ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 1 แม้ได้พบเจอก็น่าจะไม่รู้จัก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตอนนี้เป็นกลางคืนดึกสงัด แสงสับสนอลหม่านที่กระจายฟุ้งเป็นกลุ่มก้อนมองไม่ชัดในที่ราบทุ่งหญ้านั้นยังแขวนอยู่บนเส้นแนวราบของพื้นดิน ฉะนั้นกอต้นอ้อที่อยู่บริเวณนั้นก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย สวีโหย่วหรงลืมตาตื่นขึ้นมา หินผลึกในมือกลายเป็นฝุ่นผงที่ใช้การไม่ได้แล้ว ปราณแท้ในร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงฝืนพยุงกดทับพิษร้ายแรงในเลือด ไม่อาจแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

นางขยับจิตสัมผัสเล็กน้อย เก็บปีกที่ขาวบริสุทธิ์ นิ้วมือสัมผัสโดนอะไรบางอย่าง เพิ่งนึกถึงผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่ตนเองช่วยเหลือเอาไว้

นิ้วมือแตะลงบนบริเวณชีพจรของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนนั้น หลังจากนั้นสักพักคิ้วของนางก็เลิกขึ้นมาเล็กน้อย แสดงความคาดไม่ถึงเล็กน้อย…จำนวนปราณแท้ของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนนี้มีเพียงน้อยนิด อีกทั้งยังไม่ใช่ผลกระทบที่ได้รับหลังจากการต่อสู้ ตัวเส้นลมปราณเองเหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อย…พรสวรรค์การบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะบรรลุถึงขั้นทะลวงอเวจีได้ และได้รับสิทธิ์ในการเข้าสวนโจว สามารถจินตนาการได้ว่าการบำเพ็ญเพียรของคนนี้แน่นอนว่าต้องบากบั่นอย่างยิ่ง

เสียดายที่โชคของคนผู้นี้ย่ำแย่เกินไป สวนโจวกว้างใหญ่เช่นนี้ เขากลับพบเจอกับปีกคู่ของหนานเค่อ ทั้งตัวบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ต้องตายสถานเดียว อีกสาเหตุหนึ่งที่โชคของคนนี้ย่ำแย่เกินไป ยังเป็นเพราะสถานการณ์ของนางในตอนนี้ ตอนนี้นางปราณแท้ผลาญหมดสิ้น เลือดไหลจำนวนมาก ไม่อาจจะใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์รักษาเขาได้โดยสิ้นเชิง

นางยืนขึ้นมา มองไปยังส่วนลึกของราบทุ่งหญ้าแล้วส่ายหัวไปมา หันหลังมองไปยังทิศตรงข้ามอีก เห็นเพียงฝั่งตรงข้ามที่ต้นอ้อกำลังไหวเอน บริเวณไม่ไกลก็คือพื้นดิน สถานที่ที่ไกลกว่านั้นอีกคือป่าไม้แห่งหนึ่ง มองเห็นหน้าผาภูเขาได้เลือนรางอยู่บ้าง ถ้าเดินตามหน้าผาภูเขาสายนี้ น่าจะสามารถเดินไปถึงสวนป่าที่ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์รวมตัวกัน นางยังจำได้ว่าหน้าผาภูเขาสายนั้นมีถ้ำภูเขาจำนวนมาก

มองเห็นป่าลึกลับของหน้าผาภูเขาที่อยู่ตรงข้ามดงต้นอ้อ นางเงียบขรึมไม่เปล่งวาจา ใช่ เพียงแค่จำได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัด สายตาของนางในตอนนี้ยังคงพร่ามัว

นางรู้สึกว่าคนผู้นั้นน่าสงสารมาก ทว่าที่จริงแล้วสถานการณ์ของตัวเองย่ำแย่ยิ่งกว่า เพื่อพาคนนี้หลบหลีกการไล่ฆ่าของหนานเค่อ นางเผาเลือดแท้หงส์สวรรค์ไปจำนวนมากเกินไป พิษร้ายในเลือดตอนนี้เริ่มแพร่กระจายแล้ว สายตารวมถึงประสาทสัมผัสทั้งห้าล้วนได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ถ้าไม่อาจออกจากสวนโจวได้ทันเวลา นางคงต้องตายตรงนี้จริงๆ

ที่ยอดเทือกเขาอัสดง ดวงวิญญาณของหงส์สวรรค์ฟื้นตื่นแล้ว แต่จะมีความหมายอะไร? ดวงวิญญาณที่ไม่มีกายหยาบ ยิ่งใหญ่แล้วอย่างไร ใช้ทำอะไรได้? เปลวไฟที่ไม่มีเชื้อเพลิงจะยังคงอยู่ได้อย่างไร? ตนเองจะตายตรงนี้ไหม?

ลมในที่ราบทุ่งหญ้าพัดผ่านเข้ามาเบาๆ กระทบผิวน้ำ ใต้หญ้าป่าและต้นอ้อจึงลดอุณหภูมิลง มีความหนาวเย็นเล็กน้อย สีหน้าของนางยังคงสงบ มือสองข้างที่ตกลงข้างกระโปรงกลับสั่นเล็กน้อย ราวกับอยากจับลมเหล่านี้ไว้ กลับไม่สามารถจับเอาไว้ได้ นางมองป่าเขาในสวนโจวอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าทำไม…จึงค่อยๆ…ค่อยๆ โมโหขึ้นมา

ก่อนที่เมื่อวานจะออกจากป่าวจีเขตบรรพตเป็นครั้งสุดท้าย นางได้รู้จากศิษย์พี่สาวเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ว่าเฉินฉางเซิงและหนุ่มเยาว์วัยเผ่าหมาป่าจู่ๆ ก็จากไป มองทิศทางแล้วน่าจะไปยังต้นแม่น้ำสายนั้น ในฐานะที่เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทางทิศใต้รุ่นต่อไป นางรู้ความลับจำนวนมาก แม้จะไม่แน่ใจ แต่พอจะรู้เกินกว่าครึ่งว่าทางเข้าสระกระบี่น่าจะอยู่ส่วนหนึ่งของต้นแม่น้ำสักแห่งหนึ่ง

เป้าหมายของเฉินฉางเซิง แท้จริงแล้วก็คือสระกระบี่

จากจุดกำเนิดของแม่น้ำ ยอดเทือกเขาอัสดง และต้นอ้อแห่งนี้ มีระยะทางห่างกันหลายร้อยลี้ ห่างกันไกลปานนี้ แม้เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วสามารถบินได้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไล่มาถึงตรงนี้

นี่ก็คือสาเหตุที่นางตอนนี้โมโห

นางไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเฉินฉางเซิง นางไม่เคยชอบคู่หมั้นที่ไม่เคยเจอหน้ากันคนนี้ แต่อย่างไรระหว่างนางและคนผู้นั้นมีหนังสือสัญญาสมรสฉบับหนึ่ง ฉะนั้น เป็นธรรมดาที่จะความคิดคาดเดาบ้าง กระทั่งมีความคาดหวัง

เคยมีความคาดหวัง ตอนนี้ถึงได้ผิดหวัง

นางมองป่าเขาของสวนโจว มองไปยังทิศทางของต้นแม่น้ำที่ไกลโพ้น เกิดความโมโหต่อเจ้าคนบ้านั่นมากมายอย่างน่าประหลาด “ไม่มีการมองภาพรวมแม้แต่นิดเดียว รู้แต่จะช่วยเหลือคนรักษาผู้ป่วย มองไม่ออกเลยหรือว่านี่เป็นกลลวงของเผ่ามาร? การกระทำอวดเก่งเหมือนอารมณ์เด็กน้อย ช่างทำให้โมโหโกรธาจริงๆ”

ความวุ่นวายในสวนโจวแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับเผ่ามาร นางนึกถึงจุดนี้ เมื่อคืนถึงได้เดินตามเส้นทางบนภูเขาที่โดดเดี่ยวเส้นนั้นขึ้นเขาอัสดง ถ้าเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วและนางมีความคิดที่เหมือนกัน รวมพลังเป็นหนึ่งเดียว บวกกับเหลียงเสี้ยวเซียวและชีเจียนที่เป็นเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพสองคนนี้ แน่นอนว่าสามารถตีกลลวงของเผ่ามารแตกได้

แต่เฉินฉางเซิงไปหาสระกระบี่ ดังนั้นนางจึงมีความเห็นเช่นนี้

นางไม่ได้นึกถึง บนเทือกเขาอัสดง หนานเค่อก็มีความเห็นต่อเขาเช่นนี้เหมือนกัน

“สิ่งที่ซวงเอ๋อร์พูดนั้นไม่ผิดจริงๆ ภายนอกมองดูแล้วซื่อสัตย์ซื่อตรง เมตตามีคุณธรรม เวลาสำคัญ ถึงจะเห็นความเย็นชาเห็นแก่ตัวอย่างหมดจดถึงไขกระดูกได้ ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ยังรู้สึกว่าสระกระบี่สำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่…ทำไมเจ้าบ้าคนนั้นถึงได้วิ่งวุ่นในสวนโจวสองคืนเหมือนกับเรา ช่วยเหลือคนจำนวนมากเพียงนี้ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย?”

สวีโหย่วหรงขมวดคิ้วคิดสักพัก สุดท้ายได้รับคำตอบหนึ่ง…เฉินฉางเซิงตั้งใจทำเรื่องพวกนั้น ช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้ตนเห็น

“คิดอยากจะใช้วิธีการเช่นนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่ง…ความรู้สึกดีจากข้าอย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นพวกเสแสร้งแกล้งทำจริงๆ”

อารมณ์ของนางมีความแปลกไปเล็กน้อย จึงไม่คิดเรื่องนี้อีก หันกายมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกตัวเองช่วยเหลือเอาไว้คนนั้น เพราะว่าสายตาพร่ามัว นางต้องก้มศีรษะลง ขยับเข้าไปใกล้ ถึงจะมองดวงตาเส้นคิ้วของคนผู้นั้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เห็นเพียงคนผู้นั้นขณะที่สลบอยู่ คิ้วขมวดแน่น ยังคงให้ความรู้สึกที่ซื่อสัตย์หนักแน่นต่อผู้คน ทำให้ผู้คนอยากเข้าหาใกล้ชิดกับเขา อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี

“มองดูแล้วน่าจะเป็นคนซื่อสัตย์ อายุเพียงนี้ก็ทะลวงอเวจีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์คนสำคัญที่เป็นลูกรักของพรรคไหนสักพรรค อาจยังเป็นสามขั้นแรกของการสอบใหญ่ปีนี้ น่าเสียดายที่กลับต้องเป็นศพในที่รกร้าง”

นางมั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถช่วยชีวิตคนผู้นี้ได้ รู้สึกน่าเสียดายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่ายหัวอย่างเวทนาเล็กน้อย จากนั้นยื่นมือลูบไปมาบนตัวของคนผู้นั้น อยากจะหาสิ่งของบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ยืนยันตัวตนของเขา คาดไม่ถึงว่ากลับหาอะไรไม่เจอเลย มีเพียงกระบี่สั้นที่ธรรมดามากเล่มหนึ่ง บนนั้นก็ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ

นางจำได้ว่าตอนที่ช่วยเหลือคนในเมื่อคืน เหมือนจะเห็นในมือของคนนี้ถือศาสตราที่ประหลาดมากชิ้นหนึ่ง รูปร่างเหมือนกับเป็นร่ม กลับไม่รู้ว่าตอนนี้ไปไหนแล้ว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไร หันหลังเดินไปยังพื้นดินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทุ่งต้นอ้อที่โบกพัด กระโปรงเปียกด้วยน้ำทะเลสาบ หลงเหลือร่องรอยสายหนึ่งบนทะเลทรายที่นอกป่าไม้

……

……

ในขณะที่เงาสะท้อนของสวีโหย่วหรงหายไปในป่าไม้ เงาดำที่ผอมเรียวอย่างมาก ตกลงในดงต้นอ้อปานอสนีบาต

กกอ้อขยับตามลม ไอพลังปราณสายหนึ่งเกิดขึ้นและถูกเก็บไปอย่างรวดเร็ว เด็กผู้หญิงกระโปรงดำคนหนึ่ง ปรากฏออกมาที่ข้างกายเฉินฉางเซิง บริเวณเอวของนางมีหยกหรูอี้ชิ้นหนึ่งผูกไว้

สีหน้าดรุณีสาวไม่แยแส นัยน์ตาเป็นแนวดิ่ง มืดดำเหมือนกับกระโปรงของนาง ทำให้ไฝแดงที่หว่างคิ้วมีความสดสวยมากขึ้น

นางคือมังกรดำ เฉินฉางเซิงเรียกนางว่าจี๊ดจี๊ด บางทีก็เรียกนางว่าหงจวง (แต้มแดง)

นางมองเฉินฉางเซิงที่สลบอยู่ ส่วนลึกของสายตาที่ไม่แยแสเหมือนจะปรากฏความกังวลและความไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่หน้าผาภูเขาฝั่งนู้นหรือ? เหตุใดจู่ๆ ก็มาปรากฏอยู่ตรงนี้ได้?”

ในฐานะที่เป็นมังกรดำยักษ์น้ำค้างแข็งที่สูงส่งแข็งแกร่ง แม้จะเป็นเพียงวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง เพียงแค่มองปราดเดียว นางก็เห็นสภาพพันบาดร้อยแผลภายในร่างกายเฉินฉางเซิงแล้ว ถึงได้รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือ เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

“ทำไมเจ้าถึงอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้น?”

นางมองไปยังป่าไม้ที่อยู่ตรงข้ามทุ่งต้นอ้อ เลิกคิ้วด้วยความไม่ค่อยพอใจ คิดว่า “เฉินฉางเซิงเจ้าคนโง่ นางตกลงอะไรกับเจ้าไว้? เพศหญิงเผ่ามนุษย์จะเชื่อใจได้อย่างไร?”

สำหรับนางแล้ว เผ่ามนุษย์หลงเหลือความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดให้กับนาง นอกจากหวังจือเช่อผู้หายไปนานแล้ว ก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเทียนไห่ผู้หญิงคนนี้

สวีโหย่วหรงเหมือนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเทียนไห่เมื่อสมัยวัยเยาว์มาก บวกกับเรื่องราวงานหมั้นที่เฉินฉางเซิงเคยเล่า นางจึงมีความรู้สึกระมัดระวังต่อสวีโหย่วหรงโดยธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกที่ดีใดๆ

นางเห็นภาพที่สวีโหย่วหรงช่วยชีวิตเฉินฉางเซิงไว้เมื่อคืน จากนั้นจึงค้นหาในสวนโจวเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้เจอสองคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเห็นสวีโหย่วหรงจากไปอีกครั้ง

ยิ่งเพิ่มความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ของนางที่มีต่อสวีโหย่วหรง

ในมุมมองของนาง เมื่อคืนสวีโหย่วหรงแม้จะเสี่ยงอันตรายก็ยังช่วยเฉินฉางเซิงเอาไว้ เป็นเพราะว่าในตอนนั้นมีเผ่ามารคอยจับจ้องอยู่โดยรอบ แต่ตอนนี้สวีโหย่วหรงทิ้งเฉินฉางเซิงไว้รอคอยความตายตรงนี้ เป็นเพราะว่าไม่มีใครเห็น ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะว่าสวีโหย่วหรงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเองเป็นอย่างมาก ให้ความสำคัญยิ่งกว่าความเป็นตายของผู้อื่นกระทั่งความเป็นตายของตัวเอง

ผู้หญิงเช่นนี้ ช่างเย็นชาเสแสร้งน่าขยาดจริงๆ

นางนึกถึงจดหมายฉบับนั้นที่เฉินฉางเซิงเคยเล่าให้ตัวเองฟังในถ้ำใต้ดิน นึกถึงอักษรสี่คำนั้น บนใบหน้าเล็กๆ ปรากฏความเกลียดชังออกมา

ทิ้งเฉินฉางเซิงไว้ในดงกกอ้อแห่งนี้ แล้วตนเองก็จากไป ทำให้เขาค่อยๆ รอคอยความตายอย่างไร้ความช่วยเหลือ นี่ก็คือกระทำตัวให้ดีที่นางเคยพูดไว้ในจดหมายหรือ?

นางไม่มีความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อเผ่ามนุษย์ นอกจากเฉินฉางเซิง ฉะนั้นตอนนี้นางมีความโมโหเล็กน้อย อีกทั้งนางเคยลงทุนหมดหน้าตักจำนวนมากไว้บนตัวของเฉินฉางเซิง การลงทุนที่แท้จริง นางไม่ยอมให้เฉินฉางเซิงตายไปเช่นนี้ มิฉะนั้นสิ่งลงทุนเหล่านั้นก็จะเสียเปล่า ฉะนั้นสิ่งที่นางต้องทำเป็นอันดับแรกในตอนนี้ คือทำให้เฉินฉางเซิงมีชีวิตอยู่ต่อไป

ทำอย่างไรถึงจะสามารถรักษาบาดแผลในร่างกายของเฉินฉางเซิงได้?

นางนึกถึงวิธีหนึ่ง ในหว่างคิ้วจู่ๆ ก็มีกลิ่นอายอับอายโกรธเคืองปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด ไฝที่แดงก่ำนั้นสว่างขึ้นมาเล็กน้อย

“จำไว้ เจ้าติดหนี้ชีวิตข้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว” นางมองเฉินฉางเซิงที่สลบอยู่พลางพูดอย่างคับแค้น

พูดประโยคนี้เสร็จ นางโค้งตัวลงโอบเฉินฉางเซิงเอาไว้ พิงอยู่ในอกของเขา จากนั้นสลายกลายเป็นแสงสีดำเข้าไปยังในร่างกายของเขา

ไอพลังปราณที่เยือกเย็นอย่างยิ่งสะอาดอย่างยิ่งสายหนึ่ง กระจายออกมาจากช่องอกของเฉินฉางเซิง จากนั้นค่อยๆ เก็บกลับไปในร่างกายของเขา

ผิวนอกอวัยวะภายในของเฉินฉางเซิงที่มีบาดแผลเรียวเล็กจำนวนมาก เลือดกำลังไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกไอพลังปราณอันเย็นเยือกอย่างยิ่งสายนี้แช่แข็งเอาไว้ เลือดค่อยๆ หยุดไหล ในขณะเดียวกันการไหลเวียนเลือดของเขาและการหายใจก็ค่อยๆ เริ่มช้าลง

ผิวน้ำในดงกกอ้อเปลี่ยนเป็นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง

หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงถูกแช่แข็งจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งเส้นหนึ่งเช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน ในข้อมือของเขามีหรูอี้หยกเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

หลังจากนั้นสักพัก เสียงคนเดินเหยียบน้ำดังขึ้นมา

สวีโหย่วหรงเดินออกมาจากในป่า หิ้วชายกระโปรง เดินมาถึงในดงต้นอ้อ กลับไม่รู้ว่าเมื่อครู่นางไปทำอะไรมาบ้าง

มองเกล็ดน้ำแข็งชั้นนั้นที่หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิง รับรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมที่เย็นกว่าก่อนหน้านี้ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

แต่รอบๆ ดงต้นอ้อ เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น

นางหยิบถาดดาวโชคชะตาออกมา นิ้วมือเหมือนจะขยับไปมาบนนั้นอย่างไม่ตั้งใจทีสองที

ถาดดาวโชคชะตาไม่ได้ให้สัญญาณร่องรอยใดๆ เส้นสายเหล่านั้นวุ่นวายซับซ้อนอย่างมาก ก็เหมือนกับท้องฟ้าค่ำคืนในสวนโจวที่ไม่มีดวงดาว มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

บาดแผลของนางหนักหนาสาหัสเกินไป ไม่อาจเดินกลับไปถึงสวนป่าที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์รวมตัวกันได้ เช่นนั้นต่อจากนี้ควรไปที่ไหนดี?

นางยื่นมือไปจับที่คาดเอวของเฉินฉางเซิง เดินไปยังชายฝั่งตรงข้าม เหมือนกับหิ้วกระเป๋าใบหนึ่ง

เนื่องจากรูปร่างที่ไม่สูงของนาง ใบหน้าของเฉินฉางเซิงจึงจุ่มลงไปในน้ำเป็นครั้งคราว เกิดเป็นน้ำกระเซ็นในดงต้นอ้อ ทำให้ปลาที่ว่ายน้ำเกิดความแตกตื่น

คนคนนี้วันๆ กินอะไรเนี่ย มองดูไม่อ้วน ทำไมหนักขนาดนี้?

นางคิดเช่นนี้