บทที่ 325.2 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 325.2 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ProjectZyphon

คนทั้งสองมองไปทางภูเขากู่หนิว ความเคลื่อนไหวเวลาที่อวี๋เจินอี้กับหวงถิง ปรมาจารย์ใหญ่สองคนที่สามารถยึดครองสามอันดับแรกของใต้หล้าได้อย่างมั่นคงตีกัน ยิ่งนานก็ยิ่งรุนแรงดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนใหญ่มักจะเป็นแสงกระบี่หนาแน่น ยาวได้ถึงสิบกว่าจั้ง หรืออาจถึงขั้นหลายสิบจั้ง

คงเป็นเพราะรู้สึกว่าสถานที่ที่มีเฉินผิงอันและจ้งชิวยืนเคียงกันถึงจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า

ฮองเฮาโจวซูเจิน รัชทายาทเว่ยเหยี่ยน และยังมีองค์หญิงเว่ยเจิน รวมไปถึงแม่ทัพผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งถึงพากันเดินขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ตรงดิ่งมาหาคนทั้งสองภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาของกองทหารรักษาพระองค์

แน่นอนว่าโจวซูเจินย่อมไม่กล้าวางมาดต่อหน้าจ้งชิว ทั้งสองฝ่ายจึงทักทายกันตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนเว่ยเจินที่เห็นราชครูก็ยิ่งมีท่าทางระมัดระวัง ช่วยไม่ได้ จ้งชิวคือหนึ่งในอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาของนาง ครั้งแรกในชีวิตที่องค์หญิงอย่างนางโดนตีก็เป็นฝีมือของราชครู ตอนนั้นแม่นางน้อยร้องไห้น้ำหูน้ำตาอาบหน้า พอไปหาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ที่กำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ คนหนึ่งบอกว่าตีได้ดี อีกคนหนึ่งบอกว่าตีเบาไป หลังจากนั้นมาเว่ยเจินก็หวาดกลัวราชครูจ้งเหมือนอีกฝ่ายเป็นสัตว์ดุร้าย

แม่ทัพผู้เฒ่าสามารถเดินทางมาพร้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ทั้งสามคนนี้ได้ คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นผู้มีคุณูปการซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยน และเมื่อจ้งชิวเห็นเขาก็ถึงกับทักทายโดยการเรียกชื่อของอีกฝ่ายโดยตรง “ลวี่เซียว เจ้ามาได้อย่างไร?”

แม่ทัพผู้เฒ่าสวมเสื้อเกราะ เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาแค่นเสียงตอบว่า “ทหารรักษาการณ์ที่อยู่นอกเมือง เกินครึ่งล้วนเป็นพวกมือดีที่ข้าสอนมาเองกับมือ ข้าถอดเกราะกลับบ้านแล้วยังไง ไม่อาจลงสนามรบบุกทะลวงขบวนรบของศัตรู เรื่องนี้ข้ายอมรับ แต่ความสามารถในการโยกย้ายกองกำลังทหาร ข้าลวี่เซียวยังไม่เคยทิ้งไป! พวกเจ้าห้ามไม่ให้ข้าออกจากเมืองก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังจะไม่อนุญาตให้ข้ามามองส่งพวกเขาอีกหรือ?!”

ผู้เฒ่าตบหัวกำแพงเมือง พูดอย่างมีโทสะ “ปรมาจารย์ในยุทธภพที่ชอบบินไปบินมาอย่างพวกเจ้า ทำไมถึงไม่ยอมหยุดอยู่เฉยๆ กันบ้าง? สู้กันจบไปครั้งหนึ่งก็มีมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เสียงดังหนวกหูจะตายอยู่แล้ว ทำเอาชาวบ้านเกินครึ่งเมืองนอนหลับไม่สนิท โดยเฉพาะเจ๋อเซียนสวมชุดขาวอะไรนั่นที่ถูกคนเอามาคุยโวเสียจนลึกลับมหัศจรรย์ บอกว่ามารเฒ่าติงพ่ายแพ้ใต้น้ำมือของเขา แถมยังหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ทำเอาหลานชายหลานสาวสองคนของข้าซักถามไม่หยุดว่าข้ารู้จักเขาไหม คนหนึ่งบอกว่าจะกราบเฉินเซียนซือเป็นอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชา อีกคนหนึ่งบอกว่าอยากเห็นวีรบุรุษผู้เกรียงไกร ข้าจะไปรู้จักนายท่านใหญ่อย่างเขาได้ยังไง หากข้าได้พบเจ้าคนสวมชุดขาวผู้นั้นจะต้องชี้หน้าด่าให้เขาแทบกระอักเลือดตายไปเลย อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ชื่อของเขานั่น ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ …”

จ้งชิวกลั้นยิ้ม

ผู้เฒ่าโมโหจนขนคิ้วตั้ง กำลังจะอ้าปากด่าต่อ จ้งชิวกลับโบกมือ “พอแล้วน่า ฮองเฮา องค์รัชทายาทและองค์หญิงต่างก็อยู่ที่นี่ เจ้าลวี่เซียวหยุดพ่นน้ำลายเสียทีเถอะ”

แม่ทัพผู้เฒ่าเก็บเสียงอย่างขัดใจ

เฉินผิงอันไม่พูดอะไร ในใจคิดว่าแม่ทัพผู้เฒ่าคนนี้นิสัยตรงไปตรงมา แต่อาจจะเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย

ลวี่เซียวเห็นสายตาจากคนหนุ่มผู้นั้น แม่ทัพผู้เฒ่าที่กำลังหงุดหงิดจึงถลึงตาใส่ “ไอ้หนู เจ้ามองอะไร?! กล้าหัวเราะข้างั้นรึ?”

เฉินผิงอันไม่ได้โต้เถียง แค่ปลดกาเหล้าลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ

แม่ทัพผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นี้คือคนในยุทธภพ ในเมื่อสามารถยืนอยู่กับจ้งชิวได้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่มีวรยุทธไม่ธรรมดา นิสัยใจคอก็คงไม่แย่สักเท่าไหร่ จึงพูดเตือนอย่างหวังดีว่า “ไอ้หนู ดูจากหน้าตาท่าทางของเจ้า พอจะมีกลิ่นอายของตำราอยู่บ้าง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ไม่ใช่ว่าข้าอาศัยที่ตนมีอายุมากกว่าเที่ยวดูถูกคนอื่นหรอกนะ แต่ข้าลวี่เซียวน่ะมองคนได้แม่นยำนัก ขอแนะนำเจ้าจากใจจริงว่าวันหน้าอย่าท่องอยู่ในยุทธภพอีกเลย ไม่หวังว่าเจ้าจะไปสร้างคุณความชอบในสนามรบ ไม่ต้องให้เจ้าฝังร่างเคียงข้างม้าคู่ใจ แค่หัดเรียนรู้จากราชครูจ้งให้มาก แน่นอนว่าเรียนรู้เฉพาะด้านอริยะแห่งวรรณกรรมของเขาก็พอ ไอ้ด้านปรมาจารย์ฝ่ายบู๊ผายลมสุนัขอะไรนั่น มีดีตรงไหนกัน…”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก ได้แต่เค้นรอยยิ้ม พยักหน้ารับอย่างกระอักกระอ่วน แล้วดื่มเหล้าอีกคำ

นอกจากนิสัยขี้หงุดหงิด พูดจาไม่ค่อยน่าฟังแล้ว อันที่จริงจิตใจของผู้เฒ่าไม่เลวเลย

องค์หญิงเว่ยเจินที่อยู่ด้านข้างเอามือปิดปากแอบหัวเราะตลอดเวลา

นางรู้ตัวตนของคนหนุ่มผู้นี้ ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่หอสุราตรอกจ้วงหยวนก็เคยพบเขามาแล้วครั้งหนึ่ง

แต่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่รู้แค่ว่าคนหนุ่มที่สังหารมารเฒ่าติงผู้นั้นสวมชุดสีขาว สามารถบังคับกระบี่ รู้วิชาเซียน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่เขาป่าวประกาศว่าจะชี้หน้าด่านั้น อยู่ไกลจนสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงแค่เบื้องหน้าเท่านั้น

ต่อให้เป็นแม่ทัพผู้เฒ่าที่รังเกียจยุทธภพอย่างมาก ทว่าพอได้เห็นแสงกระบี่พร่างพราวพุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆจากตรงภูเขากู่หนิวกับตาตัวเองก็ยังอดทอดถอนใจกับตัวเองไม่ได้ “สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ”

ทว่าแม่ทัพผู้เฒ่าที่มีนิสัยดื้อดึงกลับไม่ยอมปล่อยโอกาสใดๆ ที่จะได้สั่งสอนคนหนุ่มผู้หลงเดินทางผิดคนนั้นไป จึงหันหน้าไปพูดกับอีกฝ่ายว่า “เห็นหรือยัง นี่ต่างหากถึงจะเป็นมาดของปรมาจารย์ เจ้าต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะมีขอบเขตได้เท่านี้? ให้เวลาเจ้าหนึ่งร้อยปีก็คงทำไม่ได้กระมัง? เพราะฉะนั้นละทิ้งด้านบู๊หันกลับมาเอาดีด้านบุ๋นเสียเถอะ หากวันใดที่คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว ยินดีทิ้งพู่กันมาเป็นสมัครเป็นทหารก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ขอแค่ตอนนั้นข้ายังไม่ลงโลงไปเสียก่อน เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะช่วยแนะนำเจ้าด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะกองทหารกล้ากองไหนของแคว้นหนันเยวี่ยน เจ้าก็เลือกได้ตามสบาย!”

แม่ทัพผู้เฒ่าพูดน้ำลายแตกฟอง

เฉินผิงอันเช็ดใบหน้า ถอนหายใจ ได้แต่บอกชื่อตัวเองออกไป “ข้าชื่อเฉินผิงอัน”

ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ชื่อเฉินผิงอันแล้วอย่างไร เจ้าไม่ได้แซ่จ้งสักหน่อย คนที่เป็นขุนนางใหญ่ในแคว้นหนันเยวี่ยนเรา มีใครบ้างที่ข้าไม่รู้จัก…”

แม่ทัพเฒ่าพลันหยุดพูด ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ชูนิ้วโป้งออกมา แสร้งพูดเหมือนคนโง่งม “ชื่อดี!”

จากนั้นผู้เฒ่าก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาขยับเดินไปหยุดอยู่ข้างกายจ้งชิวเงียบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับออกไป จนกระทั่งไปหยุดอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทที่อยู่ห่างที่สุด

แม่ทัพผู้เฒ่าคิดว่าช่วงนี้จะไม่พูดอะไรอีก เขาจะฝึกการห้ามพูด

เฉินผิงอันมองศึกที่ภูเขากู่หนิวอีกพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไปก่อนล่ะ”

แน่นอนว่าไม่มีใครขัดขวาง

ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา หลังจากพอจะมองสายสนกลในจากศึกใหญ่นั้นออก จ้งชิวก็พูดปลงอนิจจังด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านี้โอกาสแพ้ชนะยังอยู่ระหว่างห้าต่อห้า ตอนนี้กลับไม่มากเท่าเขาแล้ว”

โจวซูเจินยังคงมองอะไรไม่ออก รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนก็พอๆ กัน

แม่ทัพเฒ่าลวี่เซียวและองค์หญิงเว่ยเจินก็ยิ่งสับสนมึนงง

ลวี่เซียวกล่าวอย่างอัดอั้น “ราชครู เขาไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”

จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ขอแค่คืนนี้เฉินผิงอันยินดีมาปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมือง อวี๋เจินอี้ก็ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีกแล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็หันหน้าไปมอง ถอนหายใจอยู่ในใจ ไหนบอกว่าจะไม่สนเรื่องใดแล้วไม่ใช่หรือ?

……

ตอนที่เฉินผิงอันกลับมาถึงบ้านพักอย่างเงียบเชียบ ฟ้ายังไม่ทันสาง

หลายวันมานี้คนจิ๋วดอกบัวนอนขดตัวอยู่ในชุดคลุมอาคมจินหลี่ตลอดเวลา มันนอนหลับสนิทฝันหวาน เฉินผิงอันจึงไม่ได้เอาจินหลี่กลับคืนมา

เข้ามาในห้องก็สังเกตเห็นว่าลมหายใจของเจ้าตัวน้อยมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ มันเปลี่ยนท่านอนใหม่ เฉินผิงอันจึงช่วยขยับกระชับชายแขนเสื้อของจินหลี่เข้ามาให้

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เด็กหญิงร่างผอมแห้งนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก พิงประตูห้องนอนหลับ แม้ในยามหลับฝัน นางก็ยังขมวดคิ้ว

ดูจากท่านอนของนาง เฉินผิงอันถึงขั้นบอกได้ว่า นางที่อายุไม่มากเต็มไปด้วยความระแวดระวังต่อโลกใบนี้

เฉินผิงอันกำสองมือเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ รอคอยให้ฟ้าสว่างเงียบๆ

นักพรตเฒ่าพลันมาปรากฏตัวยืนอยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่ง

นักพรตเฒ่าพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ในเมื่อเจ้าสะพายกระบี่ปราณยาวของเฉิงชิงตู ข้าจึงแหกกฎปล่อยให้เจ้าเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งเรือนกายและจิตวิญญาณ ส่วนข้อที่ว่าทำไมเจ้าถึงมา ข้าย่อมคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เพียงแต่ว่าจะให้ข้าช่วยเจ้าสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ หากจะบอกว่ายากก็ไม่ยาก แต่ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอกนะ”

นักพรตเฒ่ายื่นนิ้วชี้ไปยังห้องของเฉาฉิงหล่าง “ก่อนหน้านี้ได้ฟังบทสนทนาระหว่างเจ้ากับเด็กคนนั้น เกี่ยวกับหลักการเรื่องถูกผิดและก่อนหลัง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าต้องมีความเกี่ยวข้องกับซิ่วไฉเฒ่า ถึงอย่างไรคำกล่าวถึงเรื่องลำดับขั้นตอนของซิ่วไฉเฒ่าก็คือข้าที่รู้เป็นคนแรกของใต้หล้า สร้างบัญชีเลอะเลือนเอาไว้ ยังมีหน้าจะสั่งสอนคนรุ่นหลังอย่างผิดๆ!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตเฒ่าก็หัวเราะเสียงเย็น “ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะเพิ่มระดับความสูงของธรณีประตูขึ้นอีกนิด ถึงได้มีสถานการณ์ล้อมสังหารนั้นเกิดขึ้น อีกทั้งยังปล่อยให้ติงอิงพันธนาการวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นไว้ หากความสามารถของเจ้าไม่มากพอ มาตายอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นหากเจ้ายอมทิ้งกระบี่ปราณยาวเอาไว้ ข้าก็คงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเกินไปนัก ถึงขั้นยังจะปล่อยเจ้าไว้ที่นี่อีกหลายสิบปี มาอย่างไรก็ยังต้องกลับไปอย่างนั้น ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องร่างกายและจิตวิญญาณ ข้าไม่ถูกกับซิ่วไฉเฒ่าก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นมาระบายอารมณ์เอากับเจ้า เพียงแต่ว่ากฎก็ยังต้องเป็นกฎ”

เฉินผิงอันยิ้มฝืดเฝื่อน “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

นักพรตเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ภายหลังมียอดฝีมือของสำนักหยินหยาง แถมยังเป็นยอดฝีมือประเภทที่ฝีมือสูงมากคนหนึ่งลงมือหนึ่งครั้งอย่างคลุมเครือ เหยียบลงบนเส้นบรรทัดฐานของข้าพอดี ข้าจึงอดทนข่มกลั้น ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา ทว่าลูกศิษย์ของเขาที่เกิดมาก็มีร่างกายเป็นปลาหยินหยางไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เข้าสิงร่างฝานกว่านเอ่อร์สองครั้ง พยายามจะเตือนเจ้า บอกวิธีให้เจ้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าจึงทำให้สมบัติอาคมสองชิ้นที่เหลือบนร่างของเจ้าใช้งานไม่ได้”

เฉินผิงอันถาม “คือเมืองคนกระดาษแห่งนั้น แล้ว…แคว้นเป่ยจิ้น?!”

นักพรตเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ถือว่าเจ้าไม่โง่งมเกินไปนัก สองสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็นฝีมือของคนผู้นั้น น่าสนใจมากทีเดียว ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเขาถึงยินดีลงมือ เจ้าเคยเผชิญความยากลำบากด้วยน้ำมือของเขาหรือไม่?”

หน้าผากของเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดซึม

มาจากความรู้สึกหวาดกลัวจากใจจริง

ซึ่งเล็กน้อยกว่าความเป็นความตาย เพราะเรื่องของความเป็นความตาย ส่วนใหญ่มักจะตัดสินด้วยเวลาชั่วเสี้ยววินาทีที่ยกมือตวัดมีดลงเท่านั้น

ความหวาดกลัวนี้ของเฉินผิงอันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่มีแต่หมอกขาวโพลน เดินพลาดไปก้าวเดียวก็ร่วงหล่นลงไปในหุบเหว แล้วยังเห็นว่ามีคนผู้นั้นยืนอยู่ริมหน้าผา มองดูเขาตายด้วยสายตาเย็นชา

คนผู้นั้น

จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งนึกออก

เขาก็คือชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อๆ ที่เดินสวนไหล่กับเขาที่ป้อมอินทรีบิน ตอนนั้นชายฉกรรจ์ยังส่งยิ้มกว้างให้กับเขา

เป็นคนเดียวกับชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่ คนดีที่ยิ้มตาหยีให้ตนตอนเป็นเด็ก!

ตอนนั้นที่อยู่ป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันแค่รู้สึกว่าคุ้นหน้าอีกฝ่าย แต่ให้ตายก็นึกไม่ออก

สิ่งที่เฉินผิงอันจำได้ไม่ใช่โฉมหน้าของคนผู้นั้น แต่เป็นรอยยิ้มของเขา

ตั้งแต่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงใบถงทวีป

เฉินผิงอันยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก

นักพรตเฒ่าเอ่ยถาม “ในที่สุดก็นึกออกแล้วว่าเป็นใคร? ถ้าอย่างนั้นเข้าใจหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เหตุใดเขาถึงหวังดีบอกเตือนข้า นั่นเป็นเพราะไม่ต้องการให้ข้าเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาควบคุมไม่ได้ แล้วก็เพราะกริ่งเกรงท่านผู้อาวุโส ถึงได้ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้ง”

นักพรตเฒ่าอืมรับหนึ่งที “ดีกว่าคำว่าโง่เขลามานิดหนึ่ง อันที่จริงเจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้คนผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายกับเจ้า หาไม่แล้วด้วยโชคชะตาของเจ้า ไหนเลยจะพบเจอกับคนจิ๋วดอกบัวได้”

นักพรตเฒ่าถามอีก “ข้าทำลายสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ คนอื่นจะทำไม่ได้เลยจริงๆ หรือ? ทว่าเจ้าเพิ่งจะมารู้ความจริงเอาตอนนี้ ไม่รู้สึกแปลกบ้างเลยหรือไง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า กล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่เลย หากเป็นเมื่อก่อนก็ไม่มีทางรู้สึกแปลกใจ แต่เป็นความไม่แปลกใจเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทว่าเมื่อได้มาเดินอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนี้ เชื่อมโยงเขากับการเดินทางไกลสองครั้งก่อนหน้านั้น พบเจอคนและเรื่องราวมาหลากหลาย เรื่องที่เข้าใจก็มีไม่น้อย ดังนั้นจึงยิ่งไม่รู้สึกประหลาดใจ”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็พอจะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้วสิ”

เฉินผิงอันถาม “ข้าจะออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้เมื่อไหร่?”

นักพรตเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าควรจะถามก่อนว่าเมื่อไหร่ถึงจะออกไปจากแคว้นหนันเยวี่ยนได้”

คราวนี้ผู้เฒ่าไม่ได้แสร้งอุบไว้อีก “รอจนเรื่องในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนยุติลง ข้าจะพาเจ้าไปดูใต้หล้าแห่งนี้”

เฉินผิงอันปลดกาเหล้าลง ถือค้างไว้กลางอากาศ ไม่ได้เอาขึ้นมาดื่ม แต่สุดท้ายอดไม่ไหวจริงๆ จึงปลุกความกล้าถามว่า “ทำไม?”

นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “มรรคกถาของข้าผู้อาวุโสยิ่งใหญ่เทียมฟ้า อยู่ว่างก็เบื่อมากนี่นา”

—–