บทที่ 367 แผนการของลูเซียน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 367 แผนการของลูเซียน
ลูเซียนไม่คิดว่าเขาจะได้รับแหวนรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ จะส่งมาให้เขาเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม มอร์ริส ช่างทำแหวนนั้นไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะมอบแหวนให้เขา มันเป็นเวลาแค่สองวันหลังจากสุดสัปดาห์เท่านั้น

สุดสัปดาห์ของเมืองอัลลินนั้นหมายถึงวันอาทิตย์ ซึ่งต่างจากที่อัลโต้

เสียงของฟลอเรนซ์ในเวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าฟังดูน่าขัน “เจ้าถูกพาตัวไปยังสำนักงานใหญ่ของ ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ และมอร์ริส อาจารย์ของข้ารู้สึกขายหน้ามาก นั่นแหละเหตุผล”

เว้นไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของฟลอเรนเซียก็ฟังดูจริงจังมากขึ้น “อย่างน้อยที่สุด ถ้ามีแหวนมงกุฎแห่งโฮล์มสามวง กับเสื้อคลุมเวทมนตร์จาก ‘บัลลังก์นิรันดร’ เจ้าก็จะสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่านักเวทชั้นสูง”

“จริงหรือ?” ลูเซียนประหลาดใจมาก ในเมื่อผู้นำของ ‘องค์กรจำนงแห่งธาตุ’ ไม่รู้ความจริงที่ว่าโลกแห่งการรู้คิดของเขาได้ถูกทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา พวกเขาจะแน่ใจว่าแหวนพวกนั้นจะช่วยเขาได้มากได้อย่างไร?

ฟลอเรนเซียหัวเราะคิกคัก “ครั้งนี้ เวทมนตร์ที่อยู่ในแหวนนั้นล้ำค่ามาก อาจารย์ของข้าใจกว้างและเวทมนตร์สองเวทนั้นก็เข้ากันได้ดี แน่นอนว่าเขาเสียใจทันทีที่ทำแหวนเสร็จ แถมยังพยายามยกเลิกงานเลี้ยงในพิธีเพื่อประหยัดเงินอันน้อยนิดด้วยนะ”

ลูเซียนถามอย่างสงสัย “ข้าขอถามได้ไหมว่าเวทมนตร์ระดับเจ็ดสองเวทนั้นคืออะไร?”

“อืม… มันเป็นความลับนะ แล้วเจ้าจะรู้เอง” ฟลอเรนเซียหัวเราะ “ช่างสงสัยใคร่รู้ไว้เถอะ แล้วเจ้าจะเป็นเด็กอยู่เสมอ”

จากนั้นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าก็ตัดไป ลูเซียนอดสงสัยไม่ได้เขาจึงเริ่มอ่านในหนังสือ ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์และเวทมนตร์ พลางเดาว่าเวทมนตร์สะกดใจสองเวทแบบใดที่เขาจะได้รับ

สุดห้องทำงานอีกด้านหนึ่ง อัลเฟอร์ริสกำลังนอนนับเงินเดือนเดือนนี้ของมันอยู่บนโซฟา

ในห้องพักของคริสตจักรแห่งอาภา

เรเคอร์ส หรือกริฟฟินของพระราชา ผู้นำของสภาขุนนาง กำลังประชุมกับฟีลิเบล พระคาร์ดินัลหลวง ซึ่งเป็นผู้นำของ ‘คณะไต่สวนวาฮารัลล์’ และผู้นำคนอื่นๆ จากศาสนจักร

“เรเคอร์ส ข้ารู้ว่าท่านหมายถึงอะไร และข้าก็เห็นด้วยกับท่าน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ไปที่ ‘นครศักดิ์สิทธิ์’” ความโกรธที่มักฉายอยู่บนใบหน้าฟีลิเบลจางหายไป เหลือเพียงความอ่อนล้า

ในอาณาจักรโฮล์มและอีกสามประเทศที่เหลือ อำนาจของศาสนจักรนั้นน้อยกว่าอำนาจของสภาเวทมนตร์ แต่ผู้วิเศษชั้นตำนานของสภาเวทมนตร์ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในอัลลิน ในขณะที่ผู้นำที่ทรงอำนาจของศาสนจักรส่วนใหญ่อยู่กันคนละทิศคนละทาง และการเรียกพวกเขาให้มารวมตัวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากยังมีภัยคุกคามอื่นๆ อีกมากที่ศาสนจักรยังต้องนำมาพิจารณาอีก

ถึงแม้ว่าสโตน ผู้นำกลุ่ม ‘อัศวินแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์’ จะสนับสนุนการก่อสงครามมาตลอด แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างสงบนิ่งมากขึ้น “ตอนนี้เรามั่นใจมากขึ้นแล้วเมื่อรู้ว่าพวกขุนนางคิดอย่างไร เราหวังว่าทันทีที่สบโอกาส ท่านจะเตรียมพร้อม ส่วนพวกเราจะรับมือกับสิ่งที่เหลือเอง”

สโตนไม่ใช่คนโง่ หากสภาเวทมนตร์เตรียมการพร้อมสรรพแล้ว การทำสงครามกับทางนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าสำหรับศาสนจักร

ถึงแม้วาฮารัลล์กับวารันไทน์จะไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์นี้เท่าไรนัก แต่ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของพวกขุนนางก็ยังเป็นเรื่องที่พวกเขาเบาใจ

“แต่จากที่ข้ารู้ ขุนนางคนสำคัญๆ บางคนอย่างเจมส์กับรัสเซลก็ยังเอียงไปทางสภาเวทมนตร์ เจ้ามีข้อเสนอแนะอะไรไหม เรเคอร์ส?”

เรเคอร์สพยักหน้าจริงจัง “พวกขุนนางเสรีนิยมพวกนั้นน่ะอันที่จริงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก คนพวกนั้นไม่มีคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันมากนัก… แค่ราวสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น อำนาจของพวกเขาไม่ถึงครึ่งของพวกขุนนางที่สนับสนุนศาสนจักรด้วยซ้ำ ส่วนพวกขุนนางที่เหลือ ถึงแม้พวกเขาจะอ้างว่าตัวเองเป็นกลาง แต่ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ปฏิเสธศาสนจักร เขาจะร่วมมือกับเราถ้าเรามีข้อเสนอมากพอ”

ในฐานะอัศวิน สโตนรู้จักพวกขุนนางดีกว่า “เรเคอร์ส เจ้าลืมความจริงไปแล้วนะว่าขุนนางส่วนใหญ่นั้นอยู่ข้างเดียวกับลอร์ดของพวกเขา เจ้าไม่ใช่ทั้งราชาแห่งโฮล์ม ไม่ใช่ทั้งทายาทด้วย”

ถ้าข้อเสนอไม่มากพอจะดึงดูดพวกขุนนาง พวกเขาก็จะสนับสนุนลอร์ดของพวกเขา ถ้าไม่มีลอร์ด ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะหมดอำนาจ และเมื่อพวกเขาต้องไปเข้ากับศาสนจักร การที่พวกเขาจะได้รับอิสรภาพอีกครั้งนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เรเคอร์สเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสียงเขาก็ทุ้มต่ำกว่าเดิม “ข้าจะโน้มน้าวฝ่าพระบาทดู”

“องค์ราชาเฟลทิสทรงชรามากแล้ว และระดับอัศวินของพระองค์นั้นไม่สูง อีกไม่กี่ปีพระองค์คงสิ้นพระชนม์ เจ้าหาโอกาสในตอนนั้นได้ไหม?” ฟีลิเบลส่ายศีรษะ ในฐานะพระคาร์ดินัลหลวงผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการดูแลสุขภาพของพระราชา เขารู้ดีว่าสุขภาพของพระองค์ราชาเป็นอย่างไร”

เรเคอร์สมีสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่ปฏิเสธอะไร

ฟีลิเบลมองคนอื่นๆ ที่เหลือแล้วพูดเสียงเรียบ “แต่เจ้าชายทรงมีอคติกับสภาเวทมนตร์มากเกินไป”

“…เจ้าชายทรงมีอคติกับสภาเวทมนตร์มากเกินไป…” เรเคอร์สพูดทวนด้วยเสียงเบา

เวลาสองทุ่มในคืนวันอาทิตย์ ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ ในอัลลินนั้นเปิดไฟสว่างไสว ห้องโถงใหญ่คึกคักไปด้วยเสียงชนแก้ว

“ลูเซียน ตอนนี้มอร์ริสอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และดูท่าจะไม่ดีไปอีกนาน ถ้าไม่มีอะไรพิเศษ อยู่ห่างๆ เขาไว้ดีกว่า” แกสตันพูดเย้า มือเขาถือแก้ว

ที่อีกฟากของห้องโถง มอร์ริสฝืนยิ้มและกำลังยุ่งอยู่กับการทักทายเหล่านักเวทระดับสูง

สมาชิกของ ‘คณะกรรมการตรวจสอบ’ ค่อยๆ จับกลุ่มกันเองอย่างเป็นธรรมชาติโดยมีลูกศิษย์และมิตรสหายห้อมล้อมพวกเขาอยู่

เวลานี้ลูเซียนยืนอยู่กับแลร์รี่ ยูลิสิส เค ลาซาร์ และนักเวทคนอื่นๆ จาก ‘สถาบันอะตอม’

ลูเซียนส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ตอนนี้ประตูของโลกอนุภาคได้เปิดออกแล้ว และจะมีการค้นพบครั้งใหญ่มากขึ้น ท่านมอร์ริสต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

“ถูกแล้วหรือ?”

เสียงของมอร์ริสนั่นเอง เสียงเขาเบาราวกับเสียงวิญญาณ น้ำเสียงของเขาเจือความเกลียดชัง

หลังจากทักทายนักเวทคนสำคัญๆ มอร์ริสก็เดินกลับไปและเขาก็ได้ยินสิ่งที่ลูเซียนพูด เขารู้สึกว่ามีศรคมกริบปักใจเขา

“ถูกขอรับ นี่เป็นวิชาใหม่ที่รวมเอาความลับของสสารที่ลึกมากขึ้น” ลูเซียนพูดกับสมาชิกคณะกรรมการคนอื่นๆ ราวกับว่าเขาไม่สนใจน้ำเสียงเกลียดชังของมอร์ริสเลย

“เป็นไปไม่ได้!” มอร์ริสขึ้นเสียง สีหน้าเขาจริงจัง

ฟลอเรนเซียยิ้มและมองลูเซียน ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูเซียนจึงอยากทำให้มอร์ริสหัวเสีย สมาชิกอาวุโสคนอื่นๆ ของ ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ ก็มองไปทางเขาพลางรู้สึกขบขัน

แต่ลูเซียนไม่ใส่ใจ “ถ้าไม่มีใครมีคุณสมบัติดีพอ ตำแหน่งก็ควรปล่อยว่างไว้อย่างนั้น ถ้ามีนักเวทที่มีคุณสมบัติมากกว่าหนึ่งคน รางวัลก็ควรมอบให้นักเวทหนึ่งคนต่อหนึ่งผลงาน และการมอบรางวัลก็ควรมอบหนึ่งครั้งต่อปี เราจะได้ตั้งตาคอยได้”

“เป็นคำแนะนำที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!” มอร์ริสรีบบอกว่าเห็นด้วย

“ปัญหาก็คือ… เรื่องนี้ทำได้แค่เลื่อนเวลาออกไป แต่มันไม่สามารถช่วยเรื่องการสูญเสียของคลังได้” ฟลอเรนเซียย้ำเตือนอาจารย์ของนาง นางสงสัยว่าลูเซียนคิดอะไรอยู่

นางไม่เชื่อว่าลูเซียนแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น

ลูเซียนวนแก้วไวน์เบาๆ แล้วยิ้ม “ทั้งวัตถุและของมีค่าไม่สามารถเพิ่มเองได้ในคลัง แต่การลงทุนนั้นแตกต่างกัน ถ้าการมอบรางวัลสามารถยืดออกไปได้หนึ่งปี การคืนทุนก็จะได้มาก รางวัลมักเป็นของคนอื่น แต่กำไรน่ะอยู่กับเราเสมอ”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” มอร์ริสถาม เขาไม่ใช่คนโง่

ลูเซียนยิ้ม “ข้าได้คุยกับคุณอาร์เธอร์ ดอยล์ เขาสนใจเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้กระแสน้ำ เขายังบอกข้าว่ากระบวนการสร้างแสงคริสตัลเวทมนตร์นั้นสามารถทำได้ง่ายและจะเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนาง และพวกเราสามารถลดความต้องการการใช้ ‘เวทสารแม่เหล็กไฟฟ้า’ โดยใช้เวทมนตร์เก็บเสียงของผู้พูดลงไปในผลิตภัณฑ์ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุ และในขณะเดียวกันก็สร้างหอคอยเวทมนตร์เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ส่งสัญญาณ”

พวกนักเวทรู้ว่าลูเซียนมีรายได้มากจากผลิตภัณฑ์ชื่อแปลกๆ ของเขา นั่นคือ ‘จินเคลา’ พวกเขาทั้งหมดจึงพยักหน้าและเชื่อว่าความคิดของลูเซียนนั้นเข้าท่าดี

ลูเซียนยิ้มแล้วพูดต่อ “สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อพวกขุนนางและคนธรรมดานั้นคุ้นเคยกับการใช้เวทมนตร์ในชีวิตประจำวัน พวกเขาก็จะไม่ทำตามศาสนจักรมากอย่างนี้อีกต่อไป จริงๆ แล้ว นักเวทอย่างเราไม่ค่อยได้สุงสิงกับพวกชาวบ้านเท่าไร แต่เพราะศาสนจักรเทศนาพวกเขาอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็ต้องเอาสิ่งที่พวกเขาต้องการไปจากพวกเขา และเมื่อฐานของศาสนจักรสั่นคลอน เราก็จะได้เห็นจุดจบของศาสนจักร อะไรก็ตามที่ขัดขวางทางก้าวหน้าของเวทมนตร์จะต้องถูกทำลายให้ย่อยยับ”

“ไว้เราคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง” มอร์ริสคล้อยตามเต็มที่ เขาหันกลับไปคุยกับพวกผู้นำคนอื่นๆ ขององค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ

ลูเซียนรู้สึกมีกำลังใจ แน่นอนว่าศาสนจักรจะต้องแก้แค้นเมื่อผลิตภัณฑ์จากการเล่นแร่แปรธาตุของลูเซียนกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ถ้าลูเซียนยึดเอากำไรทั้งหมดและไม่ยอมให้นักเวทคนอื่นๆ ได้ส่วนแบ่ง เมื่อเขามีปัญหา ก็จะไม่มีใครช่วย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุจะเข้าร่วมด้วย

คนเราจะละโมบได้แต่ต้องฉลาดด้วย

มอร์ริสอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เขาพูดกับแขกเหรื่อทุกคนว่า

“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ความก้าวหน้าของอาร์คานาและเวทมนตร์นั้นรวดเร็วราวกับรถจักรไอน้ำความเร็วสูง และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้านั้นไม่เคยมีมาก่อน วันนี้ เราจะมอบรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ให้แก่นักเวทเรืองนามสองคนสำหรับผลงานอันโดดเด่นของเขาในด้าน ‘ธาตุและการเล่นแร่แปรธาตุ’ ขอเชิญท่านลูเซียน อีวานส์ จาก ‘องค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ’ ขึ้นมาก่อนขอรับ”

เมื่อลูเซียนเดิน มอร์ริสก็เริ่มอ่านคำปราศรัยมอบรางวัล “เขาผู้นี้ค้นพบธาตุใหม่ เขาได้เปิดประตูโลกอนุภาค ผลงานของเขาในด้านธาตุนั้นเป็นเรื่องใหม่และมีความสำคัญ เขานำพาเราเข้าสู่ยุคใหม่!”

มอร์ริสหยิบแหวนที่ออกแบบพิเศษซึ่งเป็นวงสองวงไขว้กัน ตรงกลางมีหินล้ำค่าสีฟ้ากระจ่างใส

“เพื่อเป็นเกียรติแก่ผลงานอันโดดเด่น ขอมอบแหวนมงกุฎแห่งโฮล์ม หมายเลขสามสิบแก่ท่านลูเซียน อีวานส์”

แหวนหมายเลขยี่สิบแปด คือ ‘ต้นกำเนิด’ ส่วนแหวนหมายเลขยี่สิบเก้า คือ ‘ไอออไนเซชัน’ ดังนั้น ลูเซียนจะได้แหวน ‘อิเล็กตรอน’ ก่อน ส่วนแหวน ‘ต้นกำเนิด’ นั้นจะมอบให้เขาทีหลัง

ลูเซียนรับมอบแหวนท่ามกลางเสียงปรบมืออันอบอุ่น ด้านในของแหวนเขียนไว้ว่า “ปี 819 มงกุฎแห่งโฮล์ม สำหรับผลงานของลูเซียน อีวานส์”

ลูเซียนทิ้งรอยประทับดวงจิตทันทีไว้ในแหวนและรู้ข้อมูลที่อยู่ในแหวนนั้น

“แหวนมงกุฎแห่งโฮล์ม อิเล็กตรอน วัตถุเวทมนตร์ระดับที่เจ็ด (ผนึกหนึ่งชั้น) นักเวทที่พลังจิตถึงระดับสูงสามารถปลดผนึกแหวนนี้และพลังทั้งหมดจะถูกปล่อยออกมา”

แหวนอันเป็นเอกลักษณ์วงนี้มีพลังมากเนื่องจากมีเวทมนตร์สะกดใจระดับที่เจ็ดนั่นคือ ‘เวทลำแสงต้านเวท!”