ภาคที่ 1 บทที่ 72 พยับหมอก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 72 พยับหมอก

เมืองหลินเป่ยและตำหนักเซียนเหินนั้นห่างไกลกันมาก ทว่าปาหลงและคนอื่น ๆ ดูท่าจะเตรียมการมานานแล้ว

หลังจากชายวัยกลางคนส่งเสียงผิวปากแหลมสูง รถม้าคันใหญ่พลันปรากฏขึ้นกลางป่า เป็นรถมาสองชั้นดูสง่าผ่าเผยยิ่ง สิ่งมีชีวิตที่ดึงรถนั้นไม่ใช่ม้าตัวใหญ่ธรรมดาแต่เป็นอสูรร้ายสวมเกราะนามว่าตัวนิ่มน้ำ อสูรร้ายตัวนี้มีพละกำลังมากและมีความเร็วพอตัว ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการฝึกให้เชื่อง ตัวนิ่มน้ำที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วสี่ตัวเช่นนี้นับว่าต้องใช้เงินมากจำนวนหนึ่ง

จากนั้นปาหลงจึงเอ่ยขึ้น “ขึ้นรถมาเถอะ เดิมทีข้าคิดว่านำรถม้านี่มาจะเปล่าประโยชน์เสียแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีข้ารับใช้เป็นเผ่าหินผา ตอนนี้รถม้าที่นำมาดูพอจะมีประโยชน์ขึ้นมาหน่อยแล้ว”

พูดจบเขาก็ปีนขึ้นรถม้าไป

ซูเฉินปีนตามเข้าไป ด้านในรถม้ามีพื้นที่กว้างขวางราวกับเป็นห้องห้องหนึ่ง มีผ้าปู มีม้านั่งแกะสลักสำหรับบำเพ็ญตนและพักผ่อน

เมื่อเข้ารถม้าไปแล้ว รถม้าก็เริ่มออกตัว บางครั้งจะมีอักขระยันต์ส่องสว่างอยู่รอบตัวรถม้า ก่อนที่พวกมันจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นหมอกดำ ร่องรอยต่าง ๆ ของรถม้าถูกหมอกดำนี้กลบไปจนสิ้น คนที่อยู่นอกรถม้าไม่อาจมองเห็นรถม้าคันนี้ได้

ปาหลงหัวเราะ “นี่คือรถม้าพยับหมอก สามารถใช้หมอกเพื่อหลบซ่อนตัวไม่ให้ผู้ใดเห็นและมารบกวนได้ หนทางยังอีกยาวไกลนัก เราน่าจะเดินทางถึงตำหนักเซียนเหินภายในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน  หากเจ้านั่งรอจนเบื่อจะไปทำสมาธิก็ได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงที่หมายเจ้าจะได้ปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่”

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอน้อมรับคำแนะนำ” ซูเฉินนั่งลง

ทว่าถึงรถม้าจะสามารถซ่อนตัวในสายหมอกและคนภายในรถม้าสามารถมองเห็นทางด้านนอกได้ แต่การจะเดินทางไปยังตำหนักเซียนเหินก็ยังต้องใช้เวลาทั้งวัน แน่นอนว่ารถม้าคันนี้ไม่ได้เดินทางได้เร็วนัก เป็นเพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้เดินทางได้ช้าลง

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือ?

ซูเฉินนึกบางสิ่งขึ้นได้ แอบสัมผัสกำแพงด้านหลังตนเงียบ ๆ เขาใช้พลังต้นกำเนิดดันมันเล็กน้อยทว่ามันกลับไปขยับ ดูท่ารถม้าคันนี้จะสร้างด้วยเหล็กอย่างดีทั้งคัน หากมีปุ่มที่ติดตั้งไว้แล้ว รถม้าคันนี้อาจจะสามารถเปลี่ยนเป็นรถม้าที่ใช้ในการต่อสู้ได้ ไม่เพียงแต่ใช้ตามล่าศัตรูหรือใช้หลบหนี ทว่ายังสามารถใช้กักขังและจำกัดพื้นที่ศัตรูได้อีกด้วย เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูเฉินจึงหดมือตนกลับมาช้า ๆ ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะมุ่งบ่มเพาะพลังต่อไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ยามเมื่อม่านราตรีเคลื่อนตัว รถม้าก็เดินทางมาถึงตำหนักเซียนเหินพอดี

ด้วยหมอกที่ห่อหุ้มรถม้าอยู่ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านยามเฝ้าประตูของตำหนักเซียนเหินมาได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

แน่นอนว่ารถม้าพยับหมอกคันนี้เป็นสมบัติชั้นดี สามารถใช้หลบหนี ไล่ล่า หรือแทรกซึมเข้าพื้นที่อย่างเงียบเชียบได้ ในฐานะองค์กรใต้ดินแล้ว อารามนิรันดร์ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถอื่นใดอีก แค่ความสามารถในการหายตัวไปอย่างเงียบเชียบของคนพวกนี้ก็นับว่าไม่มีผู้ใดเทียบขั้นได้แล้ว

ท้องถนนค่อนข้างเงียบเนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้ว มีเพียงผู้คนสัญจรไม่กี่คน

รถม้าคันใหญ่วิ่งตัดผ่านถนนรู้แจ้งที่ร้านนามทองคำตั้งอยู่ พวกเขาเดินทางดูรอบ ๆ ถนนก่อนเป็นอย่างแรก ใช้ประโยชน์จากหมอกหนาที่ปกคลุมสอดส่องทั่วพื้นที่ คนขับรถม้าชุดดำที่นั่งอยู่ด้านหน้ารายงานสถานการณ์ให้ได้ยิน  “มีกองกำลังซ่อนตัวอยู่แถวร้านนามทองคำ ทั้งหมดราวสิบห้าคน ด่านก่อเกิดลมปราณสองคน ที่เหลือเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ ทุกคนสวมชุดเกราะและพกดาบ อีกฝั่งถนนมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่อีกราวยี่สิบคน ทำหน้าที่ปิดกั้นทางออก นอกนั้นยังมีผู้อยู่ขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณอีกสองคนอยู่ตรงจุดนั้น ส่วนในร้านนามทองคำมีคนอยู่เก้าคน ด่านกลั่นโลหิตสองคน ด่านก่อเกิดลมปราณสามคน และผู้บัญชาการทั้งสามคนรวมอยู่ด้วย คนสุดท้ายมีกำลังแข็งแกร่ง ข้าไม่อาจสอดแนมได้ ทว่าน่าจะเป็นลี่หมิงถัง ”

“อย่างที่คิดไว้ มีการดักลอบโจมตีจริง ๆ หัวหน้าของกองกำลังหุบเขาเงาทั้งสี่คนก็มากันอย่างพร้อมเพรียง พวกมันไม่คิดจะดักฆ่าเจ้าที่นอกเมืองด้วยซ้ำ แต่กลับเลือกที่จะฆ่าเจ้าในร้านนามทองคำแห่งนี้เสียเลย พวกกองโจรพวกนี้นับวันชักจะโอหังเกินไปแล้ว” ปาหลงเอ่ยขึ้น

ซูเฉินขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “พวกมันมีผู้มีขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณมากกว่าที่เราคิดไว้ จอมยุทธ์อีกสี่สิบห้าคนพวกนั้นย่อมเป็นปัญหาให้เราแน่ แต่ที่สำคัญคือหากมีการต่อสู้เกิดขึ้นกลางเมือง พวกทหารยามคงมาถึงในเร็วไวเป็นแน่……”

ทว่าปาหลงกลับเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ข้าจะแสดงกลยุทธ์ลับของทางองค์กรให้เจ้าดู เด็กหนุ่มอย่างเจ้าจะได้มีความเคารพต่อทางองค์กรให้มากสักหน่อย”

พูดจบเขาก็โบกมือ ก่อนที่คนชุดดำสองคนและเยี่ยเม่ยจะลงจากรถม้าไป ทำให้หมอกที่ล้อมคันรถอยู่หายตัวไปในพริบตา ไม่นานก็กลับมาและรายงานให้ปาหลงฟัง “ท่านปาหลง ลงเมล็ดพันธุ์เรียบร้อยแล้ว”

ปาหลงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นหันไปสั่งคนชุดดำที่อยู่ด้านหลัง “ยังต้องรบกวนเจ้าอีก ถงลู่”

“รับทราบ” น้ำเสียงแหบแห้งฟังดูเป็นน้ำเสียงของชายชราดังออกมาจากคนผ้าคลุมหน้าสีดำ

จากนั้นน้ำเสียงที่มีจังหวะแปลกหูก็พลันดังออกมาจากปากของชายชราผู้นี้ ยามเมื่อซูเฉินได้ยินก็บังเกิดความรู้สึกแปลก ๆ

นี่คือวิชาโบราณอาร์คาน่า!

วิชาที่ชายชุดดำกำลังร่ายอยู่ในตอนนี้คือวิชาโบราณอาร์คาน่าที่ซับซ้อนยิ่งนัก

ไม่นานหลังจากนั้น น้ำเสียงแปลกประหลาดก็หยุดลง   ถงลู่ถอนหายใจออกมาก่อนกล่าวขึ้น “เรียบร้อย”

“ไปกันเถอะ” ปาหลงเป็นผู้ที่ลงจากรถม้าไปเป็นคนแรก

เมื่อซูเฉินลงมาจากรถม้าจึงเห็นว่าพวกเขาถูกหมอกหนาปกคลุมจนแบมือตรงหน้าตนเองก็ยังไม่อาจเห็นนิ้วมือได้ ในที่สุดจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “กังเหยียน ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ?”

กังเหยียนตอบ “มีหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่ไปหมดเลยนายน้อย ทั้งยังมีต้นไม้ผุดขึ้นมาด้วย”

มีต้นไม้จริง ๆ!

ซูเฉินเองก็เห็นต้นไม้เหล่านั้นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ากังเหยียนเองก็เห็นเช่นเดียวกัน

เมื่อมองฝ่าหมอกหนาไป ซูเฉินก็มองเห็นต้นไม้ใหญ่รูปร่างประหลาดพากันขึ้นอยู่บนถนนถนนรู้แจ้งจนรกทึบ พวกมันเคลื่อนไหวกิ่งก้านของมันอยู่ท่ามกลางสายหมอก หมอกสีขาวถูกปล่อยออกมาจากกิ่งก้านเหล่านั้นเป็นระยะ

ปาหลงหัวเราะ “เจ้าเคยได้ยืนชื่อป่าสายหมอกอำพรางหรือไม่? มันคือป่าที่ร่ำลือกันว่าสามารถหายตัวไปได้ เป็นเพราะว่ามีต้นไม้ชนิดหนึ่งนามว่าต้นสนหมอกซึ่งสามารถปล่อยหมอกที่มีลักษณะเฉพาะตัวออกมาได้ ไม่เพียงบดบังสายตาผู้คน ทว่ายังสามารถบดบังการได้ยินอีกด้วย ตอนนั้นเยี่ยเม่ยและคนอื่น ๆ นำเมล็ดต้นสนหมอกออกไปปลูกล้อมรอบพื้นที่ไว้ ตอนนี้เมื่อหมอกปกคลุมจนทั่ว พวกเราก็สามารถสังหารพวกมันจนพอใจ แถมยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกต่างหาก”

“ไปเถอะ วิชาหมอกนี่มีเวลาจำกัด” ชายชราที่เป็นผู้ใช้วิชาเร่งการเจริญเติบโตเอ่ยขึ้น

ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังร้านนามทองคำ

เยี่ยเม่ยเดินเข้ามาใกล้ก่อนเอ่ยกับซูเฉินว่า “อยู่ด้านหลังข้าไว้ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

ความเป็นห่วงที่หาได้ยากเช่นนี้อบอุ่นหัวใจซูเฉินไม่น้อย ทว่าเขากลับส่ายหัวก่อนเอ่ยขึ้น “ขอบใจเจ้ามาก ทว่าไม่จำเป็น ข้ามีกังเหยียน”

“มันน่ะหรือ?” เยี่ยเม่ยส่งเสียงเย็นออกมา นางไม่เอ่ยอันใดต่อ ทว่าท่าทางของนางนั้นสื่อว่าชัดเจนว่า ‘เจ้าคนที่ขั้นพลังยังไม่ถึงด่านก่อเกิดลมปราณผู้นี้จะไปมีประโยชน์อันใด’

ที่ด้านหน้า ปาหลงและคนอื่น ๆ เดินทางไปถึงประตูหน้าร้านนามทองคำเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นประตูก็ไม่ได้หยุดเท้าแม้แต่น้อย ปาหลงพลันยกเท้าขึ้นถีบประตูอย่างแรง

ประตูถูกถีบเปิดออก มีคนสองสามคนพุ่งออกมาจากด้านใน “ผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายในร้านนามทองคำกัน?”

ทว่าเป็นเพราะวิชาหมอก เสียงดังเมื่อครู่จึงไม่อาจได้ยินไปไกลนัก พวกเขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้แท้ ๆ ทว่าซูเฉินกลับได้ยินเสียงเหมือนกับว่าคนเหล่านั้นอยู่ห่างไกลยิ่งนัก

ปาหลงหัวเราะเสียงดัง “ลี่หมิงถัง ออกมาน้อมรับความตายของเจ้าเสีย!”

พูดจบก็ซัดหมัดเข้าไปหนึ่งหมัด

“เป็นเจ้าเองหรือปาหลง?” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากด้านหลังประตู ก่อนที่จะมีหมัดหนึ่งพุ่งออกมากันหมัดของปาหลงไว้ ทว่าท่าหมัดของปาหลงนั้นดูสบายตัวยิ่งนัก ในขณะที่หมัดของอีกด้านนั้นกลับใส่มาเต็มแรง อีกฝ่ายถึงกับเอ่ยขึ้นเสียงสั่น “พวกเราถูกหลอก นี่เป็นกับดัก! ข้าจะถ่วงคนพวกนี้ไว้ ทุกคนรีบหนีไป!”

ตะโกนจบก็มีคนหัวล้านคนหนึ่งพุ่งออกมาจากประตู ที่แขนมีห่วงเหล็กคล้องอยู่เป็นสิบ ๆ ห่วง

ปาหลงหยิบดาบใหญ่ที่แบกไว้บนหลังออกมาก่อนกล่าวขึ้น “หยุดพวกมันไว้ อย่าปล่อยให้มีผู้ใดหนีไปได้”

ระหว่างที่เขาพูด เงาร่างสีดำพุ่งเข้าใส่โจรพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว

พวกเขาเตรียมการมาอย่างดี ทั้งยังมีฝีมือเหนือกว่าคู่ต่อสู้อยู่เล็กน้อย เหตุก็เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกำชัยชนะไว้ได้อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสูญเสียคนฝีมือดี สิ่งที่ด้อยกว่าคงจะเป็นเรื่องจำนวนคน ทว่าเดิมทีกองกำลังหุบเขาเงาต้องการลอบฆ่าผู้ขาย จึงพากันซุ่มซ่อนตัวอยู่ภายนอกร้าน และด้วยวิชาหมอกที่ปิดกั้นสายตาและความสามารถในการได้ยินเสียงแล้ว พวกโจรที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกจึงไม่อาจรู้ได้ว่าด้านในร้านเกิดอะไรขึ้นพวกมันไม่สามารถเข้ามาช่วยได้ทันแน่ ดังนั้นการต่อสู้จึงเป็นไปแบบตัวต่อตัว ถึงพวกคนด้านนอกจะรีบเข้ามาช่วย ฝั่งซูเฉินก็ยังมีคนขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตมาเพิ่มหนึ่งคน คนอื่น ๆ เองก็เหนือกว่าในด้านพื้นฐานพลัง การที่พวกมันเข้ามาช่วยก็มีแต่จะพาตนเองมาตายเท่านั้น

ภายใต้พยับหมอกที่ปกคลุม การสังหารโหดก็ได้เริ่มต้นขึ้น