ตอนที่ 122 ขึ้นมา ผมจะแบกคุณเอง

พ่ายรักวิวาห์ลวง

“หรือคุณจะไม่เลี้ยงผมหรือไง” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดด้วยท่าทางเศร้าสร้อย

 

 

“คุณยังต้องให้ฉันเลี้ยงอีกเหรอ” ใครบ้างไม่รู้ว่าทรัพย์สมบัติของตระกูลฮั่วแทบจะร่ำรวยเทียบเท่าระดับประเทศเลยนะ หนำซ้ำฮั่วฉินเยี่ยนยังเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฮั่วอีกต่างหาก ต่อให้ชีวิตนี้ฮั่วฉินเยี่ยนไม่ทำงาน ต่อให้ฮั่วฉินเยี่ยนไม่แตะต้องสมบัติของสกุลฮั่ว แค่ก่อนหน้านี้ที่เขาเป็นคนหาเงินเข้าสกุลฮั่ว ก็เพียงพอให้เขาถลุงเงินเล่นได้ตลอดชีวิตแล้ว กับแค่บริษัทเล็กๆ ของเธอคงไม่พอให้เขาจิ้มฟันเลยแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นฮั่วจวินจะพยายามหาทางกลับบ้าน และพยายามแย่งชิงสมบัติสกุลฮั่วอย่างสุดชีวิตเหรอ!

 

 

“ใช้หรือไม่ใช้นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่คุณจะเลี้ยงไหม นี่สิสำคัญที่สุด” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดไปพลาง ทาแยมลงบนขนมปังให้เวินหลานฉีไปพลาง

 

 

“ถึงตอนนั้นแล้ว จะคอยดูแล้วกัน!” เวินหลานฉีเกือบหลุดพูดออกมาโดยไม่ทันยั้งคิดแล้วว่า ต่อให้คุณไม่มีอะไรเลย ฉันก็ต้องการคุณอยู่ดี ฉันแทบอยากให้คุณไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างใจจะขาด คุณจะได้ไม่ต้องถูกคนมากมายนึกถึงอยู่ตลอดเวลา แต่คำพูดติดอยู่ที่ปากและกลืนหายลงไปลำคอ เธอไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้ลำพองใจจนเกินไป

 

 

“งั้นคุณภรรยาว่าการแสดงออกตอนนี้ของผมเป็นยังไงเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนป้อนขนมปังเข้าปากน้อยๆ ของเวินหลานฉีอย่างจำใจ สาวน้อยคนนี้นับวันยิ่งเป็นคนยั่วยวนเสียจริง!

 

 

“ก็…ก็ดีมั้ง…” เวินหลานฉีคาบขนมปังไว้ในปาก พลางพูดพึมพำ “ต่อไปต้องพยายามให้มากกว่านี้ แสดงออกให้ดี!” เวินหลานฉีตบไหล่แปะๆ ให้กำลังใจฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

“…”

 

 

เมื่อทั้งสองคนกินข้าว และเก็บของเตรียมจะไปปีนเขาเรียบร้อย ทั้งๆ ที่ความจริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องจัดการเองก็ได้ เพราะเฉิงหมิงได้พาคนมาจัดการให้เรียบร้อยนานแล้ว มิหนำซ้ำในกระเป๋าสำหรับเดินเขาก็บรรจุของจำเป็นสำหรับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าของที่หนักๆ ทั้งหลายแหล่นั้นอยู่ในกระเป๋าของฮั่วฉินเยี่ยนทั้งหมด ส่วนกระเป๋าสะพายของเวินหลานฉีนั้นเบามาก

 

 

“บอสครับ ให้ผมไปกับพวกคุณด้วยไหมครับ ถึงยังไงภูเขาลูกนี้ก็ยังไม่ได้บุกเบิกเลยนะ อย่างน้อยถ้ามีอันตรายขึ้นมา ผมจะได้ยื่นมือเข้าไปช่วยได้ทันเวลา” เฉิงหมิงมองแนวทิวเข้าที่ทอดไกลออกไป ก็พลอยเอ่ยพูดอย่างเป็นกังวล

 

 

“ไม่ต้อง ถึงคุณไปด้วยก็ไม่เกิดผลอะไร ถ้าฟ้ามืดแล้ว คุณก็ส่องแสงให้ทางเดินสว่างไสวไม่ได้อยู่ดี” ฮั่วฉินเยี่ยนพูด

 

 

“ผมเองก็ไม่ใช่หลอดไฟอีก…เฮ้ย มีเมียแล้วดูถูกกันเลยนะ!” เฉิงหมิงพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

“อืม ดูถูก คุณมีอะไรหรือปล่า” ฮั่วฉินเยี่ยนมองเขาพลางพูดอย่างเหยียดหยาม

 

 

“เชอะ!” สุดท้ายเฉิงหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาคิดว่าความสามารถของฮั่วฉินเยี่ยนคงไม่มีปัญหา ตอนพวกเขาไปปีนภูเขาหิมะกันก่อนหน้านี้ ทั้งที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายขนาดนั้น ฮั่วฉินเยี่ยนยังพาคนหลายคนลงจากเขาได้อย่างปลอดภัยเลย ฉะนั้นภูเขาลูกนี้คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก

 

 

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว เวินหลานฉีกับฮั่วฉินเยี่ยนก็ออกเดินทาง

 

 

ทางขึ้นเขาช่วงแรกเวินหลานฉียังสบายมากอยู่ เธอเดินไปพลาง ชมนกชมไม้ไปพลาง บางครั้งยังฮัมเพลงสองเพลงไปด้วย อารมณ์ดีมากจริงๆ พอไปถึงกลางทางฮั่วฉินเยี่ยนจะให้เธอนั่งพักดื่มน้ำสักหน่อยแล้วค่อยเดินต่อ แต่เธอก็ไม่ยอมหยุด

 

 

ซ้ำยังดูถูกฮั่วฉินเยี่ยนอีกต่างหาก เยาะเย้ยว่าเขาตัวใหญ่เสียเปล่า ในขณะที่เธอรู้สึกว่าตัวเองสบายมาก

 

 

แน่นอนว่าเธออารมณ์ดียิ่งนัก นับตั้งแต่เธอยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง นับวันก็ยิ่งไม่มีเวลาพักผ่อนเลย เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้หญิงถ้าอยากจะประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานมักจะลำบากยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก ตอนนั้นเธอกลั้นใจไม่ยอมก้มหัวเหมือนอย่างคุณพ่อ ยิ่งไม่อาจวิ่งไปร้องขอความช่วยเหลือจากฮั่วฉินเยี่ยนผู้ไม่รักเธอในตอนแรกด้วย เธอจึงกัดฟันทนจนได้มายืนอยู่ในตำแหน่งอย่างทุกวันนี้

 

 

ชีวิตที่วุ่นอยู่แต่กับงานทำให้เธอไม่เคยมีความสุขอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นมากมายได้รับเลย เสื้อผ้าของเธอส่วนใหญ่ล้วนเป็นชุดสูทสามชิ้นในแบบสาวมั่นทั้งนั้น แถมยังมีชุดราตรีสำหรับงานเลี้ยงอีกต่างหาก เสื้อผ้าที่หญิงสาวคนอื่นสวมต่างสีสันสดใสดูมีชีวิตชีวา ทว่าในตู้เสื้อผ้าของเธอนั้นไม่มีของเหล่านั้นมานานมากแล้ว น้อยนักที่เธอจะมีท่าทีผ่อนคลายและมีชีวิตชีวาอย่างเช่นตอนนี้

 

 

เป็นไปตามคาด ยิ่งเดินตามแนวทิวเขายิ่งสูงและชันมากยิ่งขึ้น ถนนก็ยิ่งแคบลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายไม่เหลือทางเดินอีก ทุกหนทุกแห่งล้วนปกคลุมไปด้วยหญ้ารกเงียบเหงาวังเวง ตอนแรกเวินหลานฉียังฝืนได้อยู่ แต่หลังจากไม่ทันระวังจนเกือบข้อเท้าแพลง ก็ไม่มีท่าทีมีความสุขขนาดนั้นอย่างในตอนแรกอีกแล้ว เธอรู้สึกว่าน่องขาของเธอปูดขึ้นมาก แถมยังรู้สึกเจ็บๆ ปวดๆ อีกต่างหาก ยิ่งเดินต่อไปเท่าไร เธอก็ยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆ กลับกันฮั่วฉินเยี่ยนยังคงเดินด้วยความเร็วเท่าเดิมอย่างในตอนแรกอยู่เลย

 

 

“เยี่ยน เราพักกันสักหน่อยเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว!” เวินหลานฉียืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้เดินไปไหน เธอเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ

 

 

“เมื่อกี้ก็บอกคุณแล้วว่าอย่าเดินเร็วมากนัก แต่คุณกลับไม่ฟัง ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนจูงมือเธอขึ้นมา “ที่นี่ไม่เหมาะจะพักผ่อนหรอก คุณดูสิ ทุกที่มีแต่หญ้ารก อาจมีงูก็ได้” ฮั่วฉินเยี่ยนมองไปรอบๆ พลางเอ่ยขึ้น

 

 

“แต่ฉันเดินต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ!” เวินหลานฉีไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด ตอนนี้เธอเริ่มหายใจไม่ทันแล้วด้วยซ้ำ ช่วงขาหนักอึ้งราวกับถ่วงเหล็กไว้ก็มิปาน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนย้ายกระเป๋าสะพายมาไว้ที่ด้านหน้าแล้วคุกเข่าลง พร้อมทั้งพูดว่า “ขึ้นมาเถอะ ผมแบกคุณเอง”

 

 

“นี่…” แม้เวินหลานฉีจะเหนื่อยมาก แต่เส้นทางไปยังยอดเขาลูกนี้ยังอีกยาวไกลเกินกว่าครึ่งเลยนะ อีกอย่างยังลาดชันมากด้วย แค่ตัวเองเดินคนเดียวก็เสียแรงไปตั้งเยอะ แล้วยิ่งฮั่วฉินเยี่ยนแบกข้าวของมากขนาดนั้นด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แต่เธอหนักตั้งห้าสิบกิโลกรัมเชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ แค่เดินสองสามก้าวก็ไม่ไหวแล้ว

 

 

“ขึ้นมาเถอะ พละกำลังของสามีคุณยังโอเคอยู่น่า!” ฮั่วฉินเยี่ยนเร่งเวินหลานฉีอีกครั้ง

 

 

เวินหลานฉีมองไหล่หนากว้างของฮั่วฉินเยี่ยน เธอนึกถึงเหตุการณ์ตอนเจอกับเขาครั้งแรกตอนเด็ก

 

 

ตอนนั้นเธออายุแค่สิบสามปีเอง ถือว่ายังเป็นวัยรุ่นอยู่ ความจริงตอนนั้นเธอทั้งซุกซนและร่าเริงมาก ชอบฉวยโอกาสตอนคนในบ้านไม่ทันสังเกตวิ่งซนไปทั่วที่สุด ผลสุดท้ายมีครั้งหนึ่งเธอหนีไปไกลเหมือนอย่างเคย จนเธอเองไม่รู้ตัวว่าวิ่งไปถึงไหน ปกติไม่ว่าจะวิ่งไปถึงไหน ไม่นานก็จะมีคนมาช่วยเธอไว้เสมอ หากแต่ครั้งนี้กลับไม่มีใครมาช่วยเลยสักคน เธอรออยู่ตั้งนาน จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ไฟตามข้างทางก็สว่างขึ้นทีละดวงๆ เธอรู้สึกหิวมากแล้ว แต่เดินวนอยู่ตามถนนตั้งนานก็ไม่มีวี่แววจะหาทางกลับได้เลย จนเธอตระหนักได้ว่าตัวเองหลงทางเข้าเสียแล้ว จึงยิ่งกลัวมากกว่าเดิม

 

 

ทันทีที่ฟ้ามืดสนิท คนบนท้องถนนก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ บางครั้งบนถนนก็มีเสียงร้องของแมวแหลมดังผ่านมา หนำซ้ำตอนนั้นยังเป็นฤดูหนาวอีกต่างหาก เธอทั้งหนาวทั้งหิว จนอ้าปากร้องไห้โฮอย่างหนัก

 

 

ทว่าคนเดินผ่านไปมาบนท้องถนนต่างรีบเดินอย่างรีบร้อน บางครั้งมีคนหยุดบ้าง อาจเป็นเพราะคนนั้นนึกสงสัย ทว่าเธอกลับไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ จึงไม่มีใครมาถามไถ่เธอเลยสักคน

 

 

เธอเองก็จำไม่ได้เช่นกันว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน อยู่ๆ หูเธอก็ได้ยินเสียงเย็นสบายเสียงหนึ่งดังขึ้น สุ้มเสียงนั้นประหนึ่งนกพิราบสีขาวโผบิน ทำให้เธอหยุดร้องได้ในที่สุด

 

 

“นี่มันอะไรกัน ร้องไห้อย่างกับเจ้าแมวน้อยตัวลายอย่างนั้นแหละ” ฮั่วฉินเยี่ยนในตอนนั้นไม่ได้เย็นชาอย่างในตอนนี้ ตัวเขาให้ความรู้สึกเหมือนแสงอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้น

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าทั้งน้ำตาคลอเบ้า ด้วยอยากจะพิจารณาคนตรงหน้าเสียหน่อย ว่าแท้จริงแล้วคนคนนั้นมาดีหรือมาร้ายกันแน่ หากไม่โอเคเธอจะได้ข่วนเขาทันที

 

 

เด็กชายตรงหน้ายังดูเป็นเด็กอยู่เลย ทว่ากลับมองเธอด้วยความอ่อนโยน แฝงด้วยความเป็นผู้ใหญ่และสุขุม รูปร่างหน้าตาดี เจือแววขบขัน ดังนั้นเธอผู้ยังเป็นเด็กน้อยจึงถูกเขาลวงวิญญาณไปเช่นนั้น

 

 

ภายหลังเธอไม่ได้บอกให้ชัดว่าจริงๆ แล้วตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ มิหนำซ้ำเธอเองก็ไม่ค่อยรู้จักที่พักของตัวเองเหมือนกันว่าชื่ออะไร ตอนนั้นฮั่วฉินเยี่ยนถือโอกาสถามชื่อของเธอ แม้เธอจะรู้ว่าเขาถามแค่เพราะจะไปส่งเธอกลับบ้านเท่านั้น แต่เธอก็ยังคงอ้อมแอ้มบอกชื่อตัวเองไปอย่างระมัดระวัง ออกจะเจือแววกังวลและรอคอยเสียด้วยซ้ำ ความจริงเธอไม่รู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไร รอคอยอะไร เพียงแค่จิตใต้สำนึกตัวเองมันเป็นเช่นนั้น

 

 

“คุณพ่อของเธอคือเวิน xx ใช่ไหม”

 

 

เธอพยักหน้า

 

 

“ไปเถอะ ผมจะไปส่งเธอกลับบ้าน แล้วต่อไปนี้อย่าไปวิ่งซนที่ไหนอีกล่ะ เธอวิ่งไปไกลเกินไปแล้ว!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดอย่างยิ้มกริ่ม

 

 

“ขึ้นมาเถอะ ผมแบกเธอเอง!” ตอนนั้นฮั่วฉินเยี่ยนก็หันหลังให้แบบนี้เช่นกัน เธอจึงเกาะไหล่เขาอย่างว่าง่าย ตอนนั้นไหล่ของฮั่วฉินเยี่ยนยังผอมแห้งอยู่หน่อยๆ แต่ยังคงให้ความรู้สึกปลอดภัยและสงบนิ่งแก่เธอเหมือนอย่างในตอนนี้ แล้ววันนั้นเธอก็ฟุบหน้าหลับไปบนไหล่ของเขา

 

 

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ รีบขึ้นมาเถอะ เราต้องถึงยอดเขา แล้วก็ตั้งแคมป์ให้เสร็จก่อนฟ้ามืดนะ ไม่อย่างนั้นถ้าค่ำแล้วจะมองไม่เห็นงู” น้ำเสียงเอ่ยเร่งของฮั่วฉินเยี่ยนดังขึ้นขัดความทรงจำของเวินหลานฉี เธอเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เกาะไหล่หนากว้างของฮั่วฉินเยี่ยนอย่างว่าง่าย

 

 

เธอรู้สึกสงบนิ่ง และปลอดภัยมาก ฮั่วฉินเยี่ยนแบกเธอเดินไปอย่างแข็งแรง ขณะที่ในใจของพวกเขาทั้งสองคนต่างครุ่นคิด ถ้าได้อยู่กันไปแบบนี้ตลอดชีวิตจะดีแค่ไหนกันนะ!

 

 

ณ ห้องนอนของหลินฉิงในคฤหาสน์สกุลหลิน หลินฉิงสวมชุดราตรีหรูหรา ราคาสูงลิ่วตัวหนึ่ง นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งบรรจงแต่งหน้าอย่างตั้งใจ

 

 

ปากก็พลอยพูดพึมพำ “ลูกจ๋า เดี๋ยวไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ พ่อของหนูเก่งมากเลย ทั้งฉลาดปถมยังมีความสามารถ แถมยังหล่อด้วยนะ เขาต้องรักลูกมากแน่ๆ เลย”

 

 

“ฉิงฉิง ลูกอย่าเป็นแบบนี้เลย ลูกเป็นแบบนี้จะให้แม่ทำยังไงล่ะ!” คุณแม่หลินดูเหมือนจะแก่ลงภายในคืนเดียว ใบหน้าที่เฝ้าดูแลรักษาของเธอนั้น เห็นได้ชัดว่าดูแก่ลงไปถนัดตา เธอในเวลานี้ประหนึ่งคุณยายรุ่นราวคราวหกสิบจริงๆ

 

 

“คุณแม่ แม่ว่าหนูสวยไหม นี่หนูกำลังจะไปพบฮั่วฉินเยี่ยนล่ะ หนูต้องแต่งตัวให้ตัวเองสวยๆ เข้าไว้ แบบนี้คนอื่นจะได้ไม่กล้าแตะต้องความคิดของฮั่วฉินเยี่ยน”

 

 

คุณแม่หลินมองลูกสาวเป็นเช่นนี้ นัยน์ตาก็มีเพียงน้ำตารินไหลลงมา เธอจะทำอย่างไรกับลูกสาวของเธอดีนะ

 

 

“คุณแม่ รอหนูแต่งงานกับฮั่วฉินเยี่ยนก่อนนะ ถึงตอนนั้นพ่อแม่แค่พึ่งพาหนูก็พอแล้ว แล้วถึงตอนนั้นคุณพ่อจะได้ไม่กล้าทำให้แม่โกรธอีกแล้ว หนูจะต้องใจสู้เข้าไว้ เดี๋ยวก็คลอดลูกชายแล้ว!”

 

 

คุณแม่หลินแต่งงานกับคุณพ่อหลินมานานหลายปี แต่มีเพียงหลินฉิงเป็นลูกสาวคนเดียวเช่นนี้ จริงๆ คุณพ่อหลินนั้นอยากได้ลูกชาย แต่พอคุณแม่หลินคลอดหลินฉิงออกมาก็ป่วยหนัก จนต้องตัดมดลูกทิ้ง ทำให้ชีวิตนี้คลอดลูกไม่ได้อีกแล้ว

 

 

สมัยวัยรุ่นคุณแม่หลินนิสัยใจคอดื้อรั้นเอาการ หนำซ้ำด้วยฐานะทางสังคมของคุณแม่หลินจึงได้คบหากับคุณพ่อหลินผู้มีฐานะสูงกว่าในตอนนั้น ดังนั้นคุณพ่อหลินยังค่อนข้างเคารพคุณแม่หลินอยู่บ้าง แต่คุณแม่หลินนั้นรักหลินฉิงลูกของตัวเองมากจนเกินไป เธอทุ่มเทความรักทั้งหมดของเธอให้หลินฉิง ส่วนคุณพ่อหลินแม้อยากเลี้ยงดูหลินฉิงอย่างเต็มที่ และอยากให้เธอรับช่วงต่อกิจการของตระกูลในอนาคต หากแต่หลินฉิงเป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ แม้คุณพ่อหลินเคยคิดจะรับสมัครลูกเขยผู้มีความสามารถ ตอนแรกคิดว่าหลินฉิงนั้นตั้งครรภ์ลูกของฮั่วฉินเยี่ยนจริงๆ แต่แล้วผลสุดท้ายกลับเป็นมารหัวขนเสียได้