DC บทที่ 299: สำนักหงส์สวรรค์

 

หลังจากที่เหล่าศิษย์จากไปหมดแล้ว แรงขาของโหลวหลานจีก็หมดสิ้นจนทำให้เธอล้มนั่งลง

 

“ผ-ผู้นำนิกาย”

 

ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตะลึงกับการล้มลงอย่างกระทันหันของเธอ

 

“ข-ข้าสบายดี…” โหลวหลานจีโบกมือ “ข้าเพียงแค่ตกใจมากไปเล็กน้อย…”

 

ผู้อาวุโสนิกายพากันสบตากันเอง พวกเขาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งเท่ากับโหลวหลานจี

 

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน ผู้นำนิกาย ในเมื่อข้าเองก็ยังมิอาจจะเชื่อเช่นกัน…”

 

ผู้อาวุโสเจ้าถอนใจ

 

พวกเขาปล่อยให้ศิษย์เหล่านี้อยู่ตามลำพังสองสามเดือนท้ายนี้ด้วยหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้รับความตระหนกมากถึงระดับนี้

 

“เพียงแต่ว่าซูหยางทำให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าการฝึกวิชาคู่จะรวดเร็วในความก้าวหน้ากว่าการฝึกวิชาปกติ แต่ความก้าวหน้าแบบนี้นี่มันเหลือเชื่อ ข้ามิอาจจินตนาการได้ว่าเขาทำได้อย่างไร…” ผู้อาวุโสซุนก็ถอนหายใจเช่นกัน

 

“ข้ามีความรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเรามิขุดคุ้ย” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอลุกขึ้นยืน

 

“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย ถ้าเราสามารถหาพบว่าซูหยางช่วยศิษย์เหล่านี้ให้มีพลังการฝึกปรือพุ่งทะยานได้อย่างไร เราก็สามารถใช้มันสำหรับความก้าวหน้าของพวกเราในอนาคตสำหรับศิษย์ทุกคน ในเวลานั้นย่อมมิใช่ความฝันที่จะอยู่ในระดับสูงสุด” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว

 

โหลวหลานจีส่ายหน้า

 

“ถ้าท่านคิดว่าเป็นการง่ายที่จะทำให้ซูหยางพูด ท่านสามารถเข้าไปลองพยายามได้ แต่ทว่าถ้าท่านล่วงเกินเขาและบีบให้เขาไปจากที่แห่งนี้ ท่านจะรับผิดชอบได้อย่างไร แม้ว่าข้ามิได้ต้องการที่จะทำให้มันดูเกินจริง แต่อนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทั้งหมดตกอยู่บนบ่าของเขาแล้วในเวลานี้”

 

ผู้อาวุโสเจ้าพลันเงียบลงไปในเมื่อเขาไม่ได้คิดถึงลึกถึงเพียงนี้ ซูหยางเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่สามารถฝึกวิชาร่วมกับศิษย์หญิงในเวลานี้ และถ้าเขาต้องจากไป ใครเล่าจะมาเป็นคู่ของศิษย์หญิงเหล่านี้ และนี่ยังไม่ได้พูดถึงบุญคุณที่ซูหยางได้ให้ไว้กับนิกาย

 

“การที่ซูหยางช่วยศิษยเหล่านี้อย่างไรนั้นมิใช่ธุระหรือกงการอะไรของเรา ตามจริงก็มิควรแม้แต่จะคิด สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือบุญคุณที่เขาได้ให้ไว้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

“ขอรับ ผู้นำนิกาย…”

 

ผู้อาวุโสนิกายพากันพยักหน้ารับ

 

“…”

 

แม้ว่าจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา โหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจในเมื่อเธอรู้ว่าซูหยางจะต้องจากไปสักวันหนึ่งเมื่อสุดท้ายตระกูลซูตัดสินใจที่จะพาเขากลับไป

 

ในเวลานั้นภายในที่พักของซูหยาง

 

“เซียวลี่ ข้าจักออกไปสักหนึ่งเดือน ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น”

 

ซูหยางพูดกับเซียวลี่ ซึ่งหลับอยู่อย่างสบายบนเตียง

 

“ถ้ามีผู้บุกรุกหรือคนที่มีเจตนาร้ายต่อสถานที่นี้ เจ้าสามารถฆ่าพวกนั้นได้”

 

“เจ้าค่ะเจ้านาย”

 

สำหรับสัตว์เซียนดังเช่นเซียวลี่ เวลาที่มีค่าหนึ่งเดือนนั้นคล้ายกับไม่กี่นาที ดังนั้นเธอจึงไม่มีปัญหาอะไรในการที่จะอยู่ที่นี่นานแค่นั้น

 

หลังจากที่ข่าวการแข่งขันระดับภูมิภาคได้แพร่กระจายไปทั่วนิกาย ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนและศิษย์ทั่วไปหลายคนก็ขออนุญาตติดตามไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ชมดู

 

และเพราะว่าศิษย์เหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อให้พวกเขาทั้งหมดจากไปก็ตาม ในเมื่อพลังการฝึกปรือของพวกเขาต่ำมากและไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่หรือไม่ โหลวหลานจีจึงตกลงที่จะพาพวกเขาไปด้วย

 

เพื่อสามวันถัดไป ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็เตรียมตัวการเดินทาง

 

อย่างไรก็ตามนี่ไม่เพียงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค ในเมื่อนิกายหลายสิบทั่วทั้งทวีปตะวันออกต่างก็เตรียมตัวสำหรับกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของนิกายของพวกเขาอยู่ในขณะนี้

 

ในเวลานั้น ที่ตระกูลซู

 

“ซูหยิน ออกมาหน่อยลูก สำนักหงส์สวรรค์ได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อที่จะรับเจ้าไปเพื่อการแข่งขันระดับภูมิภาค”

 

ซูซุนยืนอยู่นอกห้องซูหยินตะโกนเรียกเธอให้ออกมา

 

นับตั้งแต่ซูหยางมาเยี่ยม ซูหยินได้เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และใช้ความโกรธต่อชิวเยว่ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้ซูหยางเปลี่ยนเป็นคนละคนเป็นเชื้อเพลิงฝึกฝนตนเองราวกับคนบ้าหวังที่จะได้รับพลังอำนาจที่จะช่วยพี่ชายที่รักจากอีกฝ่าย

 

เวลาต่อจากนั้นสุดท้ายประตูก็เปิดออก และซูหยินก็เดินออกมาจากห้องอย่างช้าๆ

 

“ซูหยิน..”

 

ซูซุนตกใจที่เห็นซูหยินซึ่งดูเหมือนกับว่าเธออดนอนมาเป็นเวลาหลายวันปรากฏตัวขึ้น

 

“จ-เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” เขาถามเธอโดยไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตามเมื่อซูซุนพลันสังเกตเห็นกลิ่นอายอันล้ำลึกของเธอ ดวงตาเขาก็เบิกโพลงด้วยความตระหนก

 

“ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ”

 

ซูซุนเกือบล้มลงก้นจ้ำเบ้า

 

หลังจากเก็บตัวฝึกฝนเกือบหกเดือน พลังการฝึกปรือของซูหยินก็พุ่งทะยานจากระดับสามเขตสัมมาวิญญาณไปยังระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ ความเร็วที่ซึ่งเธอได้ก้าวหน้าไปนั้นน่าตกใจ กล่าวแล้วยังน้อยไป

 

อย่างไรก็ตามถึงจะมีความสุขเพียงใดที่เห็นลูกสาวของเขาก้าวหน้าขึ้น ซูซุนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าซูหยินอาจจะกดดันตนเองมากเกินไป

 

“ซ-ซูหยิน…ผู้อาวุโสเฉินรอคอยเจ้าอยู่ในห้องนั่งเล่น การแข่งขันระดับภูมิภาคเหลือไม่ถึงเดือนแล้ว และเธอมาที่นี่เพื่อที่จะพาเจ้าไปยังเมืองหิมะร่วงเพื่อลงทะเบียน”

 

ซูหยินพยักหน้าและไปพบกับผู้อาวุโสเฉิน

 

“ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ”

 

เมื่อผู้อาวุโสเฉินเห็นพลังการฝึกปรือของซูหยิน เธอก็เหมือนกับซูซุน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตระหนก

 

ซูหยินอายุเพียงสิบห้าปี แต่เธอกลับสามารถเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณได้ พรสวรรค์เช่นนี้หายากเป็นอย่างยิ่งแม้กระทั่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนี้ และถ้าส่งเสริมอย่างดีอนาคตของเธอนั้นไม่มีขีดจำกัด

 

“พวกเรารออะไรกันอยู่ ท่านผู้อาวุโสเฉิน รีบไปเมืองหิมะร่วงกันเถอะ” ซูหยินกล่าวกับอีกฝ่ายที่ยังคงตื่นตะลึง

 

“ช-ใช่ๆ”

 

“ด-เดี๋ยวก่อน ข้าไปด้วย”

 

ขณะที่พวกเธอกำลังจะจากไป ซูซุนและคนรับใช้อีกสองสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพวกเธอ ซึ่งพวกเขาได้วางแผนที่จะไปยังการแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อให้กำลังใจซูหยิน