ตอนที่ 1615 มังกรวารีสีเงินกับแมลงประหลาด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“มารลิงแปลงกาย! มิน่าล่ะแดนวิญญาณที่เข้ามาที่นี่ครั้งนี้ล้วนมาเพื่อสิ่งนี้ ไม่สิ คนเหล่านี้ไม่รู้ประโยชน์ที่แท้จริงเห็ดเซียน” เสียงตกตะลึงดังออกมาจากปากของคางคกยักษ์ ท่าทางตกตะลึงไม่น้อย

 

 

“ไม่ว่าอย่างไร ห้ามให้สิ่งนี้ตกอยู่ในมือของพวกเขา แต่เรื่องต้อนรับบรรพชนก็ไม่อาจล่าช้าได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้ากลับไปรวบรวมมารอสูรมากลุ่มหนึ่ง ไปตามหาเห็ดเซียนมาให้ข้า จากความเข้าใจเทือกเขาของพวกมัน จะต้องสำเร็จแน่ แต่ต้องจำไว้ ต้องเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ อย่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของมารหลายตาและแขนโลหิตรู้เรื่องนี้ นอกจากนี้หากพบคนของแดนวิญญาณคนอื่นๆ ก็ฆ่ามันให้หมด แม้ว่าพวกเราและระดับสุดยอดของแดนวิญญาณเหล่านั้นจะมีพันธสัญญาต่อกัน แต่ขอแค่ไม่เอิกเกริกเกินไป หายสาบสูญไปสักยี่สิบสามสิบคนก็ไม่เป็นไร จากฐานะของคนเหล่านั้นจะออกโรงเพราะคนเหล่านี้หรือไม่?” หลังจากบุรุษปีกยักษ์ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ออกคำสั่งด้วยความเย็นชา

 

 

“ในเมื่อนายท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะกลับไปในทันที ยุทธภัณฑ์ในมือของคนเผ่ามนุษย์เหล่านั้นน่าจะตามรอยเห็ดเซียนได้ แม้ว่าจะมีผลแค่ในรัศมีร้อยลี้ แต่หากแย่งมาได้ทั้งหมด ก็มั่นใจว่าจะตามหาเห็ดเซียนได้มากยิ่งขึ้น ยุทธภัณฑ์ของอีกคนก็ถูกนายท่านทำลายไปแล้ว คนที่ข้ากลืนลงไป กลับยังสมบูรณ์ไร้ที่ติ มอบให้นายท่านก่อนก็แล้วกัน” คางคกยักษ์ก้มหน้าลง อ้าปากออก พ่นจานอาคมเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา

 

 

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ก็ไม่ฆ่าคนของแดนวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้แล้ว ขอแค่มารหลอมยุทธภัณฑ์ชนิดนี้ เห็ดเซียนตัวนั้นก็ตกอยู่ในกำมือของข้ามากขึ้นแล้ว เจ้าไปจัดการเถิด” บุรุษปีกยักษ์ได้ยินพลันดีใจ และยกมือขึ้นดูดจานอาคมเข้ามาในมือ

 

 

“รับคำบัญชา!” คางคกยักษ์ตอบรับอย่างนอบน้อม ร่างกายอันใหญ่โตโถมลงไปที่ทะเลหมอกด้านล่าง แล้วจมหายไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

บุรุษปีกยักษ์เก็บจานในมือ ปีกคู่ยักษ์กระพือปีก กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้า

 

 

สองวันต่อกลางอากาศในพื้นที่ประหลาด มีต้นไม้ยักษ์สูงระฟ้ายี่สิบสามสิบจั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ชนต่างเผ่าสองกลุ่มกำลังพุ่งแหวกอากาศไล่ตามกันไป

 

 

ด้านหน้าคือสำเภาวิญญาณสีเหลืองอ่อนลำหนึ่ง ความยาวสามสี่จั้ง ด้านบนมีคนยืนอยู่สามคน ล้วนเป็นบุรุษสวมชุดคลุมสีฟ้า หนึ่งในนั้นนั่งสมาธิอยู่ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บหนัก อีกสองคนก็มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด กำลังกระตุ้นสำเภาวิญญาณอย่างสุดฤทธิ์

 

 

ส่วนผู้ที่ไล่ตามมากลับเป็นรถเหาะประหลาดทรงกรวย ตัวรถเป็นสีแดงโลหิต และถูกไอสีเทากลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ มีเงาภูตเปล่งแสงอยู่ลางๆ

 

 

บนรถเหาะมีเงาร่างคนเพียงเงาเดียว สวมชุดเกราะสงครามสีเงิน มีหนามสีโลหิตเต็มไปหมด ดูสะดุดตายิ่งนัก

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษแซ่กุยที่เกือบจะถูกหานลี่จัดการในหอเมฆาอัสนีแล้ว

 

 

คนผู้นี้เอาสองมือกอดอก มองสำเภาวิญญาณที่บินหนีอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนลึกของนัยน์ตามีจิตสังหารฉายวาบอยู่

 

 

ทั้งสองหนึ่งบินหนีสองไล่ตาม ชั่วพริบตาก็บินออกมาในรัศมียี่สิบสามสิบลี้

 

 

แต่ไม่ว่าสมบัติเหาะเหินหรือว่าลมปราณประจำร่าง บุรุษแซ่กุยล้วนเหนือกว่าทั้งสามคนที่อยู่ด้านหน้า ชั่วครู่ก็ร่นระยะห่างออกจากสำเภาวิญญาณด้านหน้าไปได้มาก

 

 

“เหตุใดสหายต้องบีบบังคับกันเช่นนี้ เราสามคนและนายท่านไม่มีความแค้นต่อกัน ยอมถอยออกจากเทือกเขา และมอบจานอาคมแกะรอยให้ หวังว่าจะปล่อยพวกเราไป!” ผู้ที่อยู่บนสำเภาวิญญาณส่งเสียงอันดังๆไปด้านหลังด้วยความร้อนใจ

 

 

“ปล่อยเจ้าไป? แน่นอนว่าได้ เอาโลหิตบริสุทธิ์และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเจ้ามอบให้ข้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” บุรุษแซ่กุยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงไม่ดังนัก อยู่ไกลกันถึงเพียงนี้แต่กลับชัดเจนนัก

 

 

“เจ้าคือปีศาจบำเพ็ญเพียรที่ผู้คนประณามดังคาด!” ผู้พูดได้ยินก็อดที่จะเอ่ยปากก่นด่าไม่ได้

 

 

แต่ทั้งสามคนย่อมยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ทันใดนั้นทั้งสองก็ไม่เพียงแค่ยืนขึ้นพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากระตุ้น แม้แต่คนที่นั่งสมาธิอยู่ก็ยังไม่สนใจอาการบาดเจ็บ สองมือกดไปที่ด้านล่างพร้อมกัน และเริ่มบรรจุลมปราณลงไปในสำเภาวิญญาณ

 

 

เช่นนั้นความเร็วของสำเภาวิญญาณเพิ่มขึ้น ไม่ต่างอะไรกับรถเหาะด้านหลังนัก แม้กระทั่งยังเร็วกว่าหนึ่งส่วน

 

 

แต่ไม่รอให้ผู้ที่อยู่ด้านหน้าทั้งสามเผยสีหน้าดีใจออกมา บุรุษแซ่กุยก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ผิวของเกราะสงครามมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม เท้าเหยียบอยู่บนรถเหาะ

 

 

ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น ไอสีเทาบนรถเหาะทรงกรวยสีแดงโลหิตพลันหมุนวนอย่างรุนแรง ชั่วครู่ก็กลายเป็นก้อนเมฆขนาดสองสามหมู่ จากนั้นเสียงคำรามของมังกรก็ดังอึกทึกออกมาจากด้านใน

 

 

ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหน้าได้ยินสถานการณ์เบื้องหลัง ต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แล้วมองไปด้านหลัง

 

 

ผลคือทั้งสามคนอดที่จะขวัญกระเจิงไม่ได้

 

 

เพราะว่าในหมอกเมฆาสีเทามีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ มังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็หายวับไป ครู่ต่อมาเหนือสำเภาวิญญาณก็มีไอวิญญาณปรากฏขึ้น มังกรวารีเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นพายุที่ชั่วร้ายก็พัดเข้ามา

 

 

ทั้งสามคนพลันตกตะลึง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดา ที่ร่ายอาคมก็ร่าย ที่ชูมือก็ชู ชั่วพริบตาก็สำแดงสมบัติเจ็ดแปดชิ้นออกมา กดลงไปยังร่างของมังกรวารีอย่างโหดเ**้ยม

 

 

แต่แววตาของมังกรวารีพลันเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ แค่อ้าปากออก ก็พ่นไข่มุกสีแดงโลหิตที่มีเสียงเพรียกอันไพเราะดังออกมา

 

 

ไข่มุกหมุนติ้วๆ ฉับพลันนั้นก็ปล่อยลำแสงสีดำแดงโลหิตออกมา

 

 

สมบัติทั้งหมดโจมตีโถมเข้ามาถูกลำแสงสีโลหิตกวาดไป ทยอยกันเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญแล้วลดลงมาจากกลางอากาศ

 

 

ลำแสงสีโลหิตถือโอกาสกวาดลงไปด้านล่าง

 

 

ตัวสำเภาวิญญาณมีลำแสงสีเหลืองอ่อนปรากฏขึ้น แต่เมื่อสัมผัสกับลำแสงสีโลหิต ชั่วพริบตาก็ละลายหายไปราวกับเทียนไข

 

 

จากนั้นลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ปกคลุมร่างของทั้งสามบนสำเภาวิญญาณเอาไว้

 

 

เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

 

 

ไม่รู้ว่าลำแสงสีโลหิตนั้นมีอิทธิฤทธิ์อันใด ชั่วพริบตาที่ลำแสงวิญญาณปกป้องร่างของผู้สวมชุดคลุมสีฟ้าทั้งสามคนถูกละลาย ก็กลายเป็นโลหิตขนาดเท่ากำปั้นสามกลุ่ม

 

 

มังกรวารีสีเงินอ้าปากออก หมอกลำแสงหมุนวนพุ่งออกมา ดูดโลหิตสามกลุ่มเข้าไปในท้อง

 

 

ยามนี้ผิวของมังกรวารีสีเงินมีลำแสงสว่างวาบ กลายร่างเป็นมนุษย์

 

 

นั่นก็คือบุรุษแซ่กุย

 

 

เขาชูมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยดวงตาที่เย็นชา เช็ดคราบโลหิตที่มุมปาก จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังส่วนลึกของเทือกเขาแวบหนึ่ง

 

 

กลายเป็นลำแสงหลีกหนี สายรุ้งสีแดงโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกไป

 

 

……

 

 

หมอกบางๆ สีขาวขมุกขมัว ราวกับปกคลุมระหว่างเทือกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

เทียบกับไอมารสีดำเทารอบๆ หมอกบางๆ ผืนนี้ดูสะดุดตายิ่งนัก!

 

 

หานลี่และพวกทั้งสามลอยอยู่ด้านหน้าม่านหมอก เงียบขรึมไม่ปิดปากต่างมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

 

 

“จะต้องผ่านทางนี้ อ้อมไปมิได้หรือ?” เซียนเซียนเอ่ยปากถาม

 

 

“เกรงว่าจะไม่ได้ สองสามวันก่อนพวกเราอ้อมฝูงผึ้งมารที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นไปแล้ว พวกเราเสียเวลาไปสองวันแล้ว ห้ามอ้อมไปอีก เกรงว่าคงไม่ทันเวลา” เย่ว์จงขมวดคิ้วมุ่น

 

 

“ทว่าตามที่สหายเย่ว์กล่าว ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีหมอกเหล่านี้ ยามนี้มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเกรงว่าคงแปลกไปหน่อย” เซียนเซียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

 

“แปลกตรงไหน! หมอกเหล่านี้มีจิตสังหารผสมอยู่ กว่าครึ่งคงมีมารอสูรที่แข็งแกร่งอะไรสักอย่างซ่อนตัวอยู่ แม้กระทั่งหมอกเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่มารอสูรตัวนั้นสร้างขึ้น” หานลี่เหม่อมองไปยังส่วนลึกของหมอกบางๆ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ

 

 

“ทว่าพี่หานอยู่ที่นี่ ต่อให้มีมารอสูรระดับสูงอะไรก็ไม่มีทางรอดไปได้แน่” เซียนเซียนมองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วฉีกยิ้มบางๆ ออกมา

 

 

“ท่านเซียนเซียนพูดผิดแล้ว หากในนี้มีแค่มารอสูรตัวสองตัว ผู้แซ่หานย่อมจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา หากมีมารอสูรระดับสูงอาศัยอยู่เป็นฝูง ข้าก็ทำได้เพียงรักษาชีวิตตนเองเท่านั้น” หานลี่สั่นศีรษะ เผยท่าทีเยือกเย็นออกมา

 

 

“มารอสูรเป็นฝูง! จะเป็นไปได้อย่างไร? มารอสูรระดับสูงอาศัยอยู่ที่นี่น้อยมาก” รอยยิ้มของเซียนเซียนแข็งค้าง แล้วฝืนยิ้มออกมา

 

 

“มันก็ไม่แน่ ไอหมอกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แม้จะเบาบาง แต่ก็ไม่เหมือนหมอกที่มารอสูรตัวสองตัวจะมารวมตัวกันได้ ไม่เป็นมารอสูรที่แข็งแกร่งมาก ก็เป็นที่อยู่ของฝูงมารอสูรระดับสูง” เย่ว์จงแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย

 

 

เมื่อได้ยินเย่ว์จงกล่าวเช่นนั้น หญิงสาวเผ่าผลึกก็มีสีหน้าดูไม่ได้ไปเล็กน้อย หลังจากผ่านไปชั่วครูุ่ถึงได้เอ่ยขึ้น

 

 

“สหายทั้งสองคิดจะทำอย่างไร หรือว่าคิดจะกลับ?”

 

 

“กลับไปย่อมไม่คุ้มค่า ความหมายของข้าคือ ยามที่เข้าไปด้านในต้องระมัดระวังให้มาก หากพบกับอันตรายอะไร ก็จะได้มีการรับมือที่รอบคอบ แน่นอนว่าหากเป็นสิ่งที่พวกเราไร้พลังต้านทาน เพื่อชีวิตน้อยๆ ก็มีเพียงต้องกลับไปทางเดิมแล้ว” หานลี่เอ่ยพลางฉีกยิ้ม

 

 

เซียนเซียนมีสีหน้าผ่อนคลายลง เย่ว์จงกลับหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

 

 

“ท่านอาวุโสหาน ตัดสินใจจะเข้าไปข้างใน?”

 

 

“ไม่ผิด การเดินทางครั้งนี้สำคัญต่อผู้แซ่หานเช่นกัน ไม่อาจถอยง่ายๆ ได้ หรือว่าสหายเย่ว์ขลาดกลัวแล้ว” หานลี่เหลือบตามองเย่ว์จงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าติดหนี้บุญคุณกับท่านอาวุโส หากท่านอาวุโสอยากเข้าไป ชนรุ่นหลังย่อมไม่เสียดายที่จะใช้ชีวิตตอบแทน” เย่ว์จงสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่นาน สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยขึ้น

 

 

หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

 

 

เซียนเซียนได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มออกมา และเอ่ยด้วยเสียงไพเราะว่า

 

 

“ในเมื่อสหายทั้งสองตัดสินใจแล้ว พวกเราก็เข้าไปข้างในกันเถิด หากมารอสูรที่แข็งแกร่งอะไรจริงๆ สหายทั้งสองก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้า แม้ว่าข้าจะมีพลังยุทธ์ตื้นเขิน แต่ก็มั่นใจว่ามีวิธีเอาตัวรอดอยู่บ้าง พอที่จะดูแลตนเองได้”

 

 

“มีคำพูดของท่านเซียนเซียน งั้นก็ยิ่งไม่มีปัญหา” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งนำเข้าไปในม่านหมอก

 

 

จากความสามารถของเขาในยามนี้ แม้ว่าจะพบกับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ก็มีวิธีเอาชีวิตรอด แน่นอนว่าย่อมไม่ได้สนใจหมอกบางๆ ตรงหน้ามากนัก

 

 

หลังจากที่หญิงสาวเผ่าผลึกและเย่ว์จงมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าย่อมไล่ตามหลังไปติดๆ

 

 

สายรุ้งสีเขียวบินไปกลางอากาศต่ำๆ อย่างไม่รวดเร็วและไม่เชื่องช้า หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีกำลังมองไปรอบๆ ไม่หยุด แววตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงอยู่ลางๆ เผยความลึกลับออกมาเป็นอย่างมาก

 

 

เขาในยามนี้บรรจุพลังปราณจำนวนไม่น้อยลงไปในลูกตาแล้ว สำแดงอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณออกมาเต็มอัตรา

 

 

ในเวลาเดียวกันโล่ใบเล็กใบหนึ่งก็วนโคจรอยู่รอบๆ กาย เปล่งแสงระยิบระยับออกมา มีอักขระปรากฏขึ้นลางๆ

 

 

นั่นก็คือโล่ผลึกวารีที่เขาใช้วัตถุดิบจากแมลงเม่าประหลาดหลอมขึ้น!

 

 

ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เขาไม่คิดจะปรานีใดๆ

 

 

ส่วนเย่ว์จงที่ตามมาด้านหลัง สองเท้าเหยียบอยู่บนกรงล้อ ในมือกลบัมีกล่องสีทองประหลาดๆ เพิ่มขึ้นมา

 

 

ฝากล่องเปิดอก ด้านในมีแมลงประหลาดตัวสีขาวอ้วน แต่ผิวเป็นจุดสีเงิน

 

 

แมลงตัวนี้รูปร่างคล้ายรังไหม แต่หัวกลับมีลวดลายหน้าผีประหลาดๆ อยู่ มันเคลื่อนไหวไปมาดูสมจริง ราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น