บทที่ 1646+1647

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1646 ถือกำเนิดใหม่ 3

อันที่จริงเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก เธอเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าบนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไม่ได้ ยามไม่มีเงิน เธอจะคิดว่า ‘เงินทองช่างหัวมัน ใช้ไปแล้วก็หาใหม่ได้’ เงินทองมากมายสูญไปก็สามารถกลับหาคืนมา…

เมื่อถูกตามล่าสังหาร เธอจะคิดหาทางหลบหนีอย่างเต็มที่ จากนั้นค่อยหาทางเล่นงานกลับ เอาคืนคนที่ตามสังหารตนจนอ่วม ให้อีกฝ่ายได้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร!

แม้แต่หลังจากที่ถูกหลงซีทรยศหักหลังทะลุมิติมา เธอก็ยังปรับสภาพให้เข้ากับโหมดการเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จัดการบุรุษเลวทราม สะสางบัญชีแค้นกับพี่สาวและแม่รองตัวร้าย ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย

ทว่าตอนนี้ เธอเหนื่อยเหลือเกิน

เธอรู้สึกเสมอว่าที่ตัวเองทำทั้งหมดมีความหมาย ล้วนถูกต้องเหมาะสม มีคุณก็ทดแทน มีแค้นก็ชำระ ตอนนี้กลับทำสิ่งใดก็ผิดไปหมด

ความรักครั้งนี้ เธอทั้งร่างกายบอบช้ำหัวใจเจ็บปวด อีกทั้งยังทำให้เพื่อนเดือดร้อนไม่อาจย้อนคืน…

เธอผิดไปแล้ว! ผิดมหันต์!

เธอไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดนั้น ยังจะเพ้อฝันเรื่องแทนคุณชำระแค้น…

ตอนสลบเธอฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมา เหงื่อไหลซึมบ่อยครั้ง ละเมอเพ้อบ้างเป็นครั้งคราว ถ้อยคำที่พูดอยู่บ่อยๆ ก็คือ ‘ขอโทษ’ ‘ต่อไปจะไม่ทำแล้ว’

ขณะที่สลบไปมีใครบางคนจับมือเธอไว้ แรงบีบมือกระชับแน่นยิ่งนัก จากนั้นมีใครบางคนกระซิบว่า ‘ขอโทษ’ กับเธอ มีบางคนบอกเธอว่าที่ผิดไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนอื่น…

ดวงจิตของเธอเดี๋ยวอยู่เดี๋ยวหาย ถ้อยคำกระซิบกระซาบข้างกายเหล่านั้นก็เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล ถึงขั้นที่หากไม่เหมือนมีใครกำลังพูดคุยกับเธอ เธอก็จะได้ยินอีกฝ่ายพูดไม่ค่อยชัดเจน

มีใครบางคนบังคับง้างปากเธอให้ดื่มโอสถ มีใครบางคนร้องเพลงเบาๆ ข้างหู มีเสียงพิณเคล้าคลออย่างนุ่มนวล ราวกับมือของแม่ที่ตบเบาๆ บนร่าง คอยปลอบโยนเธอ

และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ดวงจิตที่ล่องลอยในสภาวะสับสนวุ่นวายมาตลอดของกู้ซีจิ่วค่อยๆ กลับคืนมาในที่สุด

เธอลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่เห็นคือหน้าต่างบานสูงวิจิตรบรรจง นอกหน้าต่างสูงมีเงาเลือนรางของกิ่งดอกเหมยบนกระดาษปิดหน้าต่าง หน้าต่างถูกเปิดไว้กึ่งหนึ่ง แสงตะวันยามเย็นสาดส่องเข้ามา เกิดเป็นแสงอุ่นรอนๆ

ในหม้อต้มสีเงินตรงมุมห้องกำลังต้มโอสถเดือดปุดๆ กลิ่นโอสถอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

คนผู้หนึ่งยืนหันหลังให้เธอ กำลังใช้ทัพพีไม้ผสมน้ำโอสถในหม้อต้มสีเงิน

คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน รูปร่างสูงสง่า ความงดงามของลักษณะท่าทางควรค่าแก่การเขียนภาพ

เหมือนได้ยินการเคลื่อนไหวบนเตียง คนผู้นั้นหันกายกลับมา นัยน์ตาดำขลับไม่อาจปกปิดความปีติไว้ได้ “ซีจิ่ว ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้ว!”

“ครูฝึกหลง ขอ…”

คนผู้นั้นก็คือหลงซือเย่ คำด้านหลังกู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้พูดออกมา เขาก็ทำสัญญาณมือให้เงียบไว้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องพูดขอโทษอีกแล้ว! สองสามวันนี้ฉันได้ยินสองคำนี้จนหูแทบด้านแล้วล่ะ…”

ในขณะที่คุยกัน โอสถนั้นก็ต้มเสร็จแล้วพอดี เขารินน้ำโอสถชามหนึ่งเต็มๆ ยกมาให้เธอ “ดื่มยาสักหน่อย”

น้ำโอสถร้อนๆ ชามนั้น เมื่อผ่านมือของเขาก็ถูกเขาปรับอุณหภูมิเป็นที่เรียบร้อย เป็นอุณหภูมิที่พอดีไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไป มือขวาของเขายกชามโอสถ ในมือซ้ายยังมีลูกกวาดสองเม็ด “ยานี้ค่อนข้างขม ดื่มแล้วกินลูกกวาดสองเม็ดนี้ดับขมสักหน่อย”

กู้ซีจิ่วไม่ได้พูดจาอันใด รับชามโอสถมาดื่มรวดเดียว

น้ำโอสถขมมากจริงๆ อาจจะขมยิ่งกว่าหวงเหลียนเสียอีก เธอกลับทำเหมือนไม่รับรู้รสอะไร แม้แต่คิ้วก็ไม่ได้ขมวดสักนิด

หลังจากดื่มเสร็จ เธอก็ไม่ได้กินลูกกวาดสองเม็ดนั้น

แววตาหลงซือเย่วาบไหว เธอกลัวการกินของรสขมเสมอมา เวลาป่วยไข้หรือได้รับบาดเจ็บ เธอกินยาลูกกลอนยาเม็ดได้ แต่ไม่กินยาจีน ถึงแม้ยาจีนจะเป็นยาที่รักษาอาการได้ตรงจุดที่สุด เธอก็ไม่ยอมกิน ยามสุดวิสัยที่จำเป็นต้องดื่มยาจีน เธอก็ต้องกินลูกกวาดหลายเม็ดตามเข้าไปเพื่อดับรสขมนั้น

————————————————————————————-

บทที่ 1647 ถือกำเนิดใหม่ 4

เป็นเพราะเรื่องนี้ในอดีตเธอจึงถูกหลงซีขบขันอยู่เสมอ บอกว่าในเรื่องนี้เธอไม่เหมือนนักฆ่าที่สุด

ตอนนั้นเธอตอบเขากลับไปด้วยเหตุผลอย่างเต็มปากว่า ‘นักฆ่าก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน มีจุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน…’

ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เอาชนะ ‘จุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ’ ข้อนี้ได้แล้ว…

การกินลูกกวาดมีผลกระทบต่อสรรพคุณของยาอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเธอไม่กินลูกกวาด หลงซือเย่ก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่รินน้ำมาให้เธออีกถ้วยหนึ่งให้เธอดื่ม

กู้ซีจิ่วมองออกแล้วว่าที่นี่ยังคงเป็นสำนักถามสวรรค์ สถานที่ที่เธอนอนอยู่น่าจะเป็นเรือนรับรองแขกของสำนักถามสวรรค์

หลังจากเธอดื่มน้ำเสร็จ นิ้วมือก็สัมผัสลงบนชีพจรของหลงซือเย่

หลงซือเย่รู้ว่าเธอเป็นห่วงตน ดังนั้นจึงไม่ได้หลบหลีกเช่นกัน ยอมให้เธอจับชีพจร และอธิบายกับเธอไปด้วย “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไร”

“เขาไม่ได้ลงโทษให้คุณเข้าสู่แดนเพลิงเหรอ?” กู้ซีจิ่วถามคำถามที่ขณะอยู่ในอาการสลบก็ยังคงพะวงถึงข้อนี้อย่างตรงประเด็น วรยุทธ์ของหลงซือเย่ถดถอยลงมาก ถ้ารับโทษเข้าสู่แดนเพลิงอีก เกรงว่าจะทนอุณภูมิสูงของในนั้นไม่ไหว…

ตอนที่เธอฝันร้ายก็ยังฝันว่าเขาอยู่ในแดนเพลิงแห่งนั้นถูกเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าไปแล้ว!

หลงซือเย่ส่ายหน้า “ไม่เลย ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องด่วน จากไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

ยามนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รีบร้อนจากไปยิ่งนัก ก่อนจะจากไปเอ่ยไว้ว่าทัณฑ์แดนเพลิงลงบัญชีไว้ก่อนชั่วคราว ภายหน้าค่อยว่ากันอีกที พูดจบเขาก็หายวับไปจากจุดเดิมทันทีประหนึ่งภูตผี

กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เห็นทีว่าระหว่างที่ตนสลบอยู่สามวันนี้จะเป็นหลงซือเย่ที่คอยดูแลอยู่ตลอด…

ตนสร้างความเหนื่อยยากแก่เขาแล้ว ซ้ำยังถูกเขาคอยดูแลเอาอกเอาใจเช่นนี้อีก

กู้ซีจิ่วหลุบตามองต่ำ ในใจมีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ มีทั้งละอายใจและซาบซึ้งใจ…

เป็นตนที่โมโหโทโสไปชั่วขณะ ไม่มีกำลังอย่างแท้จริง ยังอาจหาญไปต่อกรกับคนผู้นั้นอีก ตนช่างโง่เง่าโดยแท้! โง่เง่าเหนือธรรมดา! วันหน้าจะไม่มีแล้ว! จะไม่มีอีกแล้ว!

เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเหตุใดครั้งนี้ตี้ฝูอีถึงได้โกรธเกรี้ยวมากถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาก็ยังต้องการจะหาสังขารที่แท้จริงเพื่อคืนชีพให้นางในดวงใจอยู่ และเธอก็มอบให้ด้วยความจริงใจ หากว่าเธอย้ายร่างได้สำเร็จ เขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลหาร่างที่เหมาะสมให้แก่หลานจิ้งเคออีกต่อไปแล้ว เป็นเรื่องยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว แล้วเขาโกรธอะไร?

หากว่าเป็นตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น กู้ซีจิ่วจะนึกว่าตี้ฝูอีหักใจเห็นวรยุทธ์เธอถดถอยไม่ลง ยังมีความรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนกับเธออยู่ ยังเหลือเยื่อใยอยู่

แต่หลังจากเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ขึ้น เธอก็ไม่กล้าคิดเช่นนี้อีกแล้ว และไม่อยากคิดด้วย!

คนผู้นั้นกระทำการหนึ่งขั้นใคร่ครวญสามตลบ บางทีเรื่องที่ตนทำอาจจะไปกระทบขั้นตอนสำคัญอันใดของเขาเข้า สร้างความวุ่นวายให้แก่แผนการอันใดของเขา ถึงทำให้เขาพิโรธโกรธเคืองขึ้นมา…

ตี้ฝูอี ตี้ฝูอี…

ในอดีตเมื่อนึกถึงนามนี้จะอุ่นซ่านไปทั้งใจ ทว่ายามนี้กลับเหน็บหนาวเข้าไปถึงในกระดูก!

ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง หลงซือเย่จับชีพจรให้เธออย่างเงียบๆ อีกครั้ง ถึงแม้ชีพจรของเธอจะยังอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ก็คงที่มากแล้ว

ที่สามวันก่อนเธอกระอักเลือดออกมาประการแรกเป็นเพราะเดือดดาลคั่งแค้นเพลิงโทสะผลาญใจ ประการที่สองก็เป็นเพราะอาการตกค้างที่เหลือจากการย้ายร่างไปได้แค่ครึ่งเดียว ผ่านการปรับตัวอยู่สามวัน อาการส่วนใหญ่ของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว

ร่างกายส่วนใหญ่ฟื้นฟูแล้ว แต่ว่าจิตใจล่ะ?

ความเสียหายที่จิตใจของเธอได้รับเหนือล้ำกว่าจุดนี้มาก ระหว่างที่สลบอยู่ในหลายวันมานี้ นอกจากถ้อยคำที่ละเมอเพ้อที่ทำให้คนฟังไม่ออกกระบุงหนึ่งแล้ว ยังคล้ายว่ามีความปรารถนาจะสิ้นชีพอีกด้วย ราวกับไม่มีความหวังในการมีชีวิตอยู่แล้ว

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ฟื้นขึ้นมาสักทีเช่นกัน ยามนั้นทำให้หลงซือเย่จิตใจกระสับกระส่ายยิ่งนัก เกรงว่าเธอจะหลับใหลไปเช่นนี้ไม่ฟื้นขึ้นมา…

หลงซือเย่เกรงว่าเธอไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว จึงตุ๋นน้ำแกงปลาข้นด้วยตัวเองมาส่งให้เธออีก “ซีจิ่ว มากินอะไรสักหน่อยเถอะ”

กู้ซีจิ่วกลับเป็นสุขดี ไม่ปฏิเสธสักนิดเลย “ได้”

————————————————————————————-