ภาคที่ 4 ตอนที่ 93 ครอบครัวพร้อมหน้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ตอนที่จดหมายของฟางเฉิงอวี่ออกจากเมืองหยางเฉิงมายังเมืองหลวง ก็มีคนสองขบวนวิ่งมายังเมืองหลวงเช่นกัน 

 

 

ขบวนรถของภรรยาเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงก่อน ทำให้ในจวนเฉิงกั๋วกงกลายเป็นครึกครื้นอย่างยิ่ง 

 

 

“แม่ นี่ท่านขนสมบัติที่แดนเหนือมาหมดแล้ว” จูจั้นเอ่ย มองบ่าวรับใช้สาวใช้ในจวนที่เพิ่มมาครึ่งหนึ่งกับเครื่องเรือนเครื่องใช้สารพัดที่ขนลงมาจากบนรถ 

 

 

“บ้านเก่าคร่ำคร่ามีค่าหมื่นพวง” นายหญิงอวี้เอ่ย สายตาเลยผ่านร่างจูจั้นไป “คุณหนูจวินเล่า?” 

 

 

จูจั้นยืนตรงหน้านาง ขวางสายตาของนางไว้ 

 

 

“แม่ ท่านเข้าบ้านมายังไม่มองข้าดีๆ สักทีสองทีเลยนะ” เขาเอ่ยบ่น “คิดถึงลูกของคนอื่นทำอะไร” 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้ม 

 

 

“ใครให้ลูกของคนอื่นดีปานนี้เล่า” นางว่า 

 

 

“ลูกของท่านก็ไม่เลวนะ” จูจั้นเอ่ย “อาศัยจังหวะที่พ่อยังไม่กลับมาจากในราชสำนัก ข้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้ท่านฟัง ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วจริงๆ” 

 

 

“อืม ข้าได้ยินมาแล้ว เรื่องที่คุณหนูจวินให้ชาวบ้านหมื่นกว่าคนอารักขาพ่อเจ้าเข้าเมืองหลวงสินะ” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ย “ตลอดทางล้วนกำลังเล่าเรื่องนี้ ฟังจนข้าจะเล่าย้อนหลังได้แล้ว” 

 

 

จูจั้นคล้องแขนนายหญิงอวี้กำลังจะเข้าไปในห้องโถง 

 

 

“เรื่องยอดเยี่ยมที่เมืองหลวงไม่ใช่แค่เรื่องนี้นะ แม่ ยังมีเรื่องที่ข้าทำเอง…” เขาสีหน้าเริงร่าเอ่ย 

 

 

พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงก้าวเท้า คุณหนูจวินเดินออกมาจากด้านหลัง 

 

 

“ท่านหญิงท่านมาแล้ว” นางอมยิ้มเอ่ย 

 

 

นายหญิงอวี้ดันจูจั้นออก จับมือคุณหนูจวินไว้ทันที 

 

 

“ยุ่งอยู่หรือ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

“เจ้าค่ะ ทายาให้น้องสาวข้าอยู่” คุณหนูจวินตอบ 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นท่านรีบไปทำงานเถอะ” นายหญิงอวี้รีบเอ่ย 

 

 

“ทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” คุณหนูจวินหัวเราะบอก “อีกประเดี๋ยวนางล้างออกเองก็เรียบร้อยแล้ว” 

 

 

นายหญิงอวี้จึงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำเกรงใจอีก 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ท่านรีบมาเล่าเรื่องส่งผู้อพยพเรือนหมื่นเข้าเมืองหลวงให้ข้าฟังเถอะ” นางยิ้มเอ่ยขึ้น 

 

 

จูจั้นกระแอมเสียงเบา 

 

 

“แม่ ท่านไม่ได้ฟังมาหลายรอบมากแล้วหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นมา 

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม นายหญิงอวี้ถลึงตาใส่จูจั้น 

 

 

“ยังจะงงอยู่ทำอะไรอีก?” นางพูดแล้วชี้คนที่วุ่นวายในลาน “ไปเฝ้าของให้เก็บเรียบร้อย ไม่มีของเหล่านี้ ข้าแปลกที่นอนหลับไม่สบาย 

 

 

“ข้าอีกแล้วรึ?” จูจั้นชี้ตนเอง 

 

 

“ไม่เช่นนั้นเป็นข้ารึ?” นายหญิงอวี้ถาม จากนั้นไม่สนใจจูจั้นอีก ยิ้มให้คุณหนูจวินพลางจูงมือนาง “มา มา พวกเราเข้าไปนั่งพูดจากัน” 

 

 

มองทั้งสองคนคุยเล่นหัวเราะเดินเข้าไปแล้ว จูจั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ถลึงตา 

 

 

“ก่อนหน้านี้แม่ชอบฟังข้าเล่าเรื่องที่สุด” เขากัดฟันเอ่ย 

 

 

มีสะใภ้ก็ลืมบุตรชายจริงๆ 

 

 

ถุยถุย จูจั้นถ่มน้ำลายติดกันหลายที สีหน้าขุ่นเคือง 

 

 

ความขุ่นเคืองนี้ไม่ใช่เพราะนายหญิงอวี้เมินเฉยตน แต่เพราะถ้อยคำที่ผุดออกมาในใจเมื่อครู่ 

 

 

เขายืนอยู่ที่เดิมสีหน้าจากขุ่นเคืองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม จากนั้นก็เหม่อลอยคล้ายงุนงง มองบ่าวรับใช้ในลานคุยเล่นเอะอะพลางวุ่นทำงานจึงค่อยๆ ฟื้นกลับคืนสภาพเดิม 

 

 

“พวกนี้ไปวางไว้ห้องนอนของท่านหญิง” เขาเอ่ย สองสามก้าวก็เดินมาถึงข้างรถม้าเลือก 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

เฉิงกั๋วกงที่ได้ข่าวรีบเร่งเดินทางกลับมาจากที่ทำการขุนนางทำให้ในจวนยิ่งครึกครื้น 

 

 

“คนที่จากไปกลับมาน่ายินดีที่สุด” เขาเอ่ยขึ้น “พวกเราฉลองกันดีๆ สักหน่อย” 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มให้เขา 

 

 

“ข้าอยากลิ้มรสอาหารเป่าโจว” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

“คนครัวที่มาจากเป่าโจวอยู่ในห้องครัวแล้ว” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มบอก 

 

 

นายหญิงอวี้ไม่ปิดบังรอยยิ้มยินดีสักนิด 

 

 

“ท่านกั๋วกงก็ใส่ใจเช่นนี้” นางเอ่ยกับคุณหนูจวิน 

 

 

ใช่แล้ว 

 

 

รู้ว่าตนอยากกินผลไม้เชื่อม แต่ก็รู้ว่าต้องถูกคุมห้ามไม่ให้กินมากแน่นอน ดังนั้นผลไม้เชื่อมที่เขาส่งมาให้จึงบิออกไปครึ่งหนึ่งอย่างใส่ใจ 

 

 

ปลอบใจสหายตัวน้อย แต่ก็ไม่ตามใจ 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า เห็นสามีภรรยาสองคนซึ่งทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกถ้อยทุกคำล้วนเต็มไปด้วยความรักใคร่นี้ นางก็อดไม่ได้คิดถึงพระบิดาพระมารดา 

 

 

พระบิดากับพระมารดาก็รักใคร่กันเช่นนี้ หากไม่ใช่ก็คงไม่มีทางให้กำเนิดธิดาติดกันสองคน ทั้งตอนที่พระบิดาประชวรหนักก็ยังคงไม่รับชายารองและอนุชายาตามคำขอร้องของพระอัยกา 

 

 

ดังนั้นเมื่อพวกเขาบอกว่าพระบิดาประชวรสวรรคต พระมารดาจึงปลงพระชนม์ตายตามไปด้วย แม้นางเสียใจแต่ไม่เคยสงสัย 

 

 

นางไม่เคยสงสัยความรักลึกซึ้งของพระมารดา แต่เมื่อคิดว่าความรักลึกซึ้งของพระมารดาถูกใช้ประโยชน์ในแผนร้ายก็ทำให้คนปวดใจจริงๆ 

 

 

“พ่อแม่ ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือทานเถอะ ข้าหิวแล้ว มีวาจาอันใดพวกท่านกลับไปในห้องค่อยคุยกัน” จูจั้นพลันเอ่ยขึ้น 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มไม่เอ่ยวาจาอีก 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็กินข้าวเถอะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ตั้งสำรับที่หอลวี่อวิ๋นแล้วกัน” 

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายรีบขานรับไปจัดเตรียม เฉิงกั๋วกงสามีภรรยาออกไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้า 

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของพวกเขาไม่ขยับ 

 

 

“เจ้าคิดอะไร?” เสียงจูจั้นดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง 

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม 

 

 

“คิดว่าโลกใบนี้ช่างสวยงามจริงๆ” นางเอ่ย “ทำให้ความสวยงามนี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ จ่ายอีกเท่าใดก็คุ้มค่า” 

 

 

จูจั้นกลอกตาทีหนึ่ง 

 

 

“เจ้าพูดจริงจังสักครั้งไม่ได้” เขายิ้มเย็นชาเอ่ย 

 

 

คุณหนูจวินมองเขา 

 

 

“ประโยคนั้นของข้าไม่จริงจังรึ? สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นถ้อยคำจริงจัง ท่านสิไม่จริงจังฟัง นางเอ่ยแล้วเม้มปากยิ้ม “ตัวอย่างเช่น ข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิง” 

 

 

จูจั้นสบถทีหนึ่งก้าวยาวเดินออกไปแล้ว 

 

 

แม้คนบนโต๊ะไม่นับว่ามาก แต่ครึกครื้นยิ่งนัก ข้างกายนายหญิงคุณหนูจวินกับจ้าวฮั่นชิงนั่งอยู่อวี้หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา 

 

 

“ข้าดูซิ ดีขึ้นมากเหลือเกินแล้วจริงๆ ไม่ดูให้ละเอียดมองไม่ออก” นายหญิงอวี้มองจ้าวฮั่นชิงแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

               จ้าวฮั่นชิงไม่ได้ปิดหน้า เผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าครอบครัวเฉิงกั๋วกง 

 

 

               แผลบนหน้าเทียบกับตอนอยู่เขาชิงซานดีขึ้นมากนักแล้ว แต่ไม่ถึงกับมองไม่ออก 

 

 

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้า ไม่รู้สึกว่าที่นายหญิงอวี้พูดเกินจริง 

 

 

“พี่สาวบอกว่าดีขึ้นทุกที” นางเอ่ย 

 

 

“ยังขาดยาบางอย่าง” คุณหนูจวินเอ่ย “หาไม่ง่ายนัก อยากได้ก็หาไม่ได้” 

 

 

นายหญิงอวี้ร้องอ้อ มองไปหาจูจั้น 

 

 

จูจั้นที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะเกิดปฏิภาณ 

 

 

“ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงซับซ้อน พ่อ เรื่องท่านจะไปหรืออยู่ ในราชสำนักว่าอย่างไร?” เขารีบมองไปทางเฉิงกั๋วกงทำหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น “ข้าเคลื่อนไหวแทนท่านพ่อได้ เรื่องที่ไม่สะดวกทำกับคำที่ไม่สะดวกพูดข้าทำเอง” 

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง 

 

 

“ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ยตอบ 

 

 

นายหญิงอวี้กำลังจะพูดอะไรก็มีหญิงรับใช้เข้ามา มองๆ นายหญิงอวี้กับเฉิงกั๋วกง ท้ายที่สุดสายตาก็จับบนร่างคุณหนูจวิน 

 

 

“คุณหนูจวิน นายท่านเฉินชีมาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

นายท่านเฉินชีอันใด เฉินชีแห่งโรงหมอจิ่วหลิง กระทั่งหญิงรับใช้จวนเฉิงกั๋วกงล้วนเรียกขานเป็นนายท่าน จูจั้นกลอกตาอีกหน แล้วดูการปฏิบัตินี่ หญิงรับใช้ข้ามหน้าเฉิงกั๋วกงสองสามีภรรยาไปแจ้งกับนาง คนไม่รู้คงคิดว่านางเป็นเจ้าของจวนเฉิงกั๋วกง 

 

 

น่าเสียดายแค่นอกจากเขา สี่คนที่เหลือที่นั่งอยู่ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม 

 

 

“ข้าไปดูสักหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น 

 

 

นายหญิงอวี้ห้ามนางลุก 

 

 

“ดูอันใด” นางว่า “เชิญเข้ามาก็ได้” 

 

 

พูดพลางส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ 

 

 

“ถามดูซิว่าทานอาหารมาหรือยัง?” 

 

 

หญิงรับใช้ขานรับรีบออกไป ไม่นานเฉินชีก็ปลื้มปริ่มเปรมปรีดิ์เข้ามา 

 

 

“ขอบคุณท่านหญิงท่านกั๋วกงยิ่ง” เขาคำนับทันที “ข้าน้อยทานอาหารมาแล้วขอรับ” 

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนให้เขา 

 

 

“มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็ไปคุยกันเถอะ” เขาเอ่ยบอก 

 

 

คุณหนูจวินจะลุกขึ้น เฉินชีก็เอ่ยปากก่อน 

 

 

“ข้าน้อยมาแจ้งคุณหนูจวิน นายหญิงเซียวกับหลิ่วเอ๋อร์พวกนางมาถึงแล้วขอรับ” เขาเอ่ยอย่างยินดี 

 

 

จ้าวฮั่นชิงกระโดดลุกขึ้นมา 

 

 

“แม่ข้ามาแล้ว” นางตะโกนจากนั้นวิ่งไปข้างนอก 

 

 

คุณหนูจวินตามไปด้านหลังติดๆ 

 

 

นายหญิงอวี้กับเฉิงกั๋วกงก็ลุกขึ้นยืนด้วย 

 

 

เห็นบิดามารดาทำเช่นนี้ จูจั้นที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ใคร่ยินดีด้วย 

 

 

“ไป ไปรับแม่ยาย” นายหญิงอวี้เอ่ย 

 

 

แม่ยายอะไรเล่า! จูจั้นถลึงตา ไม่ได้นับเช่นนี้กระมัง 

 

 

………………………………