“‘เชิญ’ อย่างนั้นหรือ อะไรกันครับ…”

อาซถามกลับอย่างไม่ชัดเจนไม่สมกับเป็นตัวเขา อาเรียจึงเอ่ยเตือนเขาไปเล็กน้อย

“ทุกคนกำลังมองอยู่นะคะ เจ้าชาย”

ถึงคนอื่นๆ จะอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่หากเขาแสดงท่าทีตกใจขนาดนี้ทุกคนคงสังเกตเห็นแน่

คำเตือนของอาเรียทำอาซสะดุ้งแล้วรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นแบบเดิม

แต่ราวกับภายในใจยังคงอยู่ในอารามตกใจไม่หาย เขายังไม่ออกคำสั่งหรือพูดอะไรกับอาเรียที่คุกเข่าอยู่ในท่าทางที่ดูอย่างไรก็ไม่สบายตัวทั้งสิ้น

ในที่สุดเธอก็ต้องเอ่ยเตือนการกระทำของเขาที่เอาแต่จ้องมองเธอไม่พูดไม่จาอีกครั้ง

“ดิฉันเจ็บขาแล้วนะคะ”

“…ลุกขึ้นได้แล้วล่ะครับ”

อาเรียยืดตัวขึ้นยืนตรงตามคำอนุญาตจากอาซก่อนจะกะพริบขนตายาวเป็นแพแล้วถามด้วยท่วงท่าสุขุม

ราวกับมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

“ดิฉันขออนุญาตขึ้นพูดแทนพระองค์ได้ไหมคะ”

นี่เธอบ่นอยากรู้และพยายามตามหาตัวตนที่แท้จริงของเขาถึงเพียงนั้น แต่กลับปิดบังซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของเธอเอาไว้เสียเองแบบนี้อย่างนั้นหรือ

หากเป็นตัวเขาในเวลาปกติต้องรู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายหักหลังและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอเลยแม้แต่น้อย อาซจึงได้แต่นึกทอดถอนอยู่เพียงในใจ

อาซพยักหน้าเล็กน้อยให้อาเรียที่ยังคงแย้มยิ้มงดงามไม่เคยเปลี่ยนแทนคำตอบก่อนจะถอยลงจากแท่นยืนพูดช้า ๆ เพื่อให้พื้นที่แก่อาเรีย

อาซมองตามหลังเธอที่เดินขึ้นไปอย่างสง่างามปราศจากท่าทีคุกคามหาเรื่อง ในสายตาของเขายังคงมีความสับสนปะปนอยู่

แม้จะได้เห็นประจักษ์แก่ตาตัวเองแล้วแต่เขาก็ดูเหมือนยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับความจริงที่ว่าอาเรียคือผู้ลงทุนได้

แต่คนที่ตกใจใช่จะมีแค่อาซ

“ทำไมอาเรียถึงได้…”

ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ที่ลูกสาวของหล่อนควรจะอยู่แต่อาเรียกลับขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นด้วยความมั่นใจ เคาน์ติสจึงผุดลุกขึ้นทันที หล่อนตั้งใจจะไปลากเธอลงมาเสียเดี๋ยวนี้

แอนนี่เข้ามาขวางหน้าหล่อนเอาไว้พลางส่ายหน้า

“เลดี้คือคนที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้นถูกแล้วละค่ะ”

ทั้งความเคารพและยินดีฉายชัดอยู่บนใบหน้าของหล่อน มันคือความรู้สึกที่ต่างไปจากตอนที่หล่อนเคยเคารพและโหยหามิเอลลิบลับ

และเป็นความเกรงขามที่มีให้กับผู้ที่กำเกียรติและศักดิ์ศรีไว้ในมือด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ไม่ใช่ความโหยหาลมๆ แล้งๆ ที่มีต่อผู้ที่คอยแต่จะใช้สิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดไปตามอำเภอใจ

ซึ่งมือที่ถูกความรู้สึกนั้นดูดกลืนเข้าไปของเคาน์ติสยังคงล่องลอยอย่างไร้ทิศทาง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

“อาเรีย…”

ในอีกมุมหนึ่งกลับได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยและกังวลใจของซาร่า พร้อมกันนั้นอาเรียที่ยืนอยู่บนแท่นพูดก็กล่าวทักทายผู้ฟังทุกคนอย่างสุภาพนอบน้อม ท่วงท่าสง่างามนั้นสร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนที่ได้เห็น

บารอนเวอร์บูมถึงกับเข่าอ่อนจะล้มมิล้มแหล่ได้แต่พิงเก้าอี้แล้วมองขึ้นไปยังแท่นยืนพูด ตอนนี้เขาดูเหมือนอยากจะยอมแพ้ไปให้รู้แล้วรู้รอดหลังจากที่เคยวิ่งเต้นเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเธออย่างลืมไม่ลงตลอดเวลาที่ผ่านมา

“ดิฉันคืออาเรีย โรสเซนต์ที่เพิ่งได้รับการแนะนำไปนะคะ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่านักลงทุน A ค่ะ”

เธอได้ยินเสียงกรีดร้องดังเบาๆ มาจากที่ไหนสักแห่ง อาเรียคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ามันเป็นช่วงที่ทุกคนต้องพากันตกใจและประทับใจ เธอจึงหยุดพูดไปสักพักพร้อมกับหันไปมองแหล่งที่มาของเสียงที่ว่านั้น

“อ้อ ท่านผู้หญิงที่เคยเจอกันในที่ประชุมนี่เอง”

บรรดาคนที่ได้รับการลงทุนจากอาเรียต่างนั่งรวมกันอยู่ใกล้กับที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ พวกเขาซึ่งก็เคยเห็นหน้าค่าตาอาเรียกันมาแล้วทั้งสิ้นต่างมีสีหน้านิ่งอึ้งตะลึงงันเพราะไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะเป็นผู้ลงทุนเสียเอง

บางคนก็พากันชี้มือชี้ไม้อย่างหลงลืมทั้งกาละและเทศะรวมถึงฝั่งตรงข้าม พวกเขาคงพูดเรื่องไร้สาระจำพวก ‘ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นนางร้ายในข่าวลือ’ พรรค์นั้นกระมัง อาเรียเก็บภาพที่แสนประทับใจนั้นไว้ในสายตาก่อนจะพูดต่อ

“ดิฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงทุนในธุรกิจที่มีความหมายลึกซึ้งเช่นนี้ค่ะ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอขอบพระคุณเจ้าชายที่ทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยเหลือนะคะ”

อาเรียก้มหัวอีกครั้งเพื่อแสดงความขอบคุณอาซที่ยังยืนมองเธออยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ด้วยเหตุนี้อาซที่ยืนมองเธออยู่ด้านหลังและกำลังจัดการกับความคิดว้าวุ่นของตัวเองจึงยกมือทาบหน้าอกเพื่อแสดงมารยาทต่ออาเรียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การตอบสนองที่เป็นธรรมชาติราวกับเตรียมตัวมาทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างคิดว่าทั้งสองน่าจะร่วมมือกัน

“ในตอนแรกดิฉันกังวลมาก แต่ก็ตัดสินใจเข้าร่วมเพราะดิฉันเองก็อยากช่วยเหลือผู้ยากไร้เช่นกัน ต่อไปหากมีธุรกิจที่สามารถช่วยเหลือใครได้อีก ดิฉันก็จะพิจารณาที่ทำอย่างกระตือรือร้นค่ะ”

อาซได้แต่ยกยิ้มขมขื่นเมื่ออาเรียอธิบายถึงเหตุผลในการลงทุนอย่างฉะฉานว่าเป็นเหตุผลอื่นไม่ใช่เพราะตำแหน่งมกุฎราชกุมารของตน

“ดิฉันว่าเราจะหาบุคลากรที่มีความสามารถได้จากวิทยาลัยแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และดิฉันจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ค่ะ”

อาเรียพูดแบบนั้นทั้งยังยิ้มอย่างสดใส นั่นจึงทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าที่จุติลงมาในจักรวรรดิมากกว่าจะเป็นนางมารร้ายดังเช่นในข่าวลือ ภาพลักษณ์อันงดงามราวกับต้องการช่วยเหลือผู้ยากไร้ด้วยใจจริงนั้นได้ขโมยหัวใจของบรรดาไพร่ฟ้าหน้าโง่ไปจนหมดสิ้น

อาเรียเสวยสุขไปกับสายตาเหล่านั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวลาอีกครั้งด้วยท่าทางบอบบางราวขนนก ก่อนที่ทั้งห้องโถงที่เคยเงียบกริบจะดังก้องไปด้วยเสียงปรบมือแสดงความยินดี

อาเรียผู้ได้รับสายตาแสดงความนับถือจากทุกคนหันกลับไปมองอาซอีกครั้ง เขากำลังมองอาเรียซึ่งแสดงความเป็นผู้นำอย่างที่ควรทำในช่วงเวลาสำคัญโดยการเปลี่ยนภาพลักษณ์อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าสับสน

“อาเรีย!”

ทันทีที่อาเรียกล่าวคำลาและลงมาจากแท่นยืนพูด เคาน์ติสก็รีบลุกจากที่แล้วกระหืดกระหอบเข้ามาหาเธอ หากหล่อนรออีกสักหน่อยเธอก็จะเดินกลับไปที่อยู่แล้ว แต่หล่อนคงทนไม่ไหวจึงได้ย่างสามขุมมาเช่นนี้

หล่อนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาเรีย

“นี่มัน… นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…!”

“ท่านแม่”

หล่อนทำท่าจะโวยวายเสียงดังทั้งที่พิธียังไม่ทันจบ อาเรียจึงจับมือหล่อนไว้พลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะเร่งให้หล่อนรีบกลับที่นั่งโดยเร็ว

“กลับไปนั่งก่อนแล้วลูกจะอธิบายให้ฟังนะคะ”

เมื่อกลับที่นั่งมาพร้อมเคาน์ติสที่หน้าซีดเผือด เธอก็พลันสะดุดตาเข้ากับซาร่าและมาร์ควิสวินเซนต์ที่หน้าซีดเผือดยิ่งกว่า ทั้งสองส่งสายตามาหาอาเรียราวกับต้องการคำอธิบายจากเธอเดี๋ยวนี้

“เราสนุกกับพิธีกันก่อนดีไหมคะ ดิฉันว่าที่นั่งแขกผู้มีเกียรติน่าจะได้รับความสนใจมากกว่าบนแท่นพูดเสียอีกนะคะ”

เป็นเช่นที่อาเรียพูดจริงๆ เมื่อสายตาของผู้ชมทั้งหลายต่างพากันจับจ้องมาที่อาเรียมากกว่าพิธีกรที่กำลังอธิบายพิธีลำดับถัดไปอยู่บนแท่นยืนพูด โดยมีเจ้าชายที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้ายืนอยู่ด้านหลัง

ดูจะเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเหลือเกินที่นางมารร้ายตามที่เขาลือกันกลายมาเป็นผู้ลงทุนที่ได้รับความสนใจประหนึ่งดาวเด่นของจักรวรรดิ บทสนทนาเป็นไปเช่นนี้และแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องข่าวลือไม่น่าปรารถนาที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกหนแห่งไม่ผิดแน่

“…ถ้าพิธีจบแล้วอธิบายมาดีๆ นะ”

เคาน์ติสเหลือบตามองแล้วพูดตอบ

“แน่นอนค่ะ”

ตอนนี้พิธีกำลังยุ่งดังนั้นเธอจึงยังไม่ต้องอธิบายอะไร

ในพิธีที่ยังดำเนินต่อไปมีการเรียกชื่อผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนทุนราวกับมีการเลือกนักเรียนที่จะได้เข้าเรียนเอาไว้ก่อนแล้ว

หลังจากผ่านไปเธอก็หันกลับไปมองที่ที่อาซเคยอยู่ เขาเองเมื่อกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดจบก็เดินตามหลังอาเรียลงมาเช่นกัน

‘คุณอาซจะว่ายังไงบ้างนะ’

เขาจะโกรธแล้วถามว่าทำไมเธอจึงหลอกเขาหรือเปล่า หรือจะเพียงแค่ตกใจที่เธอคือผู้ลงทุนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็อาจทำเป็นไม่รู้ไปเสียเลยใช่หรือไม่ นั่นเขากำลังวิ่งเข้ามาถามเธอไม่ใช่หรอกหรือ

หัวใจเธอเต้นรัวเร็วอีกทั้งความคิดในหัวก็ยังตีกันให้วุ่นไปหมดในทุกครั้งที่เขาก้าวย่าง แต่แล้วคนใกล้ชิดของเขาที่ยืนรออยู่ล่างเวทีกลับเข้ามากระซิบบางอย่างกับเขาเบาๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยิน

“…”

อาซหน้านิ่งไปคล้ายว่ามันจะเป็นเรื่องตึงเครียด ก่อนที่เขาจะพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินออกจากห้องโถงไปพร้อมคนสนิทคนนั้น

เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จนพิธีจบเธอก็ยังไม่ได้เจออาซอีกเลย

* * *

ทุกสายตายังคงจับจ้องมาที่อาเรียจนกระทั่งสิ้นสุดพิธี ต่างจากความพยายามของเธอที่จะหลีกหนีสายตาเหล่านั้นจนทำกระทั่งหยุดบทสนทนา

“ออกไปข้างนอกดีกว่าไหมครับ”

มาร์ควิสวินเซนต์โอบไหล่ซาร่าไว้เพื่อปกป้องหล่อนก่อนจะเอ่ยถาม แม้พวกเขาจะไม่ได้มาตามติดแล้วเร้าหรือถามว่าเธอคือผู้ลงทุนจริงหรือไม่ แต่ก็คอยสังเกตเธอเพื่อแก้ไขความแตกต่างระหว่างข่าวลือกับความเป็นจริง

‘เลดี้แสนสวยคนนั้นใช่นางร้ายในข่าวลือจริงๆ น่ะหรือ ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินมาสักนิด แล้วนางร้ายคนนั้นจะมาเป็นผู้ลงทุนที่ให้การช่วยเหลือธุรกิจของวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์คงไม่มีทางมาลงทุนในธุรกิจที่ไม่แน่ว่าจะได้กำไรแบบนี้หรอก!’

‘หรือข่าวลือทั้งหมดจนถึงตอนนี้จะเป็นการใส่ร้าย …จะว่าไป แล้วใครเป็นคนปล่อยข่าวล่ะนี่’

เธอปล่อยให้ข่าวลือถูกแก้ไขด้วยตัวมันเองพร้อมกับค่อยๆ เยื้องย่างไปขณะฟังเสียงที่เริ่มมีความสงสัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มคนที่ยังรู้สึกเหมือนถูกตีหัวอย่างแรงยังคงมองตามติดทุกก้าวของเธออย่างไม่หยุดหย่อนราวกับไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง

“…เอาเป็นว่าเรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่านะ”

เคาน์ติสรับรู้ถึงสายตารอบข้างจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะหล่อนรู้สึกเหมือนจะตายอยู่ในกองสายตาของผู้คนที่จับจ้องมาก่อนที่จะได้ซักไซ้ถึงเรื่องผลลัพธ์อันหนักหนาสาหัสที่ลูกสาวหล่อนได้ก่อไว้

ซาร่าและมาร์ควิสวินเซนต์เองก็ถามอย่างเกรงอกเกรงใจว่าพวกเขาสามารถแวะไปที่คฤหาสน์ของท่านเคานต์ด้วยได้หรือไม่ ราวกับว่าพวกเขาก็อยากฟังคำอธิบายจากอาเรียเช่นกัน

‘คิดว่าจบพิธีแล้วจะได้คุยกับอาซเสียอีก’

คนยุ่งอย่างเขาหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ไม่มีเอ่ยลาสักคำทำให้เธอไม่อาจทำอย่างที่ตั้งใจ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะตอบรับคำขอของทั้งสองนั้นเอง

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่เลดี้อาเรียมีนัดกับผมอยู่ก่อนแล้วครับ”

“…พระเจ้า”

จู่ๆ เขาที่หายตัวไปกลับมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเธอแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ผมว่าผมพูดถึงในจดหมายไปแล้ว… ไม่ใช่หรอกหรือครับ”

เขารบเร้าขอให้อาเรียแบ่งเวลาให้กับตนเองบ้าง ด้วยเหตุนี้เคาน์ติสจึงตกใจจนปล่อยพัดที่ถืออยู่ร่วงลงจากมือ

“เป็นเช่นนั้นค่ะ”

ในจดหมายที่เธอเขียนตอบกันไปมากับปิโนต์ นัวร์ หลุยส์นั้นมีการเชื้อเชิญให้มาเจอกันในพิธีปิดอยู่จริงๆ

เธอจึงตอบเช่นนั้นออกไป อาซยื่นมือมาราวกับจะบอกว่าเขาจะคุ้มครองเธอเอง ท่าทางสุภาพนั้นทำให้เคาน์ติสตื่นเต้นจนเกินเหตุแล้วรีบเอ่ยเร่งอาเรีย

“รีบ รีบไปเร็วสิ มัวทำอะไรอยู่ เรื่องอธิบายน่ะค่อยกลับมาพูดก็ไม่สายหรอก รักษาสัญญาที่ให้ไว้เสียก่อน”

“ขอบคุณครับ ท่านเคาน์ติส”

หลังจากได้ฟังคำขอบคุณจากบุคคลผู้อยู่ในศักดินาที่สูงที่สุดในจักรวรรดิอย่างมกุฎราชกุมาร เคาน์ติสก็หน้าซีดเป็นไก่ต้มจนไม่แปลกหากหล่อนจะเป็นลมล้มพับไป เจสซี่รีบเข้าไปประคองเคาน์ติสทันที

“จะทำยังไงได้ล่ะคะ ขอโทษด้วยนะคะ ซาร่า”

“…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงก็ต้องไปตามนัดก่อนอยู่แล้วนี่คะ ไว้เลดี้ว่างเมื่อไหร่ช่วยติดต่อมาด้วยนะคะ ดิฉันจะรอค่ะ เขียนจดหมายมาก็ได้ค่ะ”

ใครจะไปกล้าห้ามกันในเมื่อเธอดันมีนัดกับเจ้าชายล่วงหน้าแบบนี้ ซาร่าพยักหน้าพร้อมนัดหมายเวลาที่เจอกันครั้งหน้า ขณะเดียวกันมาร์ควิสวินเซนต์ที่รู้จักมักคุ้นกับอาซเป็นอย่างดีก็พูดเสริมด้วยความเป็นห่วง

“เลดี้ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ดังนั้นให้มีผู้ปกครองไปด้วยน่าจะดีกว่านะครับ”

“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยจากมาร์ควิส แต่เราเคยอยู่กันสองต่อสองมาหลายครั้งแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

อาซอารมณ์ไม่ดีเพราะไม่ชอบที่ถูกเอ่ยเตือนจึงตอบกลับไปอย่างหยาบกระด้างแล้วเร่งให้อาเรียรีบจับมือตน

แม้จะเป็นคำพูดที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการแต่งงานได้ แต่รอยยิ้มกลับยังแต่งแต้มอยู่บนมุมปากอย่างไม่มีเหตุผลถึงจะอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ตามที

เพราะอย่างนั้นถึงจะอยู่ในบรรยากาศที่แข็งค้างราวกับมีคนเอาน้ำเย็นมาราดไว้จากคำพูดที่น่าตกใจของอาซ เธอก็ยังจับมืออาซโดยไม่คิดแก้ตัว แล้วทั้งสองก็พากันเดินผ่านฝูงคนหายลับไปจากสายตา

“พระเจ้าช่วย… นี่ลูกสาวฉันไปเกี่ยวข้องกับมกุฎราชกุมารอย่างนั้นหรือ…”

จะน่าอิจฉากว่ามิเอลที่คบกับท่านดยุกมากสักแค่ไหนกัน หล่อนเคยคิดอยู่เพียงลำพังว่าหากลูกสาวหล่อนได้เป็นมาร์เชอเนสหล่อนคงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่นี่ถึงขนาดคบกับมกุฎราชกุมารเชียวหรือ

หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องราวของใครคนอื่นสักคน มากกว่าจะเป็นเรื่องลูกสาวที่มักโดนด่าหาว่าต่ำต้อยด้อยค่าของหล่อนเสียอีก

ไม่ใช่เพียงเคาน์ติสเท่านั้น แต่ทุกคนที่ไม่เคยรู้ตัวตนที่แท้จริงของอาเรียก็รู้สึกเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่กับบรรดาผู้ฟังที่ได้ยินเรื่องราวน่าเหลือเชื่อนี้ในระยะใกล้ก็ตาม

‘ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงล่ะก็… ได้กลายเป็นข่าวฉาวแห่งศตวรรษแน่!’

แม้แต่แอนนี่ที่รู้ว่าอาเรียคือผู้ลงทุนก็ยังมองตามหลังอาเรียที่หายลับไปแล้วด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเพราะหล่อนเองก็ไม่เคยรู้ตัวตนที่แท้จริงของอาซมาก่อนเช่นกัน

……………………….