ตอนที่ 619 ชัดเจน
แต่ถูกเขาส่งตัวไปพระตำหนักของฝ่าบาทอย่างพระตำหนักอวิ๋นซิน
อย่าถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ เขาเป็นแค่บ่าว เรื่องที่ทำนั้นนายก็สั่งทั้งสิ้น ไหนเลยเขาจะสามารถตัดสินใจได้เอง!
ความคิดบางอย่างโผล่ขึ้นในหัวหวงเผยซานแต่สุดท้ายก็ต้องโยนความคิดเหลวไหลพวกนั้นทิ้งไป รีบร้อนเดินตามมฉินเย่หานหายเข้าไปในม่านรัตติกาล
…
ภายในตำหนักอวิ๋นซิน
ภายในพระตำหนักจุดไฟประดับประดา ยามปกติข้ารับใช้ที่มีก็เห็นจะมีแค่ขันทีทั้งสิ้น แต่วันนี้กลับต่างออกไป ภายในตำหนักนางกำนัลเพิ่มมาสองคน
เพียงแต่ใบหน้าทั้งสองนั้นดูธรรมดา เป็นประเภทที่คนเห็นแล้วก็ลืม ไม่โดดเด่นสะดุดตา
“ออกไปได้แล้ว!” หวงเผยซานที่เดินตามหลังฉินเย่หานเข้ามาในตำหนักเอ่ยสั่งเสียงหนึ่ง
“เจ้าค่ะ!” นางกำนัลทั้งสองรวมถึงบรรดาขันทีต่างก็ลนลานถอยออกไป
“ฝ่าบาท บ่าวทูลลา” ภายในตำหนักเงียบลงในทันที ในความเงียบนี้มีความประหลาดพิกลซ่อนอยู่
หวงเผยซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่สิ่งที่ตอบเขากลับมามีเพียงความเงียบเท่านั้น
เขาแหงนหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าฉินเย่หานเดินไปยังแท่นบรรทม พลันรีบก้มหน้าก้มตา เดินถอยออกด้วยเสียงฝีเท้าเงียบกริบ
จนออกจากตำหนักอวิ๋นซิน ปิดประตูแล้ว หวงเผยซานถึงผ่อนหายใจออกอย่างโล่งอก
“หวงกงกง” พอหวงเผยซานออกมาก็เห็นโจวเว่ยยืนอยู่ด้านข้าง ตอนแรกเขายังไม่ได้สังเกต พลันถูกอีกฝ่ายทำให้ตกใจ จึงกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านเดินก็ไม่มีเสียงเลยหรือ?”
โจวเว่ยได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่วันนี้ใบหน้าเขาแข็งกระด้าง และมีสีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาปรายตามองหวงเผยซานสุดท้ายก็อดไม่ได้
“พวกเราไม่เฝ้าเช่นนี้จะดีหรือ?”
หวงเผยซานได้ยินก็นิ่งไป ปรายตามองเขาและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วจะให้ทำอย่างไร ฝ่าบาทมีพระประสงค์ เจ้าและข้ามีความเห็นอะไรได้หรือ?”
โจวเว่ยนิ่งไปและไม่พูดอะไรอีก
นั่นก็จริง พระองค์เป็นนาย พวกเขาเป็นก็แค่ข้าราชบริพาร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามพระทัยโอรสสวรรค์อยู่ดี
“แต่ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่า…” ถึงแม้ปกติโจวเว่ยจะเป็นคนทึ่มทื่อไปบ้าง แต่ก็รู้ว่าเรื่องบางอย่างทำไม่ได้
โดยเฉพาะเรื่องวันนี้หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าคงจะไม่ดีนัก
“เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ใครจะรู้? สงบใจเถอะ ฝ่าบาททรงรู้ดี บ่าวอย่างเราๆ ทำตามที่รับสั่งก็พอแล้ว รู้หรือไม่?” หวงเผยซานสั่งสอนโจวเว่ยอย่างอดไม่ได้
อีกอย่างเขาไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีอะไร ฮ่องเต้ทรงเป็นโอรสสวรรค์ เป็นผู้สูงศักดิ์ หากทรงต้องการใคร นั่นก็คือบุญของคนผู้นั้น!
โจวเว่ยเห็นเช่นนั้นก็กระตุกมุมปากน้อยๆ และไม่พูดอะไรอีก
ที่จริงในใจเขายังมีบางคำพูด พวกเขาไม่พูด แต่ถ้านฮวาซูที่หลับไปในพระตำหนักจะไม่พูดหรือ?
แต่พอย้อนคิดดูหากเขาเจอเรื่องเช่นนี้ก็คงจะไม่พูดเหมือนกัน
ฝ่าบาทเป็นนายเหนือหัวของทั้งใต้หล้า เรื่องเช่นนี้จะให้ไปพูดที่ไหนได้?
พูดไปแล้วก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้ก็เท่านั้น
พอนึกถึงตรงนี้ โจวเว่ยก็ปิดปากตนเองให้สนิท ไม่พูดอะไรมากอีก
แต่ตอนนี้ในตำหนักอวิ๋นซิน ฉินเย่หานกำลังทอดเนตรมองแท่นบรรทมตรงหน้า ในดวงตาฉายแววคุกคาม
ผ้าม่านรอบแท่นบรรทมถูกคลี่คลุมลงมาจนหมด แต่ก็ยังพอเห็นเงาคนผู้หนึ่งเอนกายอยู่ภายในเลือนราง
ตอนที่ 620 แน่วแน่อย่างยิ่ง
ฉินเย่หานยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังแท่นบรรทมมังกรขนาดใหญ่
เขายื่นมือยาวเลิกผ้าม่านโปร่งบางรอบเตียงออก
เมื่อไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง ฉินย่หานก็เห็นคนที่กำลังหลับสนิทในทันที
รอบบริเวณนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นสุราคละคลุ้ง
เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ ตะเกียงในตำหนักอวิ๋นซินดับไปกว่าครึ่ง เพียงแต่ยังมีแสงเทียบวับไหวหลงเหลืออยู่ รูปโฉมขององค์ฮ่องเต้ที่หล่อเหลาชวนให้คนใจเต้นภายใต้แสงเทียน
เสียดายก็แต่ตอนนี้ซูหลีเข้าสู่ห้วงนิทราจึงไม่ได้เห็นภาพที่ดงามนี้แม้แต่น้อย
ฉินเย่หานคลายมือลง มองดูซูหลี
วงหน้าซูหลีงดงามโดดเด่นอย่างยิ่ง กล้ามเนื้อราวหยกขาว สันจมูกเชิดรั้นขึ้น และยังมีริมฝีปากนุ่มละมุนที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน งดงามสมบูรณ์แบบไปทุกส่วน
ฉินเย่หานรู้ดีว่าหากตอนนี้เจ้าตัวยุ่งตื่นขึ้นมาในแววตาดอกท้อที่งดงามชวนลุ่มหลวงนั้นจะต้องเต็มไปด้วยความร้อนรนวุ่นวาย ไม่แน่ว่าจะเดินไปเดินมา หาวิธีแผลงๆ เพื่อหนีออกจากที่นี่
เสียดายที่วันนี้เจ้าตัวคงไม่ตื่นแน่
คนผู้นี้อะไรก็ดีไปเสียหมด แย่อยู่สองเรื่องกล่าวคือ หนึ่งมิอาจดื่มสุรา สองขี่ม้าไม่เป็น ร่างกายบอบบางราวอิสตรี
ฉินเย่หานจ้องซูหลีไม่วางตา ในแววตาฉายแววเจ้าเล่ห์
ซูหลีที่กำลังหลับไม่ได้สติเพราะฤทธิ์สุรา เหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น
เหล้าสามแก้วกับนางถือว่ามากเกินไป ปกติแค่ได้กลิ่นสุราก็เมามายแล้ว นับประสาอะไรกับเหล้าสามจอกวันนี้
นางในตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มลงก็หลับไม่ตื่น
ฉินเย่หานแย้มสรวลน้อยๆ ปกติเขาไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใด ยากจะยิ้มแย้ม พระพักตร์หล่อเหลาอย่างที่สุด พลันแสดงร่องรอยอารมณ์ออกมาในยามนี้
แต่กลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายบอกไม่ถูกแพร่กระจายออกมาด้วย
แววตานั้นเปิดเผยดวงตาเจ้าชู้โลมเลีย เสมือนผู้ล่าหมายตาเหยื่อของตนเอง จดจ้องทำให้เหยื่อไม่อาจหนีไปไหนรอด
เหตุการณ์ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ถึงซูหลีจะได้สติกลับมา นางก็หนีไม่รอด
เพราะเขาไม่อยากให้นางหนีไป
พอฉินเย่หานคิดได้ดังนี้ก็ทรุดตัวนั่งบนแท่นบรรทม ทรงนั่งลงแล้วเอื้อมพระหัตถ์ออกไปแตะเสื้อซูหลี
วันนี้ซูหลีสวมชุดสีแดงแสบตาจนทำให้เนื้อนวลผุดผ่องอิ่มเอิบ งดงามจับตา
มือใหญ่ที่เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศของฉินเย่หาน เอื้อมออกมากระตุกเสื้อคลุมของซูหลี
ท่าทางเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อย แต่ในสายตาเขาเหมือนมีสัตว์ประหลาดซุกซ่อนอยู่ อสูรร้ายตัวนั้นสามารถออกมาจากดวงตาเขาได้ตลอดเวลา และกลืนกินคนตรงหน้าลงไปทั้งตัว!
“ฮึก!” ซูหลียังคงหลับใหล ใบหน้าน้อยแนบไปกับที่นอนนุ่ม และสะอึกออกมาอย่างเผลอไผล
เสียงนี้เองเหมือนกับสัญญาณบางอย่างทำให้แววตาฉินเย่หานเปลี่ยนไป
พรึ่บ ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปคลี่ชุดอีกฝ่ายออกทันที
ชั้นแล้วชั้นเล่า ชุดที่สวมกันในฤดูใบไม้ผลินี้เดิมทีก็ไม่หนานัก ฉินเย่หานเองก็ไม่รีบร้อน เขาทำเหมือนแกะห่อของขวัญ บนใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ด้วยท่าทางที่ทำไม่ให้โอกาสปฏิเสธ และแน่วแน่อย่างยิ่ง