บทที่ 141 ถูกกดดัน[รีไรท์]

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 141 ถูกกดดัน[รีไรท์]

หลูหลิงไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้ทุกคนที่เห็นหน้าเขาต้องเข้ามารังแกเขา และมีสิ่งหนึ่งที่หน้าแปลกคือ ทุกคนที่ทุบตีเขาล้วนทุบตีแบบมีขอบเขต ทุกคนทำเพียงแค่ฝากรอยแผลและความเจ็บปวดไว้เท่านั้นไม่ถึงขั้นเอาชีวิตหรือทำให้พิการ

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลูหลิงเห็นด้านที่โหดร้ายป่าเถื่อนของมนุษย์ด้วยกัน

เขาเดินไปนั่งแอบลงในซอยเล็ก ๆ เปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คนเดินผ่าน เขานั่งคิดน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาชีวิตของตนเองพลางมองไปยังข้อมือของตัวเองที่ยังปรากฎรอยประทับที่หลิงตู้ฉิงได้ให้ไว้กับเขา

หลูหลิงนึกถึงคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่สั่งให้เขาลบตราประทับนี้ออกให้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ได้กลับไปยังศาลาศักดิ์สิทธิ์ เขาพยายามคิดหาทางแก้ปริศนาในการลบตราประทับนี้ออก

เขาต้องทำยังไงมันถึงจะหายไป?

ระหว่างที่หลูหลิงครุ่นคิดอยู่นั้น ลำแสงดาราหลายสายต่างพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าของเมืองหลวงในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเป็นภาพอันน่าตกตะลึงแก่บรรดาผู้คนในเมือง

หลูหลิงแหงนมองขึ้นไปยังลำแสงเหล่านั้นและพึมพำกับตัวเอง “เหอะ ทะลวงขอบเขตกันงั้นเหรอ รอให้ข้าลบไอ้ตราประทับบ้านี่ออกให้ได้ก่อนเถอะ สักวันข้าจะต้องขึ้นไปถึงระดับนั้นบ้างให้ได้!”

ลำแสงหลายสายที่พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงตอนนี้ ส่งผลให้คนในเมืองหลวงแตกตื่น และสงสัยกันเป็นอย่างมาก ขุมกำลังไหนกันที่ทะลวงขอบเขตกันได้เป็นเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้?

ไม่นานนักข่าวของผู้ที่ทะลวงขอบเขตได้ก็แพร่กระจายมายังบรรดาผู้คนในเมือง

“แสงนั่นพุ่งออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลจ้าว!”

“ข้าได้ข่าวมาว่ามีผู้เชี่ยวชาญสามคนของตระกูลจ้าวและอีก 2 คนของตระกูลหลิงทะลวงขอบเขตรวมแสงดาราในเวลานี้!”

ข่าวเริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลจ้าวกับตระกูลหลิง ปล่อยข่าวออกมาว่าพวกเขาใช้โอสถของตระกูลมี่ที่ทำให้คนธรรมดาสามารถสร้างรากฐานจิตวิญญาณได้ พวกเขาได้นำมันมาทดสอบโดยให้กับผู้เชี่ยวชาญของตระกูลกิน ผลที่ออกมาคือผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นที่กินโอสถนั่นเข้าไปรากฐานจิตวิญญาณพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นระดับเหนือขั้น และทำให้พวกเขาทะลวงขอบเขตไปยังรวมแสงดาราทันที”

“ข้าเองได้ยินมาว่าคนที่ทะลวงขอบเขตมีทั้ง จ้าวเทียนจุน เฮ่อเจี้ยนปิงจากตระกูลจ้าว ส่วนตระกูลหลิงนั้น หลิงเล่อชานก็ทะลวงขอบเขตได้ด้วยเช่นกัน”

หลังจากที่ข่าวถูกแจ้งออกมาจากตระกูลทั้งสอง ผู้เชี่ยวชาญจากทุกสารทิศตอนนี้เริ่มบ้าคลั่งอยากได้โอสถนี้มากเข้าไปอีก

การดำรงอยู่ของโอสถนี้ ทำให้คุณค่าของบรรดาอัจฉริยะที่เกิดมามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับเหนือชั้นถูกลดลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่อยากจะบุกเข้าไปที่ตระกูลมี่เพื่อปล้นชิงโอสถนี้มา แต่เมื่อพวกเขาคิดถึงมี่ไลที่ครอบครองหลิงจู้อยู่ในตอนนี้ และนางยังคงอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลมี่ พวกเขาจึงยังชั่งใจไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถใช้กำลังปล้นชิงได้ วิธีการเดียวที่เหลือคือการเจรจาอย่างสันติ ส่งผลให้ในตอนนี้ที่หน้าตระกูลมี่ มีคนมารอเข้าพบมี่ตั้วตั้วอยู่เป็นจำนวนมาก

ส่วนทางด้านหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนนั้นกำลังตกตะลึงกับผลที่ออกมาของการใช้โอสถที่หลิงตู้ฉิงหลอมเป็นอย่างมาก ทั้งหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนเอง พวกเขาทั้งคู่ต่างใช้โอสกำเนิดรากฐานระดับสูงสุดไปแล้วคนละเม็ด แต่ผลที่เกิดขึ้นกับพวกเขามีเพียงแค่รากฐานทางจิตวิญญาณของพวกเขาที่เปลี่ยนไปเป็นเหนือขั้น แต่ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

แต่หลังจากที่พวกเขาให้คนในตระกูลที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 อย่าง จ้าวเทียนจุน เฮ่อเจี้ยนปิง หลิงเล่อชานและผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้คนอื่นในตระกูลกลืนเข้าไปนั้น ผลที่ได้กลับเกินความคาดหมายส่งผลให้คนเหล่านั้นทะลวงขอบเขตทันที

เมื่อหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนเห็นผลลัพธ์อันน่าตกตะลึงเช่นนี้ พวกเขาจึงบังเกิดความคิดอันสวยหรูในใจที่อยากจะเปลี่ยนทุกคนในตระกูลให้กลายเป็นอัจฉริยะทั้งหมด พวกเขาทั้งหมดจึงพากันมุ่งหน้าไปหาหลิงตู้ฉิงที่เป็นคนหลอมโอสถเหล่านี้ทันที

หลิงตู้ฉิงในเวลานี้เมื่อได้ยินคำขอของหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียน เขาส่ายหัวและพูดขึ้น “เฮ้อ…ข้าคงไม่สามารถหลอมโอสถเหล่านี้ให้กับพวกท่านเพิ่มได้อีกหรอก พวกท่านคงมีความคิดอยากจะทำให้ทุกคนในตระกูลมีรากฐานระดับเหนือชั้นทุกคนงั้นสินะ? พวกท่านจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อยแล้ว”

“บนโลกนี้ทุกอย่างล้วนมีสมดุลของมัน หากพวกท่านทำลายสมดุลเหล่านั้น ภัยพิบัติจะบังเกิดขึ้นกับตระกูลของพวกท่านอย่างใหญ่หลวง ส่วนตัวข้านั้นสามารถต้านภัยพิบัติเหล่านั้นได้อย่างสบาย แต่สำหรับพวกท่านไม่มีทางทำได้”

“หากพวกท่านต้องการได้โอสถเหล่านั้นเพิ่มจริง ๆ พวกท่านจะต้องใช้วิธีการที่ถูกต้อง คือการไปเจรจากับมี่ตั้วตั้ว ส่วนจำนวนที่พวกท่านจะได้เพิ่มเท่าไหร่จากมี่ตั้วตั้วนั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของท่านเอง แต่ถ้านอกเหนือจากวิธีที่ถูกต้องนี้แล้ว อย่าได้ดึงดันที่จะได้พวกมันมาจากวิธีอื่นอีกถ้าพวกท่านยังไม่อยากตาย”

จ้าวปาเทียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและพูดขึ้น “เจ้านี่มันเหลือเกินจริง ๆ ข้าอุตส่าห์ยกหลานสาวของข้าให้แล้วแท้ ๆ แต่เจ้ากลับไม่มีน้ำใจให้โอสถนี่กับข้าบ้างเลย”

หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ท่านไม่เชื่อข้างั้นสินะ งั้นเอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวข้าจะหลอมโอสถให้ท่าน เดี๋ยวนี้ ตรงนี้เลย ข้าจะหลอมให้ท่านเป็นจำนวนสักสองเท่าของจำนวนคนในตระกูลท่านเลยทีเดียว แล้วเราคอยมาดูกันว่าตระกูลของท่านจะถูกทำลายลงภายในกี่วันดี แต่ข้าบอกท่านไว้ก่อนเลยหากตระกูลท่านมีปัญหา คนที่ข้าจะช่วยนั้นมีเพียงแค่จ้าวเหมิงลู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนในตระกูลท่านทุกคนรวมไปถึงท่านเองข้าจะไม่เหลียวตามองเลยเมื่อเวลาที่พวกท่านโดนฆ่าล้างทั้งตระกูล”

“ท่านอย่าได้คิดว่าขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 9 ของท่านจะวิเศษวิโสขนาดนั้น หากท่านได้รับโอสถจำนวนมากจากข้าไป อันที่จริงไม่ต้องรอทัณฑ์จากสวรรค์ด้วยซ้ำ จักรพรรดิของอาณาจักรนี้เองแหละจะเป็นคนลงมือส่งพวกท่านลงไปพบกับยมบาลภายในไม่เกิน 1 อาทิตย์ที่ท่านได้โอสถจากข้า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้จ้าวปาเทียนเองยังใจสั่นเมื่อลองตรองดูถึงผลเสียของมันดี ๆ เขาจึงได้แต่ทำหน้าตาหดหู่และไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก

หลิงตู้ฉิงที่เห็นสีหน้าของจ้าวปาเทียนและหลิงเจิ้งสงที่ดูหดหู่เป็นอย่างมาก เขายิ้มพลางส่ายหัวและพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อันที่จริงข้าเองยังพอมีโอสถกำเนิดรากฐานเหลืออยู่กับตัวบ้าง พวกท่านสามารถนำสิ่งของที่มีค่าทัดเทียมกับพวกมันออกมาแลกกับข้าได้ ส่วนจำนวนเท่าไหร่ที่ท่านจะได้นั้น จะขึ้นอยู่กับมูลค่าของสิ่งของที่พวกท่านนำออกมา”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทั้งหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนดวงตาพวกเขากลับมามีประกายอีกครั้ง พวกเขารีบหยิบวัตถุดิบหรือสิ่งของมีค่าต่าง ๆ ออกมาวางเรียงกันเป็นพัลวันเพื่อให้หลิงตู้ฉิงเลือกพวกมันแลกกับโอสถกำเนิดรากฐาน

หลังจากแลกเปลี่ยนกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งหลิงเจิ้งสงกับจ้าวปาเทียนต่างมีอารมณ์เบิกบานด้วยกันทั้งคู่ และหลังจากนั้นพวกเขาบินออกมาจากคฤหาสน์สราญรมย์

หลิงเจิ้งสงได้เอ่ยกับจ้าวปาเทียนว่า “ตอนนี้ข้าว่าองค์จักรพรรดิเริ่มหวาดเกรงในตัวตนของหลานข้าขึ้นมาบ้างแล้ว วันนี้องค์ชายรองเพิ่งเข้ามาพบกับข้า เขาแจ้งว่าเขาต้องการให้หลิงตู้ฉิงแต่งงานกับลูกสาวของเขา”

คำพูดของหลิงเจิ้งสงทำให้สีหน้าของจ้าวปาเทียนเปลี่ยนเป็นหนักใจทันที

ถึงแม้ว่าจ้าวปาเทียนจะคิดไว้แล้วว่าการแต่งงานของตระกูลพวกเขาทั้งสองจะสร้างแรงกดดันให้กับราชวงศ์ แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย

จ้าวปาเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งเช่นกันว่า “วันนี้องค์ชายใหญ่ก็มาหาข้าเช่นกัน เขาต้องการให้ข้ายกเลิกการหมั้นและให้เหมิงเอ๋อแต่งกับ เหลียงเหว่ย ลูกชายของเขา ซึ่งข้าเองก็ได้ปฏิเสธไป”

“เราจะทำยังไงกันดี ดูเหมือนว่าจักรพรรดิกำลังเริ่มลงมือกับพวกเราแล้ว หากเราต้องปะทะกับราชวงศ์ตอนนี้เราจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก” หลิงเจิ้งสงพูด

ชายชราทั้งสองมองหน้ากันด้วยความหนักใจ

จ้าวปาเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ยังไงซะข้าจะต้องให้เหมิงเอ๋อแต่งงานกับหลานท่านแน่นอนอยู่แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราต้องเล่นตามบทขององค์จักรพรรดิไปด้วย โดยการให้หลานชายของท่านหลิงตู้ฉิงแต่งงานกับเหลียงเจี๋ยตามที่องค์จักรพรรดิต้องการ ไม่อย่างนั้นถ้าเราเลือกปฏิเสธเขาไปซะทั้งหมด ข้าคิดว่าในไม่ช้าองค์จักรพรรดิจะต้องใช้วิธีการที่รุนแรงกว่านี้แน่นอน ด้วยวิธีนี้พวกเราน่าจะหายใจได้คล่องขึ้นอีกสักพัก ส่วนหลานท่านเองก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมายกับเงื่อนไขนี้ด้วย”

 หลิงเจิ้งสงพยักหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีเดียว แต่เราต้องคุยเรื่องนี้กับหลานข้าก่อน ถ้าเขาไม่เห็นด้วยข้าก็ทำอะไรไม่ได้”

จ้าวปาเทียนพูดอย่างน้ำเสียงไม่เห็นด้วย “เขาจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่ดีแบบนี้ได้ยังไง นี่ขนาดเหมิงเอ๋อยังไม่ได้แต่งงานกับเขา แต่เขากลับมีผู้หญิงอยู่ข้างกายแล้วถึง 2 คน ข้าคิดว่าเขาคงจะเต็มใจยอมรับทางเลือกนี้มากกว่าต่างหาก”

หลิงเจิ้งสงยิ้มอย่างขมขื่น เขาส่ายหัวและไม่พูดอะไรต่อ

พวกเขากลับไปหาหลิงตู้ฉิงและเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง

หลิงเจิ้งสงถามขึ้นเป็นคนแรกว่า “ตู้ฉิง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและตอบว่า “ข้าได้มอบสินสอดและกำหนดวันสมรสเอาไว้แล้ว หากใครกล้าขัดขวางงานของข้า ข้าจะสังหารพวกมันทั้งตระกูล! ส่วนองค์หญิงหรืออะไรนั่น ข้าไม่ได้สนใจ ถ้านางอยากมาเป็นบ่าวรับใช้ให้ข้า ข้าก็ไม่ปฏิเสธ แต่ถ้านางไม่ต้องการ ท่านสามารถไปบอกองค์ชายหรือจักรพรรดิอะไรนั่นได้เลยว่าอย่ามาสร้างความรำคาญกับข้าให้มันมากนัก!”

หลิงตู้ฉิงกระแทกน้ำเสียงด้วยอารมณ์หงุดหงิด หากเป็นเมื่อชาติที่แล้วเขาคงจะบินไปที่วังหลวงและสังหารผู้คนตระกูลเหลียงให้ไม่เหลือแม้แต่หมู หมา กา ไก่

“อ๋อ และมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าเคยได้ให้สัญญากับเหมิงลู่ไว้แล้วว่าในครั้งหน้าหากจะมีผู้หญิงคนไหนเข้ามารับใช้ข้า ข้าจะต้องถามความเห็นจากนางก่อน และเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน หากองค์หญิงอะไรนั่นตกลงและมีคุณสมบัติพอจะมาเป็นบ่าวรับใช้ของข้า ท่านจะต้องไปถามความเห็นชอบจากเหมิงลู่ด้วยว่านางยินยอมไหม หากนางไม่ยินยอม เรื่องนี้เราก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก” หลิงตู้ฉิงพูดกับจ้าวปาเทียน

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จ้าวปาเทียนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างที่หลิงตู้ฉิงยังเห็นความสำคัญของหลานสาวเขา ทำให้เขาลืมความไร้ยางอายของหลิงตู้ฉิงที่มีผู้หญิงอยู่ข้างกายแล้วถึง 2 คนไปได้ชั่วขณะ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ได้ ข้าจะถามนางเมื่อข้ากลับไป!”

เมื่อตกลงกันจนรู้เรื่อง หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนจึงจากไป พวกเขาหวังว่าจ้าวเหมิงลู่จะเห็นด้วยและหลิงตู้ฉิงจะรับเหลียงเจี๋ยเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์ มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะต้องเผชิญกับความพิโรธขององค์จักรพรรดิ

“ท่านลองกลับไปคุยกับหลานสาวท่านดูก่อน หากท่านอธิบายดี ๆ ให้นางได้ฟัง นางน่าจะเข้าใจถึงเหตุผลและยอมตกลงด้วยแน่นอน” หลิงเจิ้งสงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

จ้าวปาเทียนเองเขาพยักหน้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

เขารีบกลับบ้านและพบจ้าวเหมิงลู่ซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ จ้าวปาเทียนบอกนางทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วถามว่า “เหมิงเอ๋อ ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนะนอกจากเจ้าต้องเห็นด้วย”

“ตาท่อนไม้นั่นบอกให้ท่านมาถามความเห็นจากข้างั้นเหรอ?” จ้าวเหมิงลู่พูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข

นางรู้ว่าในเรื่องเกี่ยวกับชายหญิง ในสายตาของหลิงตู้ฉิงนั้นเขาแทบไม่มีความรู้สึกปรารถนาในด้านนี้สักเท่าไหร่เลยเมื่อเทียบกับเรื่องของลูก ๆ ของเขา และการบ่มเพาะเต๋าของเขาเอง

จ้าวเหมิงลู่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ท่านปู่ ข้ารู้ว่าท่านหมายถึงอะไร ข้าทนได้เพื่อส่วนรวม แต่ข้าคิดว่าการตัดสินใจของข้านั้นอันที่จริงแล้วไม่ได้มีผลกับเขาสักเท่าไหร่ในเรื่องนี้”

จ้าวปาเทียนพูดอย่างกังวล “แต่เขาเป็นคนบอกมาเองว่าให้มาถามเจ้าไม่ใช่เหรอ?”

จ้าวเหมิงลู่ยิ้ม “ข้ารู้สึกดีใจมากที่เขายังจำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้ สำหรับข้าเองขอเพียงเขาเอ่ยปากขอข้า ข้าก็ไม่มีวันไม่ตกลงกับเขาแน่ แต่ท่านปู่ไม่เข้าใจ คนอย่างเขาหากเขาสนใจในตัวของเหลียงเจี๋ยแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาจะรับนางเข้ามาอยู่ด้วยอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเขาไม่สนใจ และต่อให้ข้าไปข้อร้องให้เขาตกลง เขาก็ไม่ยอมรับนางเข้ามาอยู่ด้วยหรอก”

จ้าวปาเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเจ้าช่างรู้ใจกันดีจริง ๆ เช่นนั้นข้าคงจะต้องแจ้งให้หลิงเจิ้งสง กำหนดวันให้หลิงตู้ฉิงได้ไปเจอกับเหลียงเจี๋ยดูตัวสักครั้ง ว่าแต่เหมิงเอ๋อ ปู่เห็นเจ้าฝึกฝนอย่างหนักตลอดทุกวันที่ผ่านมา แต่ทำไมระดับการบ่มเพาะของเจ้าถึงยังไม่ก้าวหน้าขึ้นเลยมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”

จ้าวเหมิงลู่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ว่าที่สามีของข้า ย้ำกับข้าไม่ให้เพิ่มระดับเร็วเกินไป เขาชี้แนะให้ข้าต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคงกว่านี้ ท่านปู่ข้าแตกต่างจากท่าน เป้าหมายของข้าไม่ใช่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 แต่เป็นระดับ 13”

จ้าวปาเทียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ทำไมเขาถึงบอกให้เจ้าต้องฝึกถึงระดับ 13 ด้วยล่ะ?”