ตอนที่ 146 หน้าเนื้อใจเสือ / ตอนที่ 147 ไป๋จิ่งผู้หมดอาลัยตายอยาก

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 146 หน้าเนื้อใจเสือ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าของคุณแม่เจียงจากตะลึงงันจนไปถึง……ดีใจแทบบ้า? 

 

 

           เสียงใสจิ๊จ๊ะเบาๆ ไม่ใช่สิ คนปกติเวลาเห็นคนในบ้านเพิ่มมาหนึ่งคนก็ควรจะรู้สึกแปลกใจมากไม่ใช่เหรอ ท่าทีตอบสนองของแม่เขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่เลยนะ 

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน มาอยู่ด้วยกันกับเฉินเฉินได้ยังไง” คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าดีใจ ขาดแค่ไม่ได้พุ่งตัวไปดึงมือเขามาเท่านั้น 

 

 

           “สวัสดีครับน้าเจียง พอดีเมื่อคืนผมเพิ่งกลับจากไปดูงานด่วนนอกสถานที่ครับ แล้วบ้านผมกำลังตกแต่งปรับปรุงอยู่ เห็นว่าดึกมากแล้วเลยมาที่นี่ ขอบคุณคุณน้าที่ให้การตอบรับนะครับ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ตกแต่งปรับปรุง? ข้ออ้างแถสีข้างถลอกขนาดนี้ แม่เขาจะเชื่อได้ลงเหรอ 

 

 

           “น่าจะบอกกันก่อน ถ้ารู้ว่าเสี่ยวเหยี่ยนกลับมาเมื่อคืน น้าจะได้ให้เฉินเฉินรออยู่ข้างล่าง อ่อใช่ ระหว่างที่นั่นยังตกแต่งปรับปรุงอยู่ ก็มาพักที่บ้านน้าก่อนเถอะ ห้องเฉินเฉินก็ใหญ่พอดี พวกลูกเบียดกันนิดนึงก็อยู่ได้แล้ว” 

 

 

           ??? 

 

 

           เครื่องหมายคำถามเต็มหัวเจียงมู่เฉินไปหมด……นี่แม่เขาเจอซือเหยี่ยนที จิตใต้สำนึกไม่ต้องใช้ไอคิวแล้ว? 

 

 

           ‘ยังให้เขาเบียดกันกับซือเหยี่ยนอีก?’ 

 

 

           นี่มันเป็นการผลักเขาให้ไปอยู่ใต้ร่างซือเหยี่ยนไม่ใช่หรือไง เป็นแม่เขาเองจริงๆ คัดค้าน! 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ พยักหน้ารับ “งั้นช่วงนี้รบกวนน้าเจียงด้วยนะครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงรีบเอ่ยยิ้มรับ “ไม่รบกวนๆ เจ้าเด็กแสบของพวกเราควรจะเรียนรู้จากเสี่ยวเหยี่ยนเยอะๆ ไม่ดื้อได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวเหยี่ยนก็โอเคแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนอัดจนจะกระอักเลือดจริงๆ แล้ว เขาเกือบจะไม่ทน อีกนิดจะเด้งตัวขึ้นมาชี้หน้าซือเหยี่ยนพูดกับแม่เขาแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่ดื้อกับผีน่ะสิ ตอนอยู่บนเตียง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าไม่ดื้อตรงไหน 

 

 

           สัตว์……ที่รู้หน้าไม่รู้ใจ! 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคำว่า ‘สัตว์’ น่าฟังกว่าคำว่า ‘เดรัจฉาน’ มาก เปรียบเทียบได้เหมาะสมกับซือเหยี่ยนคนหน้าเนื้อใจเสือ 

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้กำลังกินข้าวอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าไม่เห็นแก่หน้าแม่เขา เขาเผาซือเหยี่ยนไปนานแล้ว 

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จ ซือเหยี่ยนเช็ดปากอย่างมีมาดสุภาพ ก่อนเอ่ยขึ้น “น้าเจียงครับ พอดีที่บริษัทมีเรื่องนิดหน่อย ผมจะกลับบริษัทไปก่อน จัดเก็บของลงกระเป๋าแล้ว จะมาอีกนะครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงได้ยินก็รีบเอ่ย “เสี่ยวเหยี่ยนจัดการงานที่บริษัทเถอะจะ เรื่องจัดเก็บของลงกระเป๋าเดี๋ยวให้เฉินเฉินจัดการก็แล้วกัน ถึงยังไงเขาก็อยู่ที่นั่นมาพักหนึ่งแล้ว คุ้นเคยดีอยู่จะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……” ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของแม่จริงๆ มือที่ขุดหลุมฝังตัวเองไม่อ่อนโยนเลย 

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนฉายรอยยิ้ม เขาเอียงหน้ายกมุมปากขึ้นมองไปทางเจียงมู่เฉิน “งั้นก็รบกวนคุณแล้ว เฉินเฉิน~” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ไม่! รบ! กวน! มาก! เลย!” 

 

 

           คุณแม่เจียงส่งสายตามองตามพวกเขาไป เจียงมู่เฉินขับรถไปส่งซือเหยี่ยนที่บริษัท จากนั้นไปบ้านเขาเพื่อจัดกระเป๋าเดินทางให้เขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินขับรถไป พลางยิ้มเยาะ เขาอดจะสงสัยไม่ได้ ซือเหยี่ยนถึงจะเป็นลูกชายของพ่อแม่เขาที่แท้จริงใช่ไหม ตอนนั้นตัวเองโดนอุ้มไปผิดหรือเปล่า 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่เอาแต่ยิ้มเยาะตลอดทาง แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นหัวเราะ “เป็นไรไป หึงเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เปล่า ฉันจะไปหึงอะไร” 

 

 

           “ไม่ดื้อนะ ในใจผมคุณยังเป็นที่หนึ่งอยู่” ซือเหยี่ยนเอ่ยโอ๋ 

 

 

           “ไม่ดื้อน้องสาวนายสิ ฉันไม่เอาที่หนึ่งของนายหรอก” เจียงมู่เฉินระเบิดลงเพียงพริบตา 

 

 

           “อ่อ งั้นผมเป็นที่หนึ่งของคุณแล้วกัน” เขามองเจียงมู่เฉินผู้กำลังระเบิดลง แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ 

 

 

           “……” เขาจอดรถทิ้งคนลงกลางทางตอนนี้ทันไหม 

 

 

           …… 

 

 

           หลังจากส่งซือเหยี่ยนถึงบริษัทแล้ว ถึงได้ขับรถด้วยความเร็วสูงมาถึงที่คฤหาสน์ของซือเหยี่ยน รถเพิ่งจะจอดถึงประตูทางเข้า ก็เห็นว่าข้างในมีคนอยู่ไม่น้อยจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินลงจากรถ เห็นพวกเขาขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกมาข้างนอก เจียงมู่เฉินชะงักไป บ้านไอ้หมอนี่ตกแต่งปรับปรุงจริงๆ แฮะ 

 

 

           เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เข้าไปข้างในขึ้นชั้นสองหยิบเสื้อผ้าให้ซือเหยี่ยนแล้ว ถึงได้ออกมา 

 

 

           หลังจากออกจากบ้านซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน แต่มุ่งตรงไปบ้านมั่วไป๋ เมื่อคืนเขาขอให้มั่วไป๋ออกไปด้วย แต่ตัวเองดันไม่ได้ไป เพราะฉะนั้นเขาต้องไปแสดงการขอโทษมั่วไป๋ด้วยตัวเอง 

 

 

             

 

 

ตอนที่ 147 ไป๋จิ่งผู้หมดอาลัยตายอยาก 

 

 

           ณ ซือกรุ๊ป ซือเหยี่ยนเข้าบริษัทมา เมื่อเดินผ่านห้องทำงานของไป๋จิ่ง ก็พบว่าประตูปิดสนิท ราวกับว่าไม่มีคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           เขาคว้าตัวเสี่ยวหลิวที่เดินผ่านมาข้างๆ พอดี “ประธานไป๋ของพวกคุณล่ะ” 

 

 

           “ประธานไป๋ยังไม่มาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วค่ะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไป เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาไป๋จิ่ง เมื่อก่อนก็ตกลงกันแล้ว ว่าวันนี้จะมาเจอกัน ทำไมถึงตอนนี้แล้วยังไม่มาอีก 

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งตะลึงค้างอยู่บนเตียง ค่ำคืนอันเร่าร้อนผ่านไป เช้าวันต่อมา ไป๋จิ่งยังอยากจะกอดมั่วไป๋นอนอุ่นเครื่องอีกอยู่เลย 

 

 

           ปรากฏว่าไม่มีใครให้กอด ลืมตามาก็เห็นแค่เงินปึกหนึ่งวางไว้บนหมอน…… 

 

 

           เขาชะงักงันมองเงินหยวน สมองอดจะกระตุกไม่ได้ นี่มั่วไป๋เห็นเขาเป็นหนุ่มบาร์โฮสต์ไปแล้วเหรอ 

 

 

           ไป๋จิ่งผู้ไม่เคยรับเงินบนเตียง รู้สึกงุนงงไม่เบา 

 

 

           เขานั่งขัดสมาธินิ่งเงียบอยู่บนเตียงตั้งนานสองนาน ยังรับความจริงเรื่องนี้ไม่ไหว ไม่นึกว่าสักวันจะมีคนมาทำให้เขากลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้ว 

 

 

           ‘ที่สำคัญคือ……คนๆ นั้นใช้เขาเสร็จ ทิ้งเงินไว้ แล้วก็หนีไปเลย’ 

 

 

           มือถือที่วางข้างเตียงสั่นไม่หยุด ไป๋จิ่งหยิบมือถือขึ้นมากดรับสายด้วยความสิ้นหวังในชีวิต ทางซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร ไป๋จิ่งร้องโหยหวนอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ฉันไป๋จิ่ง ไม่นึกว่าสักวันจะมีคนมาทำให้ฉันกลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้นั่งอยู่ในห้องทำงานมุมปากกระตุกแล้ว เขาตัดสายทิ้งอย่างไม่ลังเล 

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูมือถือที่ถูกตัดสายไป ยังตอบสนองกลับไปไม่ได้ ซือเหยี่ยนไอ้หมอนี่กำลังสาดเกลือใส่บาดแผลเขาเหรอ 

 

 

           เขากอดตัวเองไว้ด้วยความรู้สึกอ่อนแอ ชักอยากจะร้องไห้แล้ว 

 

 

           ความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินไป เขาไม่อยากเผชิญความจริงนี้เลยสักนิด 

 

 

           รถเจียงมู่เฉินแล่นมาจอดใต้ตึกคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋ เขาถือเค้กที่ตั้งใจอ้อมชานเมืองไปซื้อมา เป็นของที่มั่วไป๋ชอบที่สุด ใช้ของชิ้นนี้เป็นของขวัญเอาใจ หวังว่ามั่วไป๋จะเห็นความซื่อตรงจริงใจจากเขาได้บ้าง ลงมือกับเขาเบาๆ หน่อย 

 

 

           เขายืนอยู่หน้าประตูบ้านของมั่วไป๋ กดกริ่งประตู 

 

 

           ตั้งนานก็ไม่มีใครเปิดประตู 

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด เวลานี้มั่วไป๋ไม่ควรจะไม่อยู่ แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่ไม่ถึงตอนบ่ายไม่ตื่นนอนนี่หน่า 

 

 

           เขากดกริ่งอีก ราวกับว่าไม่เปิดประตูก็จะกดอยู่อย่างนี้ไม่หยุด 

 

 

           มั่วไป๋นอนฟุบอยู่บนเตียง โดนเสียงหนวกหูรบกวนก็หมดหนทาง เขาดึงผ้าห่มออก ปีนลงจากเตียง กุมขมับที่กำลังปวดอยู่ เดินออกจากห้องไป 

 

 

           ดึงประตูเปิดออก เจียงมู่เฉินยืนยิ้มอ่อนอยู่หน้าทางเข้า 

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ปัง เสียงประตูกระแทกปิด เจียงมู่เฉินตะลึงงัน จิตใต้สำนึกบอกให้เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 

 

 

           อันตรายๆ อีกนิดประตูบานนี้จะสะบัดหน้าเขาแล้ว 

 

 

           ผ่านไปอีกห้านาที มั่วไป๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ถึงได้เปิดประตูอีกครั้ง สีหน้ายังไม่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อครู่นี้เยอะแล้ว 

 

 

           “ไป๋ไป๋ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ทำไมสีหน้าดูแย่ขนาดนี้ล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามไถ่เอาใจด้วยความเป็นห่วง ยังไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องโดนเขาปิดประตูใส่ให้รออยู่ข้างนอกอีก 

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ “อืม เมื่อวานหลับไม่ค่อยสนิท” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็มองเขาด้วยความสงสัยทันที “เมื่อคืนนายไม่นอนแล้วไปทำไม” 

 

 

           มั่วไป๋ขบกรามแน่น “ถ้าฉันเป็นนายฉันจะไม่เป็นฝ่ายถามปัญหานี้นะ” เขายังมีหน้ามาถามว่าเขาไปไหนอีกเหรอ 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงมู่เฉิน เขาคงไม่ต้องถึงขนาดไปหลานเยี่ยกลางดึก แล้วโดนคนทำร้าย แถมยังไม่ระวังถูกวางยาอีก 

 

 

           ‘สุดท้ายก็โดนไป๋จิ่งไอ้คนระยำ ‘ทำ’ จนเอวยืดตรงไม่ได้’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ตัวว่าถามผิดก็รีบเอามือกุมปากตัวเองไว้ “คือว่า โทษฉันเลย โทษฉัน เป็นปัญหาของฉันเอง” 

 

 

           “ทำไมจู่ๆ นายมาโผล่ที่นี่” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาเค้กที่ตัวเองตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษวางลงต่อหน้ามั่วไป๋ “ฉันมาแสดงการขอโทษ เมื่อคืนฉันถูกพ่อฉันจับตัวไว้ เขาลากฉันไปคุยด้วยสามชั่วโมง” 

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น เขาเองก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจียงมู่เฉิน