ตอนที่ 548

The Divine Nine Dragon Cauldron

ไปฉีเจอแบบเดียวกัน เขาใช้ฎีกาสวรรค์ของตัวเองเพื่อฝืนอำนาจของฎีกาสวรรค์ในลำดับเวท แต่เขาก็ยังหนีฎีกาสวรรค์ทั้งหมดไม่พ้น!

 

ดังนั้นเขาก็แค่ผ่านดาวได้ไม่กี่ดวงก่อนจะออกนอกเส้นทางแบบครั้งก่อน!

 

ซือหยูแอบแปลกใจ ดูเหมือนจะเป็นชะตาในฎีกาสวรรค์นี้ หากเขายังอยู่ในเส้นทาง ชะตาก็ตัดสินแล้ว

 

“นี่จะต้องเป็นพลังของผู้เฒ่าเทียนจี่จื้อ! ถึงเขาจะตายไป ฎีกาสวรรค์ของเขาก็มีจังหวะที่ลึกลับโดยแท้…”

 

ซือหยูรู้สึกนับถือพลังนี้

 

ในตอนนั้น ราชาปีศาจกับโจวจิ้งอยู่บนจุดเดียวกัน ทั้งคู่ไปได้ไม่ไกลก่อนจะถูกเหล่าดาวกระแทกกลับ แม้ว่าจะพยายามหลายครั้ง พวกเขาก็ไม่ได้เข้าใกล้ได้มากขึ้นเลย

 

แม้ไป่ฉีจะไปได้ไกลขึ้นมากกว่าทั้งคู่ เขาก็หนีจากวงโคจรของดาวไม่ได้ ท้ายสุดเขาก็กลับมายังที่เดิม

 

จากนั้นก็มีดาวดวงหนึ่งตามเส้นโคจรมาหาซือหยู!

 

แต่ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูนั้นไม่ใช่คนทั่วไป ทั้งคู่ปล่อยฎีกาสวรรค์ออกมาพร้อมกันราวกับอ่านใจกันได้

 

ฎีกาสวรรค์อัสนีเยือกแข็งของซือหยูรวมกับฎีกาสวรรค์วารีของเซี่ยจิงหยูทำให้เส้นโคจรเปลี่ยนไป นั่นทำให้ดวงดาวที่เข้าใกล้เขาเปลี่ยนเส้นทางพลาดไปแบบพอดิบพอดี

 

“พี่หยู ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างบนดาวนะ”

 

เซี่ยจิงหยูพูดเบาๆ

 

ซือหยูมองไปที่ดาวดวงนั้น เขาพบว่ามีสิ่งที่เหมือนกล่องดำอยู่ที่เหนือดาว! พวกเขาไม่ได้สนใจตดาวดวงอื่นอีกแล้ว พวกเขาเพ่งสมาธิกับลำดับทั้งหมด

 

ซือหยูยกมือไปยังดวงดาว มือของเขาดูอยู่ไกลแต่ก็ดึงเอากล่องดำออกมาได้

 

เขาพบว่าในกล่องนั้นแทบจะไม่มีอะไรยกเว้นวัตถุดิบสำหรับสร้างยุปโธปกรณ์ เขามองรอบๆและมองดาวทุกดวงด้วยเนตรวิญญาณ

 

จากนั้นเขาก็ตาเป็นประกาย! เขาใช้เนตรวิญญาณและมองเห็นว่าดาวทุกดวงนั้นมีกล่องดำอยู่หนึ่งกล่อง!

 

แต่กล่องส่วนมากก็ว่างเปล่า มีแค่ดาวใกล้พื้นที่ตรงกลางที่ยังพอมีสิ่งของภายใน มันเป็นสิ่งที่ซือหยูบอกไม่ได้ว่าคืออะไร แต่มันก็เป็นวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติวิญญาณ!

 

เขาคิดอ่านอย่างเงียบเชียบ เขามองไป่หยีเจี้ยนอย่างเยือกเย็น

 

“เจ้ายังคิดจะปิดบังความจริงอยู่อีกรึ?”

 

“พี่หยู มีอะไรรึ?”

 

เซี่ยจิงหยูกระพริบตาหลายครั้งด้วยความสับสน

 

ซือหยูหัวเราะเบาๆ

 

“บางทีข้าอาจจะประมาทเกินไปจนไม่ทันสังเกต! เราเกือบจะโดนหลอกเข้าให้แล้ว!”

 

ซือหยูพูดอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นใบหน้างุนงงของเซี่ยจิงหยู

 

“บอกตามตรง พวกเราตอนนี้ยืนอยู่บนที่เก็บสมบัติอยู่แล้ว!”

 

เซี่ยจิงหยูตกใจ แต่นางก็เฉลียวฉลาด นางก้มลงมองกล่องดำที่เท้าทันที นางเริ่มถาม

 

“พี่หยู พี่จะบอกว่า…”

 

ซือหยูพูดแทรก

 

“ใช่แล้ว ดาวทุกดวงในลำดับเวทนี้มีกล่องดำที่เก็บสมบัติวัตถุดิบเอาไว้! เราอยู่ในที่เก็บสมบัติมาโดยตลอดโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็คงจะไม่รู้อะไรเลย!”

 

เซี่ยจิงหยูแปลกใจ

 

“หรือพี่หยูจะบอกว่าที่นี่คือที่เก็บสมบัติวัตถุดิบ แต่เขาก็พยายามจะนำเราไปที่อื่นรึ? ถ้าอย่างนั้น ที่ไหนคือที่เก็บสมบัติอื่นล่ะ?”

 

ทั้งสองรู้สึกได้ถึงความแปลก ดูเหมือนว่าไป่หยีเจี้ยนจะซ่อนความลับสุดยอดเขาไว้

 

ซือหยูส่ายหน้าเบาๆ

 

“ข้าไม่รู้ แต่มันจะต้องไม่ใช่ที่สุดท้ายที่เขาพูดถึง! ตั้งแต่นี้เราต้องระวังแล้ว”

 

จากนั้นดาวอีกดวงก็พุ่งเข้ามา ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูปล่อยฎีกาสวรรค์ออกมาและหลบได้หวุดหวิดอีกครั้ง

 

หลังจากผ่านดาวมาแล้วสี่ดวง พวกเขาก็มาถึงครึ่งทาง เขาอยู่จุดเดียวกับที่ไป่ฉีมาได้ในครั้งที่แล้ว

 

แต่ไป่ฉีกับโจวจิ้งก็แทบจะไม่ได้รุดหน้าขึ้นเลย ใบหน้าของพวกเขาหม่นหมองลงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ไป่หยีเจี้ยนตกใจ

 

“โอ้? ในยุคสมัยนี้ยังมีมนุษย์ที่บ่มเพาะฎีกาสวรรค์อยู่อีกรึ?”

 

ในโลกของผู้บ่มเพาะพลังแทบจะไม่มีผู้ใดสนใจฎีกาสวรรค์

 

นั่นก็เพราะว่าเป็นการยากมากที่จะเข้าใจฎีกาสวรรค์ได้ ต้องใช้พลังและเวลามหาศาล นอกจากผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีชีวิตยืนยาว ยอดฝีมือส่วนมากเลือกที่จะไม่เสียเวลากับฎีกาสวรรค์

 

เหตุผลที่สองก็คือสิ่งที่ได้กลับมานั้นไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไป เพราะแม้จะลงแรงและเวลาไปมากในการบ่มเพาะฎีกาสวรรค์ พลังที่ได้ก็ยังมีขีดจำกัดอยู่มาก นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมดุลกันเลย เท่าที่เขารู้ คนที่แข็งแกร่งมักจะไม่มีฎีกาสวรรค์

 

แม้แต่ลูกหลานผู้เฝ้าสมบัติจะบ่มเพาะฎีกาสวรรค์เพื่อเข้าสู่ลำดับเวททางช้างเผือกในการเก็บวัตถุดิบบนหมู่ดาว แต่คนอื่นที่เต็มใจจะบ่มเพาะฎีกาสวรรค์นั้นไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน

 

คนหนุ่มสาวทั้งสองตรงหน้าเขากลับประหลาดพอ ทั้งคู่ไม่เพียงแต่จะเข้าใจฎีกาสวรรค์ ทั้งคู่ยังบ่มเพาะมาจนรุดหน้า! เขารู้ว่าฎีกาสวรรค์ของไป่ฉีนั้นมาจากพื้นฐานของเหล่าคนในตระกูล และลูกชายเขาก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะบ่มเพาะฎีกาสวรรค์ได้ถึงขั้นนี้

 

แต่ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูไม่มีสิ่งอย่างว่าเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่รู้ถึงระดับปัญญาของเซี่ยจิงหยูที่เหนือกว่าคนทั่วไป แท้จริงแล้วนางแทบจะไม่เหมือนมนุษย์ด้วยซ้ำ!

 

ส่วนซือหยูนั้นต้องอาศัยหม้อเก้ามังกร นี่เป็นหนทางเดียวที่เขาจะได้มีเวลามหาศาลในการบ่มเพาะฎีกาสวรรค์ มิเช่นนั้นซือหยูก็คงไม่เลือกที่จะบ่มเพาะฎีกาสวรรค์เช่นกัน

 

“ฎีกาสวรรค์ของสองคนนั้นไม่น่าจะห่างจากไป่ฉี น่าจะไม่ผ่านดาวดวงที่ห้าไปได้…”

 

ไป่หยีเจี้ยนพูดกับตัวเองเบาๆ

 

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ต้องหยุดไป ไป่หยีเจี้ยนตัวแข็งทื่อ

 

เมื่อซือหยูกับเซี่ยจิงหยูจะปะทะกับดาว ร่างกายของทั้งสองกลับเร็วขึ้นเป็นสองเท่าและหลบไปจนถึงวงโคจรที่หกได้! ชางก่วนชิงเอ๋อชักสีหน้า นางสงสัยจนต้องถามออกมา

 

“พลังห้วงเวลา หรือว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดโบราณด้วย?”

 

นี่เป็นพลังห้วงเวลาที่มาจากหม้อเก้ามังกรจริงๆ ด้วยผลจากลำดับเวททางช้างเผือก ดวงตาของเขาได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย นั่นทำให้เขาใช้วิชาเนตรที่ไม่ได้ใช้มานานได้ ตอนนี้เขาเร่งเวลาได้สามเท่า ความเร็วนั้นมากกว่าปกติสองเท่า

 

“พลังเวลารึ? เจ้าหนุ่มนี่แปลกนัก แต่ครั้งต่อไปจะยากขึ้น เขาหลบไม่ได้แน่ เพราะฎีกาสวรรค์จะทรงพลังขึ้นเมื่อเข้าใกล้มากขึ้น ดาวดวงที่หกคงจะเป็นขีดจำกัดของเขา”

 

ไป่หยีเจี้ยนไม่ได้คาดหวังจากซือหยูมากนักเพราะเขาเองคุ้นเคยกับที่นี่กว่าใคร

 

จากนั้นดาวดวงที่หกก็พุ่งเข้ามา ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูชักสีหน้าเล็กน้อย จากนั้นซือหยูก็ใช้พลังห้วงเวลาเพื่อเร่งความเร็ว

 

แต่เมื่อเขากำลังจะข้ามวงโคจรก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น! ดาวห้าดวงแรกจากเส้นโคจรก่อนหน้ากลับมารายล้อมซือหยูกับเซี่ยจิงหยู พวกมันล้อมรอบโดยไม่มีทางให้ทั้งคู่หลบหนี!

 

“เส้นโคจรที่นะไปสู่สุดทางจะเป็นการรวมวงโคจรทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่มีใครจะข้ามไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพียงเพราะฎีกาสวรรค์”

 

ไป่หยีเจี้ยนถอนหายใจ

 

“อนิจจา มันยากมากที่จะผ่านไปยังเส้นโคจรที่หก…”

 

แต่เมื่อเขาพูด เสียงอากาศถูกสูบก็ดังขึ้น…