บทที่ 210 ไม่ต้องมากความ ปล่อยให้ข้าสังหารคนเงียบ ๆ เถอะ ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 210 ไม่ต้องมากความ ปล่อยให้ข้าสังหารคนเงียบ ๆ เถอะ ! (ปลาย)

ในเวลานั้น กระบี่สีเขียวบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ฮึ่มมมม !

เสียงกระบี่ดังกระหึ่ม ฉับพลันร่างของหลี่เสวียนชางทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ทว่าดวงวิญญาณของเขานั้นกลับยังตรึงติดอยู่กับปลายกระบี่ !

หลี่เสวียนชางมีสภาพเป็นเพียงดวงวิญญาณไปแล้ว เขามองหน้าสตรีลึกลับด้วยสีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าเหลือเชื่อ “ไม่ ไม่จริง ดวงวิญญาณแยกออกจากร่างกาย… จะ เจ้าทำเช่นนี้กับข้า…”

พลันมีเสียงสตรีโต้ตอบดังสะท้านกังวาน “ถ้าเจ้าไม่ตาย จะสามารถพัฒนาขั้นพลังและฝึกปรือทักษะยุทธ์ใหม่ ๆ!” สิ้นเสียงของสตรีลึกลับ เยี่ยฉวนซึ่งเดิมนอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้น เริ่มออกอาการเคลื่อนไหว ในไม่ช้าเขาพยายามยันกายลุกขึ้นยืน แม้ว่าจะปรากฏร่องรอยบาดเจ็บไปทั่วร่าง ทว่าก็ยังลุกขึ้นมายืนจนได้ !

ภายหลังจากยืนทรงตัวได้แล้ว เยี่ยฉวนเดินตรงไปหาโม่อวิ๋นฉี จากนั้นจึงแหย่ปลายเท้าเขี่ยเบา ๆ ที่สีข้างของคน “ไม่ต้องทำเป็นแกล้งตาย ลุกขึ้น !”

คนที่นอนนิ่ง หรี่ตาขึ้นมองข้างหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นเยี่ยฉวนจึงร้องถามอย่างข้องใจ “เจ้า… รู้ได้ยังไงว่าข้ายังไม่ตาย…” ทว่าทันทีที่โม่อวิ๋นฉีเปิดปากพูด โลหิตก็ทะลักออกจากปากพรวด

เยี่ยฉวนพูดค่อย ๆ “ตะกี้ข้าได้ยินเจ้าเพิ่งผายลมออกมายังไงล่ะ !”

โม่อวิ๋นฉี “…”

จากนั้นเยี่ยฉวนสำรวจดูคนอื่นต่อไป ทั้งไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อ ทั้งสองอาการร่อแร่ปางตาย… เห็นได้ชัดว่าหลี่เสวียนชาง ตั้งใจจะทรมาน จึงไม่ฆ่าพวกเขาในทันที !

ชายหนุ่มล้วงหยิบยาเม็ดโอสถเทพประสานและป้อนยาให้คนทั้งสองซึ่งอาการน่าเป็นห่วง ไป๋เจ๋อมองหน้าเยี่ยฉวนพลางกล่าวว่า “ข้าอยากเป็นคนแข็งแกร่งเหมือนอย่างเจ้า !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างเข้าใจและบอกว่า “ได้ แต่ไปหากางเกงนุ่งเสียก่อน !”

ได้ยินเช่นนั้นไป๋เจ๋อทะลึ่งพรวดขึ้นจากพื้น กางเกงที่เคยนุ่งติดกายบัดนี้ขาดรุ่งริ่งแทบไม่เหลือเนื้อผ้า จะว่าไปแล้วเขาเกือบไม่มีผ้าผ่อนติดอยู่บนตัวด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุให้เวลานี้คนร่างใหญ่กำลังอวดร่างเปลือยเปล่าต่อหน้าธารกำนัลโดยแท้ !

ไป๋เจ๋อ “…”

ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยฉวนหันไปมองจี้อันซื่อ และนางกำลังจับตามองมาเงียบ ๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับบ่าหญิงสาวบีบเบา ๆ จากนั้นจึงเดินกลับออกไป เขาห่อกำปั้นแสดงคารวะต่อสตรีลึกลับผู้ซึ่งกำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ

เสียงแผ่วเบาดังจากขอบฟ้า “การเป็นผู้ถูกรังแก เจ้ารู้สึกเช่นไร ?”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนตอบเสียงขื่นขม “ไม่ดีเลยขอรับ !”

สตรีลึกลับจึงกล่าวต่อไปว่า “ถึงอย่างไรเจ้าจะต้องถูกรังแกอยู่ดี จงจำไว้ เมื่อใดที่ปล่อยให้อารมณ์มีอำนาจเหนือจิตใจ ความโง่เขลาจะครอบงำ อันที่จริงคนเราบางครั้งอาจอารมณ์เสียบ้าง เช่นเดียวกันเมื่อข้ารู้สึกอยากฆ่า ข้าก็จะฆ่า…” ทันใดนั้นกระบี่สีเขียวสะบัดออกไปทางด้านข้าง

ฉับ !

ไม่ห่างออกไป หนึ่งศีรษะของมือสังหารจากดินแดนอันธกาลซึ่งทรุดอยู่กับพื้น พลันปลิวหลุดจากบ่า !

เยี่ยฉวน “…”

เสียงกังวานใสแผ่วเบาดังขึ้นมาอีก “รู้สึกดีหรือยัง ?”  เยี่ยฉวนพยักหน้าหงึก

อีกฝ่ายจึงพูดว่า “แต่เจ้าไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้ !”

ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนโพล่งขึ้นว่า “ข้ายังหนุ่ม !”

“หนุ่ม งั้นหรือ ?” สตรีลึกลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ตอนที่อายุเท่ากับเจ้า ในยุคนั้นข้าเป็นผู้ไร้เทียมทานแล้ว !”

เยี่ยฉวน “…”

เสียงของสตรีตรงหน้ายังพูดต่อไป “ช่างเถอะ คนมหัศจรรย์อย่างข้า ทั่วทั้งจักรวาลนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว”

เยี่ยฉวน นิ่งเงียบหน้าหมอง…

ขณะนั้นเอง สตรีลึกลับโบกมือข้างขวา แล้วกระบี่สีเขียวปักติดกับร่างดวงวิญญาณของหลี่เสวียนชางก็ได้ลอยมา

“ทักษะนี้เรียกว่า ‘หนึ่งกระบี่พิฆาตวิญญาณ’ อย่างที่ชื่อได้บอกไว้แล้ว กระบี่จะมุ่งเป้าหมายที่วิญญาณ ถ้าเป้าหมายเป็นร่างดวงวิญญาณ พลังทำลายล้างจะยิ่งทรงพลานุภาพ คราใดที่เจ้าต่อสู้กับมนุษย์ธรรมดา เจ้าจะสามารถแยกดวงวิญญาณออกจากร่างกายของศัตรู”

“คนทั่วไปมักแข็งแกร่งแต่เพียงร่างกาย ทว่าวิญญาณของมันกลับอ่อนแอ ทักษะหนึ่งกระบี่พิฆาตวิญญาณจึงพุ่งเป้าหมายที่ความอ่อนแอนั่นเอง เมื่อใดที่เจ้าใช้ทักษะนี้ เมื่อนั้นทั้งมารและปีศาจจะถูกทำลายสิ้น !”

เยี่ยฉวนนัยน์ตาเป็นประกาย “ดีจริง ข้าจะฝึกขอรับ !”

อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ “ทักษะกระบี่ชนิดนี้ล้วนเกิดจากความเชื่อมั่นต่อหนทางแห่งกระบี่ ในขณะที่เจ้ามีความเชื่อมั่น เจ้าก็ต้องเข้าใจตนเองด้วย จะเป็นการดีหากคนเรามีความเข้าใจตนเอง แต่หากไม่… ฉะนั้นเจ้าจำต้องพยายามเข้าใจมันให้ได้ ! อย่าทำให้ข้าขายหน้า !”

เยี่ยฉวน “…”

จากนั้น คนพูดสะบัดมือเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ฉับ ! กระบี่สีเขียวพุ่งวาบเข้าปะทะวิญญาณของหลี่เสวียนชาง ทันใดนั้นหลี่เสวียนชางหายวับไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย

เมื่อเห็นดังนั้น ทั้งจ้าวหอชั้นเก้าและเจียงเยว่เทียนตัวสั่นสะท้าน พลันเสียวสันหลังวาบ สตรีเบื้องหน้าสังหารคนได้อย่างหน้าตาเฉย ราวกับเชือดเป็ดเชือดไก่อย่างนั้น !

คนที่เพิ่งถูกสังหารเป็นถึงยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์ ! แต่กลับยังต้องมาดับดิ้นเช่นนั้น… ฉับพลันนั้น กระบี่สีเขียวทะยานวาบออกสู่เบื้องหน้าที่จ้าวหอชั้นเก้าและเจียงเยว่เทียน

ทันทีที่เหลือบเห็นกระบี่ สีหน้าของสองผู้ชราสลดวูบ ทันใดนั้นเสียงเยี่ยฉวนดังขัดขึ้นว่า “ท่านอะ…”

เสียงพูดแผ่วเบาแต่สะท้านกังวาน “วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าพวกเขา”

เท่านั้นเอง จ้าวหอและเจียงเยว่เทียนถอนใจเฮือกออกมาพร้อมกันอย่างโล่งหัวอก

คนพูด ๆ ต่อไปว่า “ถ้าไม่ได้พวกเจ้า เขาคงต้องดับดิ้นสิ้นชื่อ… เอาล่ะ” เสียงแว่วแผ่วเบาจางหาย นางประกบนิ้วมือพลันลำแสงชนิดหนึ่งพุ่งออกจากกระบี่ตรงไปยังร่างของทั้งสองคน

ทันใดนั้นทั้งสองคนสั่นสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันเสียงพูดของสตรีลึกลับดังขึ้นมาว่า “ประกายแสงแห่งกระบี่สามารถระงับพลังชี่ทีมีมลทินภายในกายของพวกเจ้าได้ อีกหนึ่งปีให้หลังพลังของเจ้าจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น !”

ชายชราทั้งสองนิ่งขึงด้วยตกตะลึงต่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินกับหู จากนั้นคนทั้งคู่ทรุดเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงสั่นระรัวด้วยความยินดี ! “ขอบพระคุณขอรับ !”

ในเวลานั้นบังเกิดประกายแสงชนิดหนึ่งสว่างขึ้น ณ ขอบฟ้าไกลออกไป และไม่นานต่อมาชายชราสวมชุดดำพลันปรากฏออกแก่สายตาของทุกคน

ทันใดนั้น ชายชราสวมชุดดำพุ่งตรงเข้ามาที่ลานกว้าง สายตาอันเหี่ยวย่นกวาดไปตามร่างไร้วิญญาณที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้า พลันสายตาไปหยุดที่ร่างไร้ศีรษะของชายชราสวมผ้าคลุมสีขาว

พลันหันขวับมองไปที่สตรีลึกลับสวมชุดขาวซึ่งลอยตัวในอากาศไม่ไกลออกไป ก่อนถามเสียงเครียดแฝงเจตนามุ่งร้าย “เจ้าหรือ คนที่กระทำการอาจหาญสังหารคนของสถานศึกษาฉางมู่แห่งต้าอวิ๋น ?”

จ้าวหอชั้นเก้าและเจียงเยว่เทียน สีหน้าผิดปกติไปทันที

หลังจากนิ่งงันชั่วเสี้ยววินาที สตรีลึกลับพลันถามเสียงหงุดหงิดว่า “ข้าดูไม่เหมือนยอดยุทธ์เลยหรือ ?”

ทุกคน “…”