ตอนที่ 346 ขุมกำลังมารร้ายจากต่างแดน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อหลายพันปีก่อน ดินแดนเทพมายายังไม่ได้แยกตัวออกจากกัน ในตอนนั้นดินแดนอ้างว้าง ดินแดนหวนหลิงและดินแดนเทพมายาล้วนผนึกเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ทว่าสาเหตุที่ดินแดนทั้งสามแยกตัวอย่างทุกวันนี้ก็เป็นเพราะสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน

แรกเริ่มเดิมที ดินแดนเทพมายาเป็นดินแดนที่สงบสุขอย่างมาก แม้ว่าจะมีขุมกำลังอำนาจที่มากมายและซับซ้อนทว่าก็ไม่มีการวางแผนชั่วร้ายมากมายนัก

ผู้คนในดินแดนต่างก็ฝึกยุทธ์อย่างสงบสุขและจดจ่อกับพัฒนาการของตนเอง การต่อสู้ขัดแย้งกันจึงเกิดขึ้นเพียงน้อยครั้ง

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆขุมกำลังมารร้ายจากต่างแดนก็ปรากฏตัวขึ้นมา

ไม่อาจทราบได้ว่าขุมกำลังมารร้ายเหล่านี้มาจากที่ใด ทว่าพวกเขาก็ทรงพลังมากและพยายามที่จะบุกรุกและยึดครองอำนาจในดินแดนเทพมายา

เป็นเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพวกเขา ทั้งดินแดนเทพมายาจึงสั่นคลอนอย่างรุนแรง ดินแดนที่เคยสงบสุขและดำเนินไปอย่างราบรื่นกลับเกิดสงครามทั้งเล็กใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ไม่นานนัก ขุมกำลังต่างๆที่กระตือรือร้นต้องการกุมอำนาจก็รวมตัวและก่อตั้งพันธมิตรร่วมกับขุมกำลังมารร้ายนี้

ในที่สุด ภายใต้การยั่วยุและกระตุ้นสงครามของขุมกำลังมารร้ายเหล่านี้ คนของดินแดนเทพมายาก็หมดความอดทนและโจมตีพวกเขาโดยตรง

ในตอนนั้น หมู่มวลมนุษย์ในดินแดนเทพมายาก็ผนึกกำลังและรวมตัวกับเผ่าเอลฟ์และเผ่าอสูรเพื่อต่อสู้และต่อกรกับขุมกำลังมารร้ายนี้

แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งนั้นดุเดือดเลือดพล่านและสะท้านไปทั้งแผ่นดิน ขุมกำลังทั้งหมดในดินแดนเทพมายาต่างก็เข้าร่วมในการต่อสู้รวมถึงยอดฝีมือระดับสูงสุดหลายคนในตอนนั้น

จากการปะทะครั้งนั้น ยอดฝีมือที่ทรงพลังอย่างราชินีเหมันต์และเทพมายาก็เผชิญกับความเสียหายอย่างหนัก หลังการต่อสู้ครั้งนั้นก็ไร้ข่าวคราวเบาะแสของทั้งสองและพวกนางก็หายสาบสูญไปอย่างร่องรอย

ส่วนในฝั่งของพวกมารร้ายก็เกือบที่จะถูกทำลายไปทั้งหมดและหลงเหลือเพียงแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเห็นท่าไม่ดี พวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

และเป็นเพราะว่าพลังอำนาจที่ปะทุในการต่อสู้ครั้งนั้นแกร่งกล้าเกินไป ดินแดนเทพมายาจึงแยกออกเป็นสามส่วน

ดินแดนทั้งสามแยกออกเป็นดินแดนหวนหลิงซึ่งอยู่ใต้สุด ดินแดนอ้างว้างอยู่ตรงกลางของส่วนเหนือและดินแดนเทพมายาที่กว้างใหญ่ในตอนแรกเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นั้นสร้างความเสียหายต่อพลังอำนาจของขุมกำลังทั้งหมดในดินแดนเทพมายา ตลอดเวลาหนึ่งพันปีหลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่เคยฟื้นฟูความแข็งแกร่งจนกลับไปถึงระดับสูงสุดอีกเลย

และระหว่างดินแดนหวนหลิง ดินแดนอ้างว้างและดินแดนเทพมายาก็ค่อยๆเกิดช่องว่างความต่างชั้นระหว่างกัน

ภายในเวลาอันรวดเร็วราวชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปกว่าพันปีแล้ว ระหว่างช่วงหนึ่งพันปีนี้ ทั้งสามดินแดนต่างก็ดำเนินไปอย่างสงบสุข ไม่ได้เกิดสงครามเหมือนกับครั้งนั้นอีกต่อไป

หลังจากการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ในตอนนั้น ขุมกำลังมารร้ายก็ไม่เคยปรากฏตัวในดินแดนทั้งสามอีกเลย

เมื่อระยะเวลาแห่งความสงบสุขดำเนินมาอย่างยาวนานเช่นนี้ ทุกๆคนก็ย่อมคิดว่าจะไม่เกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับครั้งนั้นอีกแล้ว ทว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ผู้นำตระกูลฉู่คนก่อนกลับค้นพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับขุมกำลังมารร้าย

ในเวลานั้น อดีตผู้นำตระกูลฉู่ออกไปฝึกยุทธ์และถูกโจมตีโดยกลุ่มคนลึกลับ

พลังมายาของคนเหล่านั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่งซึ่งมีคุณสมบัติเป็นพิษและมีพลังกัดกร่อนที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ฝึกยุทธ์

ระหว่างการต่อสู้กับกลุ่มคนลึกลับนั้น ผู้นำตระกูลฉู่คนก่อนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเขาเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุด ถึงแม้ศัตรูจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ พวกเขาเหล่านั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กันและหลบหนีไป

หลังจากผู้นำตระกูลฉู่คนนั้นกลับมาถึงจวนตระกูล เขาก็คิดไตร่ตรองอย่างหนัก และยิ่งคิดพิจารณามากเพียงใด เขาก็ยิ่งพบว่าเหตุการณ์มันแปลกประหลาดอย่างมาก

เขาตัดสินใจส่งคนออกไปสืบหาเบาะแสทันทีและศึกษาตำราโบราณจำนวนมาก

ด้วยการสืบเสาะหาข้อมูลอย่างจริงจังของอดีตผู้นำตระกูลฉู่ ในที่สุดเขาก็ได้รับเบาะแสความคืบหน้ามา

หากข้อสันนิษฐานของเขาไม่คลาดเคลื่อน คนลึกลับเหล่านั้นคือสมาชิกที่เหลืออยู่ของขุมกำลังมารร้ายจากเมื่อหลายพันปีก่อน ในเมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ผู้นำตระกูลฉู่จึงเกรงว่าพวกเขาเหล่านั้นอาจกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาอีกครั้ง

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้นำตระกูลฉู่คนก่อนก็ไม่เคยพบหรือได้ข่าวของคนเหล่านั้นอีกเลย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเคยเกิดการปะทะขึ้นแล้ว เขาก็ย่อมกังวลใจเป็นธรรมดา

เพราะเหตุนั้น เขาจึงออกคำสั่งให้คนของตระกูลฉู่แอบเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆและทำการสืบข้อมูลเรื่องของขุมกำลังมารร้ายอย่างลับๆโดยที่ไม่ให้ใครรู้

ทว่าเมื่อสามสิบปีก่อน ผู้ตระกูลฉู่คนก่อนก็ได้เสียชีวิตลง และก่อนลาลับโลกนี้ไป เขาก็ได้ทิ้งข้อมูลเบาะแสทุกอย่างไว้ให้กับผู้นำตระกูลคนต่อไป ซึ่งก็คือฉู่เหิงนั่นเอง

ฉู่เหิงรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มากและเขาก็ดำเนินการตามแผนการของอดีตผู้นำตระกูลทุกประการ ดังนั้นตระกูลฉู่จึงยังคงเก็บตัวเงียบและไม่กระทำการใดที่ดึงดูดความสนใจจนตกเป็นเป้าสายตา

เนื่องจากตระกูลฉู่ไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างแน่ชัด พวกเขาจึงไม่กล้าแจ้งให้ขุมกำลังใหญ่อื่นๆได้ทราบถึงเรื่องนี้

เมื่อสามสิบปีผ่านไปโดยที่ไม่เกิดอะไรขึ้น ฉู่เหิงก็คิดว่าคนลึกลับเหล่านั้นหายตัวไปจากดินแดนอ้างว้างแล้วและคงจะไม่กลับมาอีก ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อกลุ่มคนลึกลับบุกเข้ามาในหุบเขาหมื่นบุปผาและโจมตีตระกูลฉู่ของพวกเขา

แม้ว่าคนเหล่านั้นจะโจมตีไม่สำเร็จเนื่องจากการร่วมมือกันของฉู่เหิง ฉู่เฟยหยางและคนอื่นๆ การจู่โจมอย่างกะทันหันและไม่ทันตั้งตัวครั้งนั้นก็จุดชนวนความสงสัยและระแวดระวังของฉู่เหิง

หลังจากการสืบข้อมูล กลับกลายเป็นว่าคนลึกลับเหล่านั้นก็คือคนจากขุมกำลังมารร้ายนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่งที่คนเหล่านั้นยังเลือกโจมตีเพียงตระกูลฉู่และไม่จู่โจมขุมกำลังใหญ่อื่นๆ สิ่งนี้ทำให้ฉู่เหิงฉงนสงสัยอย่างที่สุด

เขาไม่เข้าใจเลยว่าขุมกำลังมารร้ายมีจุดประสงค์ใดกันแน่

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้นำตระกูลฉู่ก็ส่งคนออกไปสืบหาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทว่าก็ยังคงไม่พบเบาะแสใด ราวกับว่าคนเหล่านั้นหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

แต่ทว่า.. ฉู่เหิงค้นพบว่าดินแดนอ้างว้างดูจะแตกต่างไปจากเดิม

ในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ทว่าดินแดนอ้างว้างก็ไม่เคยเกิดความวุ่นวายอย่างที่เป็นในช่วงเวลาไม่นานมานี้

ในช่วงหลังๆมานี้ ไม่เพียงแต่ขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่ที่พยายามท้าทายและต้องการยึดอำนาจของขุมกำลังอื่นเท่านั้น ทว่าก็มีการต่อสู้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังมีข่าวที่ลึกลับผิดปกติมากมาย

เมื่อไม่นานมานี้ ยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนอ้างว้างหลายคนก็เสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน และผู้สิ้นชีวิตเหล่านี้ต่างก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือพวกเขาเป็นจอมยุทธ์อิสระที่ไม่เข้าร่วมและฝักใฝ่กับขุมกำลังใด

ฉู่เหิงรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆและดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้

เพราะเหตุนั้นเขาจึงเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใดมากกว่าเดิม อีกทั้งเขายังสั่งการให้สมาชิกทุกคนของตระกูลฉู่เก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่ในจวนตระกูลและห้ามออกไปไหน เขาต้องการรอดูการเคลื่อนไหวต่อไปของขุมกำลังมารร้าย

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงหลายวันมานี้สถานการณ์ดูจะเงียบสงบลงอีกครั้งและไม่มีข่าวที่คาดไม่ถึงใดๆมาจากดินแดนอีก อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของฉู่เหิงมีลางสังหรณ์ว่าพายุลูกใหญ่กำลังใกล้เข้ามา

อีกไม่นานจะถึงงานชุมนุมวายุเมฆาและเขารู้สึกมาตลอดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่สะท้านแผ่นดินขึ้นในงานชุมนุมนั่นอย่างแน่นอน

เขาต้องการรวมกำลังกับขุมกำลังใหญ่อื่นๆเพื่อหารือกัน ทว่าขุมกำลังของดินแดนอ้างว้างไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เหิงสันนิษฐานว่าบางขุมกำลังก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับขุมกำลังมารร้าย เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามด้วยความกังวลว่าอาจจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้

ครานี้เมื่อฉินเทียนมาเยือนตระกูลฉู่ เขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฉินเทียนได้ทราบโดยไม่ลังเล

หลังจากฟังเรื่องราวความเป็นมาจากฉู่เหิง ฉินเทียนก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที

ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้เขาก็รู้สึกตงิดใจว่ามีบางอย่างปกติ เมื่อได้ฟังข้อมูลจากผู้นำตระกูลฉู่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าความรู้สึกแปลกๆในใจคืออะไร

“ท่านผู้นำฉู่ ท่านได้สืบข่าวจนทราบแล้วหรือยังว่าเหตุใดพวกขุมกำลังมารร้ายจึงโจมตีตระกูลฉู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า? พวกเขาต้องการสิ่งใดจากตระกูลฉู่กัน?”

นี่คือเรื่องที่ฉินเทียนสงสัยมากที่สุด

เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลฉู่หาใช่ตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนอ้างว้าง แล้วเหตุใดขุมกำลังมารร้ายจึงหมายหัวตระกูลฉู่และโจมตีหลายครั้งหลายคราเช่นนี้?

ฉู่เหิงเองก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดขุมกำลังมารร้ายจึงตั้งเป้าหมายมาที่พวกเขาและโจมตีซ้ำๆอย่างไม่รามือ

“เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา ตระกูลฉู่ของเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับพวกขุมกำลังมารร้ายมาก่อน และเราก็ไม่ใช่ตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในดินแดน ทว่าพวกเขาก็ยังโจมตีเราซ้ำแล้วซ้ำแล้ว หรือเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าตระกูลฉู่แอบสืบข้อมูลเรื่องพวกเขาอย่างลับๆและต้องการกำจัดพวกเขาออกไป?”

หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน ฉู่เหิงก็คาดเดาถึงประเด็นนี้

“มันก็เป็นไปได้แต่ข้าคิดว่าไม่น่าจะใช่ หากให้ข้าเดา ข้าคิดว่าตระกูลฉู่มีบางอย่างที่พวกเขาต้องการ หรืออาจมีบางอย่างในหุบเขาหมื่นบุปผาที่พวกนั้นปรารถนาที่จะครอบครอง มิฉะนั้นพวกเขาก็คงไม่พยายามจู่โจมตระกูลฉู่ซ้ำๆเช่นนี้”

ฉินเทียนเอ่ยข้อสันนิษฐานของเขา เขารู้สึกว่าตระกูลฉู่น่าจะมีบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของขุมกำลังมารร้าย หรืออาจเป็นบางสิ่งบางอย่างในหุบเขาหมื่นบุปผา

“ข้าก็คาดเดาถึงความเป็นไปได้ทั้งสองประการนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นผู้นำตระกูลมานานหลายปี ข้านึกไม่ออกจริงๆว่าพวกเรามีอะไรที่ล้ำค่าจนดึงดูดความสนใจของพวกขุมกำลังมารร้ายได้ และตระกูลเราก็อยู่ในหุบเขาหมื่นบุปผาแห่งนี้มานานหลายร้อยปี ข้าไม่เคยพบอะไรพิเศษในหุบเขามาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าสับสนเป็นที่สุด”

ฉู่เหิงกล่าวด้วยความฉงนสงสัย เขาก็เคยตั้งข้อสันนิษฐานนี้มาก่อนแล้วและได้ทำการสืบข้อมูลของตระกูลฉู่เป็นพิเศษรวมถึงส่งคนออกสำรวจหุบเขาหมื่นบุปผา ทว่าเขาก็ไม่เคยพบสิ่งใด

แม้ว่าตระกูลฉู่จะเป็นตระกูลสันโดษ พวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษพิสดาร สิ่งเดียวที่พิเศษไม่เหมือนใครก็คือฉู่เจี๋ย—บุรุษหนุ่มที่เกิดมาเพราะกับเส้นชีพจรที่ถูกปิดกั้นจนไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้

ส่วนภายในบริเวณหุบเขาหมื่นบุปผา แม้ว่าจะมีสมุนไพรหายากจำนวนมาก ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดที่เพียงพอจะดึงดูดขุมกำลังมารร้ายมาได้

หากจะกล่าวว่าขุมกำลังมารร้ายพวกนั้นมาเพื่อสมุนไพรหรือโอสถก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

“แปลกจริง..”

ฉินเทียนพยักศีรษะและเริ่มใช้ความคิดอย่างหนักอีกครั้ง ขุมกำลังมารร้ายพวกนั้นมีจุดประสงค์ใดจึงได้ทำการโจมตีตระกูลฉู่หลายครั้งหลายครา?

“ฉินเทียน ข้ารู้ว่าขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬของเจ้า ขุมกำลังราชาสวรรค์ ขุมกำลังไร้คู่เปรียบและขุมกำลังหนึ่งนภาเป็นสหายที่ดีต่อกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะเตือนให้พวกเขาทราบเรื่องนี้ก่อนเพื่อที่พวกเขาจะเตรียมตัวได้ทันเวลา ในงานชุมนุมวายุเมฆาที่จะมาถึง ข้ามั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่”

ฉู่เหิงกล่าวเพื่อให้ฉินเทียนเตือนบรรดาขุมกำลังที่เขามีมิตรไมตรีด้วย

“ไม่ต้องห่วง คนเหล่านั้นล้วนเฉลียวฉลาด ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพลาดงานเลี้ยงตระกูลเฟิง”

ฉินเทียนตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสาเหตุที่เฟิงอู๋เฉิน บิดาของฉีอวิ๋นเหล่ย และบิดาของซูเสี่ยวจวิ้นไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงที่เพิ่งผ่านมา

เกรงว่าพวกเขาเหล่านั้นน่าจะค้นพบเบาะแสบางอย่างนานแล้ว เพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงเลือกเก็บตัวอยู่ในอาณาเขตของตนเอง

ฉู่เหิงพยักศีรษะด้วยความเห็นด้วย เขารู้ว่าผู้นำทั้งสามขุมกำลังก็ไม่ได้ธรรมดาเลย หากพวกเขาจะค้นพบเบาะแสบางอย่าง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“เรารอให้เสี่ยวโม่เอ๋อร์ออกมาและบอกเรื่องนี้เพื่อฟังความเห็นของนางกันเถอะ”

เมื่อนึกถึงฉินอวี้โม่ ฉินเทียนก็รู้สึกว่าควรแจ้งเรื่องนี้ให้นางได้ทราบ

แม้ว่าฉินอวี้โม่เพิ่งเดินทางมาที่ดินแดนอ้างว้างได้เพียงไม่นานมาและไม่ได้รู้เรื่องราวข้อมูลมากเท่าพวกเขา ทว่านางก็มีอสูรมายาเป็นจำนวนมากและพวกมันก็มักมีข้อมูลที่สร้างความประหลาดใจให้ได้อยู่เสมอ

หากบอกเรื่องนี้กับนาง นางก็อาจคิดหรือคาดเดาอะไรบางอย่างก็เป็นได้

“ข้าก็คิดเช่นนั้น แม่นางอวี้โม่ฉลาดเฉลียวกว่าพวกเราทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น อสูรมายาของนางล้วนเก่งกล้าสามารถ พวกมันอาจมีข้อมูลอะไรที่เราไม่รู้”

ฉู่เหิงพยักศีรษะ เขาเองก็ตั้งใจไว้แบบนั้นเช่นกัน

สิ่งที่ทั้งสองหารือกันอยู่ในห้องโถงนั้นดังไปถึงอสูรมายาทั้งน้อยใหญ่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว ทว่าเมื่อเห็นว่านายหญิงกำลังหลับสบาย พวกมันก็ไม่อยากรบกวน

.