าได้เป็นห่วงเลย”

เกิดเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้กับเปปเปอร์ เธอจะหลับตาลงไปได้อย่างไร

ดังนั้นเมื่อคืนวานเธอจึงเฝ้าอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา และไม่ได้หลับตานอนทั้งคืน

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เมื่อมายมิ้นท์เห็นว่าท่านย่าไม่เหมือนว่ากำลังโกหกเธออยู่ หัวใจที่ยกสูงขึ้นก็ร่วงกลับมาอยู่ที่เดิม

จากนั้นต่อมา เธอก็พูดโน้มน้าวว่า “ท่านย่าคะ ฉันรู้ว่ามีเรื่องบางอย่างกับประธานเปปเปอร์ ท่านย่าคงรู้สึกไม่สบายใจ แต่ท่านย่ายังต้องให้ความสำคัญกับการพักผ่อนด้วยนะคะ ท่านย่าอายุมากแล้ว จะต้องพักผ่อนให้เต็มที่นะคะ”

ท่านย่าหัวเราะฮ่าๆและพูดต่อไปว่า “ดีดีดี ย่ารู้แล้ว รอให้เปปเปอร์ฟื้นแล้ว ย่าก็จะไปพักผ่อนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ประธานเปปเปอร์ยังไม่ฟื้นเหรอคะ?” มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว

เวลาที่รถเกิดอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้ น่าจะเป็นเวลาห้าทุ่ม และจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเป็นเวลาเก้าชั่วโมงแล้ว

ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะร้ายแรงอยู่นิดหน่อยนะ

ท่านย่าส่ายหน้าไปมา “ยังเลย หมอบอกว่าเปปเปอร์ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะภายในและสมอง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฟื้นเร็วขนาดนั้น จริงสิมิ้นท์ เธอจะมาเหยี่ยมเปปเปอร์หรือเปล่า?”

“ไม่หรอกค่ะท่านย่า” มายมิ้นท์ลู่หนังตาลง และยิ้มปฏิเสธอย่างเมินเฉย “ฉันกับประธานเปปเปอร์หย่ากันมานานแล้ว ไม่เหมาะสมหรอกค่ะ”

“งั้นก็ได้” ท่านย่าทอดถอนใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

หลังจากนั้น มายมิ้นท์ก็คุยกับเธอสักพัก แล้วจึงวางสายไป

กว่าจะเก็บของเสร็จเรียบร้อยและออกไปข้างนอกก็ใกล้จะเก้าโมงแล้ว

มายมิ้นท์กำลังขับรถออกมาจากที่จอดรถ และเมื่อเธอขับรถผ่านถนนทางประตูทิศตะวันตกของคอนโดพราวฟ้าเส้นนั้น เธอก็ค่อยๆลดความเร็วลงเล็กน้อย แล้วหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง

ที่นี่คือสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อคืนนี้ แต่ตอนนี้ได้ถูกทำเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านแล้ว และมองไม่ออกเลยเคยมีอุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้น

จะว่าไปแล้ว เธอยังไม่รู้เลยว่าทำไมเปปเปอร์ถึงมาประสบอุบัติเหตุที่นี่ได้ แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ?

มายมิ้นท์ยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง สวมแว่นกันแดดสีดำ แล้วขับรถออกไปด้วยความเร็วอีกครั้ง

ณ โรงพยาบาล

ท่านย่ากำลังนั่งอยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วย และกำลังถือแก้วน้ำกับสำลีก้านมาทาริมฝีปากของเปปเปอร์ให้ชุ่มชื่น

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เธอจึงพูดขานรับสองคำโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองว่า “เข้ามา”

เมื่อประตูเปิดออก ส้มเปรี้ยวก็กอดดอกลิลลี่ช่อหนึ่งเข้ามาจากข้างนอก และเมื่อเห็นท่านย่า เธอก็เอ่ยปากพูดอย่างประหม่าราวกับถูกขู่ให้กลัวอย่างไรอย่างนั้นว่า “ท่านย่า ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือคะ”

ท่านย่าขมวดคิ้วด้วยความอิดหนาระอาใจ

เธอไม่ชอบท่าทางที่เอาแต่นอบน้อมและเชื่อฟังลูกเดียวของผู้หญิงคนนี้เลย ราวกับว่ามีใครรังแกเธออย่างไรอย่างนั้น

บุคลิกท่าทางแบบนี้ แม้แต่นิ้วมือนิ้วหนึ่งของมิ้นท์ก็ยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเปปเปอร์คิดว่ามันมีดีตรงไหนกันแน่

ท่านย่าเหล่ตามองเปปเปอร์อย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นก็ตอบกลับอย่างเมินเฉยว่า “หลานชายของฉันประสบอุบัติเหตุ ถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่ งั้นเธอก็บอกฉันที ว่าฉันควรจะไปอยู่ที่ไหน?”

“ไม่ไม่ไม่ หนูไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะคะ หนูก็แค่แปลกใจที่ท่านย่าอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านยังมาดูแลเปปเปอร์อีกเท่านั้นเองค่ะ” ส้มเปรี้ยวระงับความโกรธในใจเอาไว้ แล้วโบกมือไปมาเพื่ออธิบาย

ถ้ารู้มาก่อนว่าอีแก่นี่อยู่ที่นี่ เธอก็คงมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อยแล้ว

ทุกครั้งที่เจออีแก่นี่ก็ล้วนแต่ไม่เคยทำสีหน้าดีดีให้เธอเลยสักครั้ง คอยดูเถอะ พอเธอได้กลายเป็นภรรยาของเปปเปอร์เมื่อไหร่ เธอจะต้องทรมานอีแก่นี่ให้สาสมและทำให้อีแก่นี่เสียใจที่ทำกับเธอแบบนี้ในตอนนี้อย่างแน่นอน

ท่านย่าวางแก้วน้ำไว้บนหัวเตียงแล้วถามว่า “ดอกไม้นั่น เป็นของเยี่ยมเปปเปอร์ใช่ไหม?”

ส้มเปรี้ยวมองไปยังดอกลิลลี่ที่อยู่ในมือ ยิ้มและพยักหน้า แล้วก็พูดว่า “ใช่ค่ะ หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเปปเปอร์ชอบดอกอะไร ดังนั้นหนูก็เลยครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงซื้อดอกลิลลี่มาช่อหนึ่งค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เธอพูดว่า เธอไม่รู้ว่าเปปเปอร์ชอบดอกอะไรใช่ไหม?” ทันใดนั้นท่านย่าก็หรี่ตาลงทันที