ดุจนางฟ้า

 

 

 

เฉียวซือมู่ไม่ตอบ จิ้นหยวนเองก็ไม่ซักไซ้ถามเธออีก เมื่อกี้เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองหู เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อก็เท่านั้นเอง 

 

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข และไม่รู้ว่าตกลงสู่ห้วงนิทราตั้งแต่เมื่อไหร่ 

 

เฉียวซือมู่ตื่นขึ้นอีกครั้งในเช้าวันถัดมา เธอลืมตาขึ้นพลางเห็นแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมหวนของอาหารแสนโอชะนานาชนิดลอยเข้าจมูกเธอ เธอหน้าแดงด้วยความอายที่ท้องเธอร้องจ๊อกๆ ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารน่าอร่อยพวกนั้น  

 

“ทำไมหน้าแดงจัง” จู่ๆ เสียงของจิ้นหยวนก็ดังลอยมากระทบหู เธอเงยหน้าขึ้นมองถึงเห็นว่าเขากำลังนั่งมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย เขาเอ่ยถามพลางยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากเธอเบาๆ “ตัวร้อนอีกแล้วเหรอ” 

 

เธอปัดมือเขาออกอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไม่ได้ป่วย แต่ถ้าขืนคุณยังทำแบบนี้อยู่อีกก็ไม่แน่” 

 

จิ้นหยวนชะงักเล็กน้อยด้วยความกระดากใจ 

 

เธอทำเสียงฮึดฮัด เขาจะต้องทำอะไรเธอหลังจากเธอหลับสนิทแล้วเป็นแน่ 

 

ตอนนี้เธอหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งถึงเช้านี้ผ่านเวลาไปตั้งสิบกว่าชั่วโมงแล้ว จะไม่ให้เธอหิวได้อย่างไร 

 

จิ้นหยวนรู้สาเหตุที่ทำให้เธอไม่พอใจ แต่มันก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมของตัวเอง 

 

เฉียวซือมู่อยากจะด่าสั่งสอนเขาเสียให้เข็ด แต่ความหิวทำให้เธอหมดอารมณ์ด่าคนไปโดยปริยาย โดยเฉพาะตอนเธอเห็นอาหารหอมหวนแสนโอชะที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้วแทบจะลุกเดินไม่ไหวเพราะมันยั่วน้ำลายเหลือเกิน เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหักห้ามใจตัวเองแล้วเดินเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำด้วยความเสียดายโดยมีสายตาขำขันของจิ้นหยวนคอยจ้องมองเธออยู่ 

 

เธอใช้เวลาในการจัดการตัวเองด้วยเวลาอันรวดเร็วเป็นเท่าตัวจากปกติ จากนั้นรีบวิ่งไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่องไว แต่เป็นเพราะเธอทำทุกอย่างรวดเร็วเกินไปจึงเป็นเหตุทำให้เธอเจ็บกล้ามเนื้อเป็นพิเศษ เธอจึงตวัดสายตาทั้งแค้นระคนโมโหจ้องตัวต้นเหตุเขม็ง 

 

จิ้นหยวนได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิดโดยไม่ปริปากบ่น ไหนๆ เขาก็ได้กำไรเต็มไม้เต็มมือแล้วก็ปล่อยให้เธอได้ระบายอารมณ์เสียบ้างจะเป็นไรไป อีกอย่างเขาเองก็รู้ตัวดีว่าเมื่อคืนเขาทำเลยเถิดไปหน่อย ทั้งๆ ที่ร่างกายเธอยังไม่หายดีแท้ๆ 

 

เรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิดเอง เพราะฉะนั้นเช้านี้เขาจึงยอมให้เธอระบายความไม่พอใจโดยที่เขาไม่ถือสาเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เขายิ้มแต้อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก พลางรินนมสดแก้วใหญ่แล้วยื่นให้เธอ “เอ้า ดื่มนมหน่อยนะ” 

 

นมสดเป็นหนึ่งในอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนที่สุดสำหรับมื้อเช้า และมันเหมาะกับสุขภาพของเธอในตอนนี้ที่สุด 

 

เธอมองเขาพลางเอ่ย “เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าฉันดื่มหมดนี่คงไม่ต้องกินอย่างอื่นแล้วล่ะ” นี่มันนมสดตั้งห้าร้อยซีซีเลยนะ เธอดื่มไม่หมดแน่ 

 

จิ้นหยวนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยกแก้วนมของเธอขึ้นดื่มอึกใหญ่ เขาดื่มรวดเดียวจนหมดไปเกือบหนึ่งส่วนสาม จากนั้นวางแก้วนมลงตรงหน้าเธอหน้าตาเฉย “เท่านี้คงไหวแล้วนะ?” 

 

เธอมองแก้วนมทีแล้วมองจิ้นหยวนที ในใจแอบแขวะว่าที่บ้านนี้ไม่มีแก้วใบอื่นอีกแล้วหรือถึงต้องทำแบบนี้ 

 

เขาเลิกคิ้วถาม “เรื่องใกล้ชิดสนิทแนบแน่นกว่านี้เราสองคนยังทำกันแล้ว คุณยังจะอายอะไรอีก” เขาเอ่ยกำกวมทีเล่นทีจริงพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้เธอ 

 

เฉียวซือมู่จับแก้วนมเอาไว้แน่นแล้วสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นคนหน้าไม่อายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าเกิดมีใครมาได้ยินเข้าเธอคงอับอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่ 

 

เธอตวัดสายตาจ้องเขาตาเขียวด้วยใบหน้าแดงซ่านแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่มอึกใหญ่แบบที่เขาทำ จากนั้นหยิบขนมปังขึ้นกัดอีกคำใหญ่ 

 

อาหารเช้ามื้อนี้เป็นอาหารเช้าแบบตะวันตกที่ไม่เหมือนเดิม โชคดีที่เธอเป็นคนไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกิน ขอแค่ไม่ใช่อาหารบางอย่างที่เธอกินไม่ได้ นอกนั้นเธอกินทุกอย่างที่มีคนเอามาเสิร์ฟ 

 

เช้านี้เธอหิวมากเป็นพิเศษเนื่องจากเธอไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานาน นอกจากนี้ร่างกายเธอยังสูญเสียพลังงานไปจนหมดสิ้นอีก 

 

ดังนั้น ผ่านเวลาไปเพียงไม่นานอาหารเต็มโต๊ะจึงถูกทั้งสองกินจนเกลี้ยง เธอกินอาหารหมดไปเกือบครึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจนทำให้จิ้นหยวนเป็นกังวลและกลัวว่าเธอกินเยอะเกินไปจนอาจจะจุกได้ เขาสังเกตอาการเธออยู่สักพักจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเธอไม่เป็นอะไรจึงหมดห่วง 

 

สาวใช้เข้ามาเก็บจานชามหลังจากทั้งสองรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉียวซือมู่ดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเก้านาฬิกาแล้ว เธอดึงผ้าม่านหน้าต่างให้เปิดออก แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในห้อง สายลมอบอุ่นพัดผ่านเข้ามากระทบใบหน้าเธอเบาๆ ทำให้รู้สึกเบาสบายและสดชื่นไปทั้งร่างกาย เธอปิดเปลือกตาลงพลางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ใบหญ้ายามอรุณแทรกซึมอยู่ในอากาศ เธอหวนนึกถึงช่วงเวลายากเย็นแสนเข็ญที่ถูกจับตัวขังเอาไว้ในห้องขังแคบๆ โดยไร้ที่พึ่งใดๆ แล้วรู้สึกราวอยู่กันคนละโลก 

 

จิ้นหยวนมองเธอด้วยใบหน้าตกตะลึงราวต้องมนตร์ เธอสวมชุดนอนกระโปรงยาวสีขาว สายลมพัดพาชายกระโปรงบางเบาปลิวไสวไปตามแรงลม ท่วงท่างดงาม ใบหน้าที่หลับตาพริ้มบริสุทธิ์ดุจนางฟ้าลงมาสู่แดนดิน ช่างเป็นภาพมายาที่ดูมีชีวิตชีวาเหลือคณานับราวกับเธอกำลังจะล่องลอยไปตามสายลม 

 

หัวใจของจิ้นหยวนสั่นไหว เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็วอย่างลืมตัว จับมือเธอเอาไว้แน่นพลางเอ่ยอย่างลนลาน “มู่มู่” 

 

เธอชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ลืมตาแล้วหันไปเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปคะ” 

 

บรรยากาศในตอนนี้ดีมากและทำให้รู้สึกสบายมาก แล้วทำไมสีหน้าของเขาถึงดูเคร่งเครียดล่ะ 

 

จิ้นหยวนได้สติ รู้สึกว่าความรู้สึกเมื่อกี้ของตัวเองน่าขันยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงคิดอะไรเหลวไหลเช่นนั้นได้