ตอนที่ 442 ฝ่าบาท

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 442 ฝ่าบาท

เหมียวเสี่ยวเสี่ยวแห่งลัทธิจันทราได้ไปยังผิงหลิง ส่วนผู้อาวุโสม่อเหวินได้เดินทางไปยังแคว้นอี๋ บัดนี้คาดว่าน่าจะเดินทางไปถึงแคว้นฮวงแล้ว

พวกเขาเดินออกมาจากในมุมมืด พวกเขาคิดจะทำอันใดกันแน่ ?

ค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ฟู่เสี่ยวกวนนอนมิหลับ

ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยถูกเหมียวเสี่ยวเสี่ยวทำร้าย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากยิ่งนัก

พวกเขาทำเพื่อปกป้องชาวบ้านที่เขตผิงหลิงและชวูอี้ และเพื่อปกป้องพิมพ์เขียวทางธุรกิจที่กำลังพัฒนาในพื้นที่ทั้งสองแห่งนั้น

หากบรรดาชาวบ้านในที่แห่งนั้นถูกลัทธิจันทราสังหาร หากมองในมุมเล็กนั้นพื้นที่การก่อสร้างของเขาจะต้องหยุดลง หากมองในมุมมองกว้างนั้น จุดทดลองของราชวงศ์หยูจะต้องถูกยืดระยะออกไปอีก

เขาเคาะนิ้วชี้ลงไปบนโต๊ะ ส่งเสียงดังออกมาท่ามกลางความเงียบสงบของยามราตรี

สายตาของเขาทอดมองไปยังทะเลสาบซวนอู่ ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ได้ปรากฏภาพบุคคลหนึ่งขึ้นมา องค์ชายสี่หยูเวิ่นชู !

ก่อนหน้านี้ลัทธิจันทราจะแอบทำการต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เพื่อรอวันเวลาแก้แค้นคราใหญ่

แต่นับจากที่หยูเวิ่นชูเดินทางไปยังซีหรง ลัทธิจันทราก็ก้าวออกมาได้อย่างกล้าหาญมากยิ่งขึ้น

หมายความว่าหยูเวิ่นชูได้ร่วมมือกับลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ?

จากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแล้วนี่มีความเป็นไปได้สูงมากยิ่งนัก เจ้าหมอนั่นถูกบีบบังคับให้ออกไปจากที่จินหลิงแห่งนี้ เขาจะนิ่งเฉยได้เยี่ยงไรกัน !

และบัดนี้กองทัพดาบเทวะจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนคนและยังต้องฝึกฝนต่ออีก เมืองซีหรงนั้นอยู่ไกลจนเกินไปและหนทางก็ลำบากลำบน บัดนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสมกับการโจมตีเมืองซีหรง

หากเนื้อร้ายชิ้นนี้ยังมิถูกกำจัด ก็จะเป็นสิ่งกวนใจไปตลอด

นโยบายใหม่กำลังผลักดันในเขตการค้าทั้งสิบหกเมือง หากมีหนูเหล่านี้เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ต่อให้มีเกราะป้องกันดีเพียงใด ก็อาจจะป้องกันไว้มิได้

ต่อให้พวกเขามิได้กระทำการใหญ่ แต่การรบกวนหลายต่อหลายคราเช่นนี้ ผู้ใดจะสบายใจได้ลงกัน ?

หากว่าบรรดาพ่อค้าผู้ลงทุนเหล่านั้นพบเข้ากับเรื่องที่น่าสะเทือนขวัญ แล้วพากันอพยพหนีไป นโยบายใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็คงจะสูญเปล่า

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น ก็ได้มีใครบางคนเดินเข้ามา เขาผู้นั้นคือถังเชียนจวินนั่นเอง

เขาเดินทางมายังจวนฟู่ได้สิบกว่าวันแล้ว และหลายวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย เขาจึงทำได้เพียงมองจากที่ไกล ๆ มิได้เอ่ยอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน

จากการจับตาตรวจสอบในหลายวันมานี้ เขาได้เปลี่ยนมุมมองฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่ เป็นจริงดังที่ว่าสรรพสิ่งอย่าได้ดูเพียงรูปภายนอก ของแท้ของจริงนั้นอยู่ด้านใน เพียงแต่เขามิได้ซอมซ่อก็เท่านั้น

เขาได้เดินทางไปยังสถานทูตราชวงศ์อู๋ประจำแคว้นหยู แต่ทว่าจนบัดนี้ก็ยังมิได้รับคำสั่งจากจักรพรรดินีหรือไทเฮาเลย ฟู่เสี่ยวกวนมีบทบาทสำคัญในหมู่ชน ราชวงศ์อู๋ย่อมรู้ดี แต่เหตุใดทางราชวงศ์อู๋จึงมิเรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนกลับไปกัน ?

ถังเชียนจวินครุ่นคิดแต่ก็มิเข้าใจเท่าใดนัก เขาคิดเพียงแค่ว่าพระราชโองการอาจจะกำลังถูกส่งมาก็เป็นได้

“กระหม่อม ถังเชียนจวิน คารวะฝ่าบาท ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “มา ๆ ๆ นั่งดื่มเป็นเพื่อนข้าทีเถิด”

“กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

ถังเชียนจวินนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรินสุรามาสองจอก จากนั้นก็ส่งให้ถังเชียนจวินหนึ่งจอก ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ช่วงนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าดี ข้าละเลยเจ้าไป อย่าได้นำไปใส่ใจ”

“ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้ว กระหม่อมมิบังอาจ ! ”

“ตัวเจ้านั้นอะไรก็ไปดีไปหมด เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่…” ฟู่เสี่ยวกวนยกเเก้วสุราขึ้นดื่มกับถังเชียนจวินแล้วกล่าวว่า “อีกทั้งบัดนี้ข้ากลับมายังราชวงศ์หยูแล้ว คำเรียกว่าฝ่าบาท เจ้าจงลืมไปเสีย เรียกข้าว่าคุณชายแทนเถอะ”

ถังเชียนจวินตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ ! ฝ่าบาททรงเป็นองค์ชายในราชวงศ์อู๋ กระหม่อมนั้นยังคงเป็นคนของพระองค์ตลอดไป ข้อปฏิบัติเหล่านี้จะละเลยมิได้ มิว่าจะอยู่ที่ใด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เอาเถอะ เจ้าเป็นคนหัวแข็งเช่นนี้ข้าคงจะกล่อมมิเป็นผล

“เจ้าจะเดินทางกลับแคว้นเมื่อใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้น

แต่คาดมิถึงว่าถังเชียนจวินจะยกมือขึ้นคารวะแล้วตอบว่า “การที่กระหม่อมเดินทางมาครานี้ เนื่องจากจะรบกวนถามฝ่าบาทว่า จะเสด็จกลับแคว้นอู๋เมื่อใด ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นทันพลัน เรื่องนี้เขามิเคยคิดถึงมาก่อน

เขารินสุราอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็รินให้ถังเชียนจวินเช่นกัน

“เสี่ยวถัง เรื่องเป็นเช่นนี้ เจ้าจงดูเถิดข้ามีครอบครัวแล้ว ที่แห่งนี้คือบ้านของข้า แน่นอนว่าราชวงศ์อู๋ก็คือบ้านของข้าเช่นกัน แต่ลูกเมียข้าอยู่ที่นี่ ข้าคงจะต้องคอยดูแลคนในครอบครัวก่อนใช่หรือไม่ ? ”

ถังเชียนจวินชะงักไปชั่วครู่ “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ราชวงศ์อู๋จึงจะเป็นบ้านของฝ่าบาท พระราชวังอีกทั้งคฤหาสน์จิ้งหู จึงจะเป็นบ้านของฝ่าบาท”

เรื่องนี้เอ่ยเยี่ยงไรก็มิจบมิสิ้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิอยากจะเอ่ยอันใดกับถังเชียนจวินอีก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“หลิงเอ๋อร์…จักรพรรดินีได้ส่งเจ้ามาที่แคว้นฮวงเพื่อปกป้องกองทัพดาบเทวะ บัดนี้กองทัพได้เดินทางกลับมาจากแคว้นฮวงอย่างปลอดภัยแล้ว หน้าที่ของเจ้านับว่าสำเร็จแล้ว เจ้าเป็นถึงทหารรักษาพระองค์ของจักรพรรดินี ความปลอดภัยของจักรพรรดินีจึงจะเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของเจ้า ! ”

ถังเชียนจวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยด้วยความตั้งใจว่า “การที่จักรพรรดินีทรงขึ้นครองบัลลังก์นั้น เนื่องจากทุกคนคิดว่าฝ่าบาททรงถูกหิมะกลบฝังเอาไว้ แต่บัดนี้ในเมื่อฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่ กระหม่อมก็ควรจะพาฝ่าบาทกลับไปยังเมืองกวนหยุน ส่วนเรื่องตำแหน่งจักรพรรดินั้น แม้ว่าจักรพรรดินีจะทรงขึ้นครองราชย์ แต่ทว่ายังมิได้รับตราประทับอันแสดงถึงอำนาจ…”

เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ดังนั้นกระหม่อมหวังว่า ฝ่าบาทจะทรงกลับไปรับอำนาจของจักรพรรดิ เพื่อปกครองราชวงศ์อู๋ ! ”

เจ้านี่ช่างหัวดื้อเสียจริง !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าปวดหัวเสียยิ่งกว่าเรื่องลัทธิจันทราเสียอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะมิเอ่ยถึงเรื่องนี้กับถังเชียนจวินอีก จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วทอดมองออกไปยังท้องนภาของยามราตรี “ดึกดื่นแล้ว พรุ่งนี้ข้ายังมีประชุมราชวงศ์ตอนเช้า เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด”

ถังเชียนจวินยังคงจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน เขามิเข้าใจอย่างแท้จริงว่าองค์ชายผู้นี้คิดจะทำอะไรอยู่กัน !

เขาเป็นบุตรชายของจักรพรรดิเหวิน แต่เขากลับมิอยากเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ แต่กลับอยากเป็นราษฎรธรรมดาของราชวงศ์หยู ใต้หล้านี้ยังคงมีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ ? หรือฝ่าบาททรงมีปัญหาด้านสมองกัน ?

“กระหม่อม…รับทราบพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปได้สองก้าวก็ได้หันหลังกลับมาแล้วเอ่ยกับถังเชียนจวินว่า “บัดนี้ข้าขอออกคำสั่งแก่เจ้า”

“ฝ่าบาทเชิญตรัสพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“รุ่งขึ้นเจ้าจงเดินทางไปยังค่ายทหารชายแดนเหนือ แล้วพาองครักษ์ชุดแดงทั้งหมดเดินทางกลับไปยังเมืองกวนหยุน ดูแลปกป้องหลิงเอ๋อร์ให้ดี แล้วบอกกับนางว่า…พี่จะเป็นที่พึ่งและคอยสนับสนุนเจ้าตลอดไป ! ”

เมื่อกล่าวจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินจากไป ถังเชียนจวินมองดูร่างที่ค่อย ๆ หายลับไปอย่างช้า ๆ เนิ่นนานเสียทีเดียวกว่าจะได้สติกลับคืนมา ความหมายเมื่อครู่ของฝ่าบาทก็คือ ฝ่าบาททรงสนับสนุนองค์จักรพรรดินี แต่จะมิยอมกลับไป !

ขณะเดียวกัน ณ วังเตี๋ยอี๋ ราชวงศ์หยู

องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าได้คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ “ลูกคิดดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกขอเดินทางไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองทัพดาบเทวะ ลูกนั้นชื่นชมทักษะการฝึกฝนทหารของฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง ดังนั้น…พรุ่งนี้ลูกจะเดินทางไปพร้อมกับไป๋ยู่เหลียน”

“ไร้สาระ ! ไร้สาระสิ้นดี ! ”

ฮ่องเต้เดินเอามือไขว้หลังไปมา อยู่ ๆ เขาก็ได้หยุดฝีเท้าลงแล้วครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้ตรัสออกมาว่า “ข้าให้เวลาเจ้า 2 ปี หลังจาก 2 ปีแล้วเจ้าต้องกลับมายังราชวัง แล้วนั่งในตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าเสีย ! ”