บทที่ 99 เปิดทำการ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 99

เปิดทำการ

สำหรับเย่เย่ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปกป้องพวกพ้อง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยุบสาขาของ

หอการค้าหยูเย่รวมกันเป็นสาขาเดียวที่ปราการ หลิงหยวนอันสูงตระหง่าน นอกจากจะควบคุมดูแลง่ายแล้ว ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพเหนือปราการหลิงหยวนของหอการค้าหยูเย่อีกด้วย

“ท่านประธานเย่ช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก!”

“ข้าอยากจะรู้นักว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าจะดูหมิ่นดูแคลนพวกเราอีกไหม!?”

ครั้นเย่เย่ตัดสินใจย้ายหอการค้าของเขามาในปราการ หลิงหยวน ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านและยังสนับสนุนความคิดเห็นของเขาอีกด้วย แม้มันจะทำให้พวกเขาต้องยุ่งยากในการจัดย้ายข้าวของไปในที่ใหม่ก็ตาม

ระหว่างที่เสี่ยวหยู ซูฉีเจี่ย และบรรดาลูกจ้างของเขากำลังง่วนอยู่กับการขนของอยู่นั้น ตัวเย่เย่เองก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขาได้ถอนตั๋วทองจำนวนมหาศาลออกมา และทำการแลกเปลี่ยนเข้าระบบอย่างไม่รอช้า ก่อนที่เขาจะแลกเปลี่ยนค่ายกลประเภทต่างๆออกมา เช่น ค่ายกลสำหรับป้องกัน โจมตี และตรวจจับสิ่งแปลกปลอม ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากผู้ไม่หวังดี และตรวจจับสายสืบที่ลอบเข้ามาอีกด้วย

หลังจากที่เขาติดตั้งค่ายกลเสร็จสิ้น เขาก็กลับไปยังลานฝึกส่วนตัวของเขา และแลกเปลี่ยนยาคุณภาพเยี่ยม และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆออกมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดทำการสาขาใหม่ของเขา ไม่เพียงเท่านั้นหลังจากที่เขาได้ทดลองใช้ประคำจ้าวอสรพิษ ทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อไอเทมจิปาถะ แม้พวกมันจะมีไว้สำหรับใช้งานเฉพาะทาง แต่คุณภาพก็ดีเกินราคาอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมล่องหน หรือประคำจ้าวอสรพิษทั้งสองอย่างนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย เย่เย่ใช้เงินทั้งหมด 1000 เหรียญจักรวาลแลกไอเทมในหมวดหมู่จิปาถะออกมาอย่างไม่ลังเล

หลังจากสูญเงินจำนวนดังกล่าวไป เขาก็ไอเทมจิปาถะมาหลายร้อยชนิด แต่ในบรรดาร้อยชนิดที่เขาแลกมาแบบสุ่มนั้นมีแค่บางชนิดเท่านั้นที่เขาคิดว่ามันพอจะใช้งานได้อยู่บ้าง เช่น แร่ทองเจ็ดดาวตก, ตราประทับทองแดง และเศษธงสีชาดเลื่อมทอง

แม้ว่าแร่ทองเจ็ดดาวตกไม่ได้มีคุณสมบัติดีพอที่จะนำไปใช้งาน แต่วัสดุของมันทำมาจากแร่ดาวตกซึ่งหายากและมีมูลค่าสูง ส่วนตราประทับทองแดงแม้มันจะดูเหมือนตราประทับธรรมดาๆ แต่มันมีอักขระโบราณสลักอยู่ใต้ตราประทับ ทำให้เย่เย่อดสงสัยไม่ได้

มีเพียงเศษธงสีชาดนี้ที่ในทีแรกเย่เย่ดูเหมือนจะสนใจมันเป็นพิเศษ แต่เมื่อเขาศึกษามันอย่างละเอียดแล้ว เขากลับถอนหายใจด้วยความเสียดาย

เศษธงสีชาดเลื่อมทองระยิบระยับนี้เป็นชิ้นส่วนมรดกตกทอดของอาวุธมนตราแห่งธาตุทั้งห้าในตำนาน แม้ชิ้นส่วนของมันจะมีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ถ้าหากหลอมรวมมันขึ้นได้แล้วล่ะก็มันจะกลายเป็นศาสตราที่ทรงพลังเหนือกว่าเทพอสูรเสียอีก เขาตั้งใจที่จะใช้ระบบเพื่อซ่อมแซม และขัดเกลามัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้

เขาถอนหายใจก่อนที่จะโยนมันลงในกองไอเทมที่ใช้การไม่ได้ ก่อนจะขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีกครั้ง และพกมันติดตัวไว้เพื่อหาโอกาสในการซ่อมแซมมัน

หลังจากที่เขาพินิจพิเคราะห์ไอเทมหลายร้อยชนิดเสร็จสิ้น เขาก็นั่งขัดสมาธิลงกับพื้นเพื่อทำการฝึกวรยุทธ์อสรพิษคำรน

ตั้งแต่ที่จิตวิญญาณแห่งอสรพิษตัวน้อยของเขาพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นงูขนาดใหญ่ดูคล้ายกับมังกร ไม่เพียงแต่พลังป้องกันของเขาจะเพิ่มขึ้นแล้ว เวลาใช้งานเกล็ดหนายังปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขารวมไปถึงส่วนหัวของเขาด้วยเช่นกัน

ด้วยวิชายุทธ์อสรพิษคำรนนี้ทำให้จิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขาสามารถดูดซับพลังแห่งโลกและสวรรค์ได้มากกว่าที่เขาคาดคิด ทำให้วรยุทธ์ของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแม้เขาจะเพิ่งบรรลุขั้นเทพอสูรได้ไม่นานนัก แต่อย่างไรก็ตามหนทางในระดับเทพอสูรนี้ยังคงอีกยาวไกล

เย่เย่นั้นไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก เขาจึงรวบรวมลมปราณอสรพิษคำรนของเขาขัดเกลาจิตวิญญาณต่อไปเรื่อยๆ นอกจากนี้เขายังแบ่งเวลาที่เหลือมาฝึกกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำราม ควบคู่ไปกับการใช้กระบี่เทพอัสนีเพื่อเข้าถึงพลังแห่งอสนีบาตให้ได้โดยเร็วอีกด้วย แม้ว่าหลังจากที่เขาขึ้นปกครอง หลิงเฉิงแล้วจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้มันก็ตาม

ภายใต้การจัดการอย่างเป็นระบบของเสี่ยวหยูทำให้หอการค้าหยูเย่โยกย้ายไปปราการหลิงหยวนได้สำเร็จภายในสามวัน ในวันที่พวกเขาเปิดทำการอีกครั้งบรรดาขุมกำลังน้อยใหญ่ต่างพากันมามอบของขวัญแสดงความยินดี ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าตันเซียง สำนักเพลิงสวรรค์ หรือแม้กระทั่งสำนักรุ่งอรุณ

แม้ว่าพวกเขามักถอนการสนับสนุนเวลาเกิดเรื่องใหญ่เสมอ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นตัวการที่ทำให้หอการค้าหยูเย่ต้องตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นเย่เย่จริงตอบรับมิตรไมตรีแบบปลอมเปลือกของพวกเขาโดยที่คิดเพียงว่าสร้างมิตรย่อมดีกว่าสร้างศัตรู

ทั้งสามขั้วอำนาจย่อยต่างรู้ดีว่าหอการค้าหยูเย่นั้นถืออำนาจเหนือปราการหลิงหยวนอย่างสมบูรณ์พวกเขาจึงหมดข้อสงสัย เหลือเพียงแต่ความเคารพศรัทธาที่มีต่อเย่เย่และหอการค้าของเขา

หลังจากที่หอการค้าหยูเย่เปิดทำการอีกครั้งได้ไม่นานนัก ก็เกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นอีกครั้งหนึ่งในหลิงเฉิง

“รายงานแม่นางเสี่ยวหยู เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! วันนี้มีกลุ่มคนที่อ้างตัวเป็นคนของหอการค้าหยูเย่เข้าปล้นสะดม รีดไถชาวเมือง ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ขอคำชี้แนะด้วย!”

ซูฉีเจี่ยเมื่อได้รับรายงานจากลูกน้องของเขาก็รีบเข้ามารายงานแม่นางเสี่ยวหยูอีกทีหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้วดูเหมือนว่าต่อให้เสี่ยวหยูไม่ได้ออกคำสั่งอะไรเขาก็จะนำกำลังเข้าจับกุมคนกลุ่มนั้นที่ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาต้องแปดเปื้อนอยู่ดี

“ท่านซูรีบนำกำลังไปจัดการพวกเขาซะ! อย่าให้พวกเขาเอาชื่อเสียงของเราไปทำเรื่องเสียๆหายๆไปมากกว่านี้”

เสี่ยวหยูที่นั่งจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เมื่อได้รับรายงานด้วยความโกรธนางจึงลุกขึ้นพรวดในทันที ก่อนที่จะออกคำสั่งให้ซูฉีเจี่ยไปสั่งสอนพวกคนชั่วโดยปราศจากการไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น

“มีอะไรกันรึ?”

เย่เย่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถงก็ได้ถามเสี่ยวหยู ก่อนที่นางและซูฉีเจี่ยจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง

“ไหนบอกข้ามาซิ ใครหน้าไหนมันกล้าท้าทายข้าเช่นนี้!?”

“ข้าคาดว่าน่าจะเป็นแก๊งสายน้ำหลั่งไหลที่เคยมาหาเรื่องข้าตั้งแต่ตอนก่อตั้งหอการค้าแรกๆน่ะเจ้าค่ะ”

เย่เย่ที่ได้ยินดังนั้นก็โทษตัวเองที่คิดน้อยเกินไป จึงไม่ได้วางแผนรับมือเรื่องเหล่านี้ไว้

“เช่นนั้นข้าจะส่งลูกน้องข้านำทางท่านไปที่เกิดเหตุก่อน”

หลังจากเห็นเย่เย่มีสีหน้าที่ร้อนรน ซูฉีเจี่ยจึงรีบออกตัวส่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเพื่อนำทางให้แก่เย่เย่ไปยังสถานที่เกิดเหตุ เย่เย่ที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตนมากนักในช่วงนี้ เขาจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษและออกเดินทางไปอย่างเงียบๆ

เมื่อพวกเขาขี่ม้าไปถึงหมู่บ้านที่เกิดเหตุ จากการตกแต่งและสภาพถนนหนทางนั้นสังเกตได้ว่าหมู่บ้านนี้ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ชาวบ้านอาศัยกันแบบพออยู่พอกิน แต่ใบหน้าของผู้คนที่สัญจรไปมาในละแวกนั้นกลับสะท้อนให้เห็นถึงความพึงพอใจในวิถีชีวิตเรียบง่ายของตน

หมู่บ้านที่ดูเหมือนจะสงบสุข แต่เบื้องหน้าของพวกเขากลับมีฝูงชนรายล้อม และเสียงของการทะเลาะวิวาทดังมาแต่ไกล

“เถ้าแก่! นั่นคือหยวนเซียงหลีผู้ก่อเหตุ เขาอ้างว่าเขามีลูกพี่ลูกน้องทำงานอยู่ในหอการค้าของพวกเราขอรับ”

พวกเขาทั้งสองลงจากม้า ก่อนที่ผู้นำทางของเย่เย่จะเริ่มอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด…