ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 3 ข้าต้องการ...ของเจ้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พรรคตะวันตกเป็นพรรคที่พิเศษมากในต้าลู่ ไม่ถือเป็นหนึ่งในนิกายหลวงเหนือใต้สักแขนงหนึ่ง เพราะว่าวิทยายุทธ์และการบำเพ็ญเพียรของพรรคนี้ไม่ได้ใช้การชำระกระดูกด้วยแสงดวงดาวเป็นพื้นฐาน แต่เป็นการใช้เพลิงปฐพีมาเป็นพลังวัตถุดิบ ซุ้มประตูทางเข้าของพรรคนี้อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ข้างภูเขาที่โดดเดี่ยวลูกหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรในพรรคน้อยมากที่จะปรากฏตัวออกมาสู่สายตาชาวโลก ไม่คิดว่าการเปิดสวนโจวปีนี้ จะมีคนมา

ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา น่าจะเป็นอย่างที่ผู้เฒ่ากล่าวไว้ ขนาดพรรคตะวันตกก็ยังไม่เคยได้ยิน แต่นางไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ในฐานะที่เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ในจิงตูของต้าโจวปีนั้น หรือว่าภายหลังอยู่ที่สถานศึกษาหนานซี นอกจากบำเพ็ญเพียรและแกะอ่านคัมภีร์สวรรค์ นางยังต้องเรียนรู้ความรู้ของแต่ละพรรคแต่ละสำนักในต้าลู่ ฉะนั้นนางรู้จักพรรคตะวันตก

นางยิ่งรู้จักผู้เฒ่าที่ชื่อว่าไป๋ไห่ เป็นผู้อาวุโสของพรรคตะวันตก ความสามารถแข็งแกร่ง บุคลิกนิสัย…เย็นชากระหายเลือด

“ที่แท้ก็เป็น…ผู้อาวุโสของพรรคตะวันตก”

เสียงของนางหยุดอยู่ระหว่างกลาง มองดูแล้วราวกับว่าไม่รู้จักลูกศิษย์ธรรมดาของพรรคตะวันตกผู้นี้ อีกทั้งยังพูดทวนอย่างมีมารยาทซ้ำอีกรอบ

ผู้อาวุโสไป๋ไห่แห่งพรรคตะวันตกผู้นั้นมองนางพลางรู้สึกน่าสนใจแล้วถามว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของพรรคไหน?”

สวีโหย่วหรงทำความเคารพ ตอบด้วยสีหน้าเคารพศรัทธา “ผู้เยาว์เป็นคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ไม่มีพรรค”

สีหน้าไป๋ไห่แปลกใจเล็กน้อย ราวกับไม่คิดว่าสาวน้อยผู้นี้เป็นคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ จากนั้นก็พูดว่า “ไปกันเถอะ”

พูดประโยคนี้เสร็จ เขาเดินไปหาสวีโหย่วหรงอย่างเป็นธรรมชาติมาก ราวกับเตรียมที่จะไปพยุงเฉินฉางเซิงที่นอนสลบไสลอยู่ในกองใบไม้ร่วงแทนนาง

“เจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโส”

พูดประโยคนี้เสร็จ สวีโหย่วหรงหิ้วเฉินฉางเซิงที่อยู่ในกองใบไม้ร่วงออกมา เดินไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน เหมือนกับสาวน้อยเด็กดีที่เชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโส

ไม่ว่าจะเป็นนางหรือไป๋ไห่ ล้วนไม่ได้สังเกตว่าหนังตาของเฉินฉางเซิงกระตุกเล็กน้อย คล้ายกับกำลังจะตื่นขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ตื่น

บนใบไม้ร่วงมีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น นั่นเป็นเสียงเหยียบทับของพื้นรองเท้า ทุกเสียงที่ดังขึ้น ก็แปลว่าได้ลดระยะห่างลง

ไป๋ไห่จู่ๆ ก็หยุดการก้าวเท้าลง พูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ นำเพื่อนคนนี้มาให้ข้าจัดการเถอะ”

สวีโหย่วหรงพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ขอบคุณผู้อาวุโสคุณธรรมสูงส่ง ข้าบาดเจ็บไม่หนัก ยังสามารถทนได้อยู่ ฉะนั้นไม่เป็นไร”

ตอนนี้ ระหว่างสองคนห่างประมาณสิบกว่าจั้ง

แต่ไม่มีใครเดินก้าวไปข้างหน้าแม้สักก้าว

เสียงกรอบแกรบแตกสลายของใบไม้ร่วงก็ไม่ดังขึ้นอีก ในป่าไม้กลับมาเงียบสงบอย่างไร้ที่เปรียบอีกครั้ง กระทั่งพูดได้ว่าเงียบเหงาไปทั่วทั้งแห่ง

ผ่านไปเป็นเวลานานมาก ในป่ามีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมาอีกครั้ง

สีหน้าของไป๋ไห่มีความน่าเสียดายเล็กน้อย มองนางพลางพูดว่า “ตั้งแต่พบเจอกันจนถึงตอนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง”

สวีโหย่วหรงมองเขาพลางพูดอย่างสงบว่า “เจ้าก็เช่นกัน”

ชัดเจนมาก นางไม่เรียกขานฝ่ายตรงข้ามว่าผู้อาวุโส คำว่าท่านก็เปลี่ยนเป็นเจ้า

ไป๋ไห่ยักคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยความไม่ค่อยเข้าใจว่า “ก่อนหน้านี้ระยะห่างประมาณร้อยกว่าจั้ง ท่านสามารถดึงธนูยิงข้า ทำไมถึงไม่? อย่าบอกว่าตอนนั้นท่านมองข้าไม่ออก”

อย่างแน่นอน เขาไม่ถือตัวในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส คำว่าเจ้าเปลี่ยนเป็นท่านที่เคารพ

สวีโหย่วหรงไม่ได้ทำการอธิบายใดๆ เพราะว่านางไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าปราณแท้ของตัวเองแห้งเหือดแล้ว ไม่อาจมั่นใจได้ว่าลูกธนูอู๋จะยิงสังหารผู้แข็งแกร่งระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายจากระยะไกลได้

ถ้าใกล้กว่านั้นหน่อย เหมือนกันกับตอนนี้ เพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใกล้เข้ามาอีกก้าว นางก็จะลองสังหารฝ่ายตรงข้าม แต่น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ก้าวเท้า

ซึ่งนางในตอนนี้แท้จริงแล้วรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก

ไป๋ไห่มองนางพลางถามว่า “ท่านมองความจงใจของข้าออกนานแล้ว?”

สวีโหย่วหรงสงบไม่พูดจา ก็เท่ากับว่ายอมรับ

ไป๋ไห่ถามว่า “เพราะเหตุใดเล่า? ข้าคิดว่าตัวเองแสดงได้ดีมาก”

คำตอบของสวีโหย่วหรงง่ายดายมาก “ความรู้สึก”

ไป๋ไห่ทอดถอนใจอย่างมาก ถอนหายใจพูดว่า “นี่น่าจะเป็นพรสวรรค์ในตำนาน”

พูดประโยคนี้เสร็จ เขาโบกฝ่ามือผ่านอากาศไปที่หน้าผากของสวีโหย่วหรงคราหนึ่ง

เปลวไฟสีแดงมืดปรากฏออกมาอยู่ข้างฝ่ามือของเขา

ขณะฝ่ามือเคลื่อนไปข้างหน้า หนึ่งฝ่ามือกลายเป็นหลายสิบฝ่ามือ คลุมสี่ทิศแปดทางของสวีโหย่วหรง

ท้องฟ้าในป่าไม้ล้วนกลายเป็นสีแดงมืด

เปลวไฟที่สีแดงมืดเหล่านั้น เทียบกับเปลวไฟธรรมดาเหมือนจะร้อนกว่าหน่อย ราวกับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่แท้จริงชนิดหนึ่ง ก็เหมือนกับใต้ดินที่มองดูเหมือนมืดเล็กน้อย ความจริงแล้วเป็นหินหลอมที่ร้อนลวกไร้ที่เปรียบ

ใบไม้สีเขียวที่ปลายกิ่งไม้พลันม้วนโค้งอย่างรวดเร็ว เปลือกต้นไม้เริ่มเกิดรอยแตก อุณหภูมิจู่ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้น

ในเวลาต่อมา เปลวไฟที่แดงมืดในที่แห่งนี้ ก็จะม้วนสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงเข้าไป

ในเวลาเดียวกันที่ไป๋ไห่ออกฝ่ามือ เท้าขวาของสวีโหย่วหรงเหยียบลงบนพื้นดิน เสียงดังตึกเสียงหนึ่งดังขึ้น ใบไม้ร่วงรอบข้างร่างกายนางและเฉินฉางเซิง สั่นสะเทือนขึ้นมาจากพื้นดิน บินระบำทั่วฟ้า

ใบไม้ร่วงไม่สามารถบังเปลวไฟสีแดงมืดที่นำมาซึ่งเงาฝ่ามือพันหมื่นสายเหล่านั้น เสียงตู้มดังขึ้นหนึ่งเสียง จู่ๆ ก็แผดเผาขึ้นมา กลายเป็นทะเลไฟที่บ้าคลั่งรุนแรงแห่งหนึ่ง

เปลวไฟนี้ปิดบังสายตาและจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในเงาฝ่ามือพันหมื่นสายของไป๋ไห่ได้พอดี

นี่ก็คือหลักการใช้ไฟแก้ไฟ

ยืมการแผดเผาอย่างรุนแรงของทะเลไฟ สวีโหย่วหรงหิ้วเฉินฉางเซิง เลือนหายกลายเป็นเงาสายหนึ่ง กะพริบเข้าไปยังหน้าผาที่อยู่นอกเขตป่าไม้

นั่นเป็นสถานที่เดียวที่ฝ่ามือไฟของไป๋ไห่ไม่อาจปกคลุมถึง และก็เป็นสถานที่ที่นางเล็งไว้แต่แรกแล้ว ถ้ากำแพงหน้าผาเป็นของจริง แน่นอนว่าไม่อาจเข้าไปได้ แต่กำแพงหน้าผาแห่งนั้นมีถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง

ก่อนจะเริ่มบทสนทนาที่แฝงเร้นไปด้วยรังสีฆ่าฟันสนามนี้ นางก็สังเกตเห็นถ้ำภูเขาแห่งนี้แล้ว ในขณะเดียวกันก็ได้คำนวณไว้แล้ว หากแย่งชิงความได้เปรียบในสนามต่อสู้นี้มาไม่ได้ นางได้เตรียมทางหลบหนีให้กับตัวเองไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ถ้ำภูเขานี้ก็คือทางหลบหนี แต่ว่า ไม่มีทางออกด้านหลัง

ทะเลไฟในป่าไม้วุ่นวายเล็กน้อย ไป๋ไห่ทะลุอากาศมาถึงที่ สีหน้าขึงขังเด็ดเดี่ยว ออกมืออีกครั้ง

รอยฝ่ามือที่มีเปลวไฟสีแดงนับหมื่นพัน จู่ๆ ก็กลายเป็นเส้นไฟที่ตรงดิ่งหนึ่งสาย กระแทกไปที่ด้านหลังสวีโหย่วหรงที่อยู่ในถ้ำโดยตรงเสียงดังตูม ผู้เฒ่าของพรรคตะวันตก รู้ว่าเด็กสาววัยเยาว์ที่ตัวเองจะสังหารในวันนี้มีฐานะระดับใด จะกล้าออมมือไว้สักครึ่งได้เสียที่ไหน ยิ่งไม่เหลือเส้นทางถอยหนีใดๆ ให้กับตัวเอง เพิ่งจะลงมือก็ใช้ฝ่ามือตะวันตกที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุด อีกทั้งยังพยายามแสดงพลังที่สั่งสมบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิตจนหมด

สวีโหย่วหรงหันหลัง มองกระแสไฟที่ซ่อนพลังอันน่ากลัวเอาไว้สายนั้น สีหน้ายังคงสงบนิ่ง พลิกข้อมือข้างหนึ่ง แทงธนูถงเข้าไปยังพื้นดิน

พื้นดินในถ้ำหน้าผาแข็งแกร่งอย่างมาก เสียงดังเปรี๊ยะหนึ่งเสียง พื้นหินแตกเป็นรอยร้าวไปชุ่นเศษ ธนูถงเสียบเข้าไปในพื้นดินลึกอย่างมาก หากเทียบกับคนนางยังสูงกว่าอีก

เพียงแต่ในชั่วพริบตา กิ่งไม้จำนวนมากพลันงอกออกมาจากธนูถง ใบไม้สีเขียวจำนวนมากงอกออกมาจากปลายกิ่ง ไหวเอนเล็กน้อยท่ามกลางชั้นบรรยากาศที่ถูกกระแสไฟแผดเผาจนเปลี่ยนรูปร่าง นำมาซึ่งลมหายใจที่สดชื่นอย่างยิ่งสายหนึ่ง กระจายเต็มปากถ้ำ

ในกระบวนการนี้ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยาย

ช่วงเวลาที่ยาวนานพลันรวบลงอยู่ในช่วงเวลานี้

ต้นไม้อายุร้อยปี กี่ปีถึงจะกลายเป็นพระราชวังหลังหนึ่งได้?

นี่เป็นการเจริญเติบโตของต้นอู๋ถงที่โดดเดี่ยวต้นหนึ่ง และก็เป็นการก่อสร้างพระราชวังหลังหนึ่งเช่นกัน

ธนูถงเปลี่ยนเป็นต้นอู๋ถง และก็กลายเป็นวังถงหลังหนึ่ง ใช่ ก็คือวังถงที่พระราชวังของต้าโจวหลังนั้น พระราชวังที่เคยกักขังเฉินฉางเซิงเอาไว้หนึ่งวันหนึ่งคืนหลังนั้น

อู๋ถง ในฐานะที่เป็นศาสตราคู่เพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองบนการจัดลำดับร้อยศาสตรา ที่จริงแล้วยังมีวิธีการใช้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหล่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนหน้าของสถานศึกษาหนานซี คาดไม่ถึงว่าจะนำวังถงซ่อนเอาไว้ในธนูถง!

วังถงเป็นค่ายกลชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับกักศัตรู แข็งแกร่งอย่างมาก ใช้สำหรับป้องกัน ทนทานไร้ที่เปรียบ

เสียงตูมดังขึ้นเสียงหนึ่ง นั่นเป็นเสียงเปลวไฟขยายกว้างอย่างรวดเร็ว และเป็นเสียงปะทะของคลื่นไฟที่ชนกับกำแพงหินเช่นกัน

ที่ปากถ้ำข้างหน้าผา เปลวไฟลุกลามขึ้นฟ้า ใบต้นอู๋ถงที่เล็กเขียวราวกับถูกแผดเผาไปทั้งแถบ แต่แล้วเส้นไฟสายนั้นกลับไม่สามารถข้ามฝ่าเข้าไปที่ต้นอู๋ถงต้นนี้ได้แม้แต่ก้าวเดียว

นี่เป็นต้นอู๋ถงซึ่งเป็นที่พักพิงของหงส์สวรรค์ หงส์สวรรค์ก็คือไฟ เลือดของมันคือไฟ ร่างกายก็เป็นไฟ อยู่ร่วมกันหมื่นปี ในต้นอู๋ถงเต็มไปด้วยแก่นกำเนิดเพลิงและจิตวิญญาณเพลิง แล้วจะกลัวไฟได้อย่างไร? ไม่ต้องบอกว่าเป็นเปลวไฟที่มาจากฝ่ามือตะวันตก ถึงจะนำธนูถงยาวคันนี้โยนเข้าไปในกองไฟของพรรคตะวันตกก็ไม่สามารถทำลายได้แม้แต่น้อย

กิ่งไม้เขียวยื่นออก กีดกั้นหน้าผาออกเป็นสองโลก กันเพลิงปฐพีอันเร่าร้อนและไป๋ไห่ไว้ข้างนอก

ถูกกั้นด้วยเปลวไฟ สวีโหย่วหรงมองไป๋ไห่ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้พูดจา

สีหน้าของไป๋ไห่เคร่งขรึมอย่างมาก แต่ไม่ได้รู้สึกถึงความรู้สึกท้อแท้ใดๆ เมื่อเปลวไฟที่ถูกเขาเรียกออกมาไม่อาจทะลุการป้องกันของธนูถงของนางได้ เขามองนางพลางพูดว่า “พรรคตะวันตกของข้าตั้งอยู่ในแอ่งกระทะเร้นเพลิง ที่นั่นนอกจากเพลิงปฐพีที่ร้อนแรงน่าเกรงขาม สิ่งที่มากที่สุดก็คือไอเป็นพิษ ไอพิษและเพลิงปฐพีเหล่านั้นต่างก่อเกิดและหักล้างกัน ข้าอยากรู้มาก ธนูยาวคันนี้ของท่านจะสามารถเอามันอยู่ไหม”

พูดประโยคนี้เสร็จ เขาเก็บฝ่ามือตะวันตก เดินไปยังหน้าต้นอู๋ถง ตบลงไปอีกครั้งอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด

ครั้งนี้ไม่มีเปลวไฟที่เร่าร้อนเกิดขึ้น มีเพียงลมหายใจที่แผ่วจางแต่แปลกประหลาดสายหนึ่ง พร้อมกับพ่นสิ่งของที่คล้ายละอองทรายมากมายออกมาจากฝ่ามือของเขา ตกลงบนกิ่งแห้งและใบเขียวของต้นอู๋ถง

จู่ๆ ต้นอู๋ถงสีเขียวสดก็เหมือนกับยืนต้นอยู่มาเป็นเวลานานหลายปีท่ามกลางธุลีทรายเต็มท้องฟ้า ปกคลุมด้วยฝุ่นหนาชั้นหนึ่ง ไม่ฟื้นกลับไปมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม

ฝุ่นละอองเหล่านั้นรวมขึ้นจากเม็ดทรายที่เล็กละเอียดยิ่ง เม็ดทรายทุกเม็ดล้วนเป็นแก่นพิษไฟที่พ่นออกมาตามลมหายใจตลอดหลายร้อยปีในแอ่งกระทะเร้นเพลิงของไป๋ไห่

ข้างนอกค่อยๆ มืดจางลงนั้นไม่สำคัญ ที่น่ากลัวคือละอองธุลีเหล่านั้นกำลังแพร่เข้าตัวธนูถงอย่างไม่หยุดหย่อน ใบไม้สีเขียวบนต้นอู๋ถง เกิดจุดด่างสีเทาที่ละเอียดเล็กจำนวนมาก อีกทั้งจุดด่างเหล่านั้นยังขยายอย่างรวดเร็วในอัตราที่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ที่เปลือกต้นไม้ก็เกิดรอยแตกที่น่ากลัวจำนวนมากเช่นกัน ยังซึมลึกเข้าไปข้างในอย่างต่อเนื่อง

ถ้าเวลาปกติ ด้วยพลังปราณแท้ที่ทรงอานุภาพ สวีโหย่วหรงทำให้ธนูถงไม่ถูกปนเปื้อนจากอานุภาพของฝุ่นขนาดเล็กได้แม้แต่นิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลือดแท้แห่งหงส์สวรรค์ของนางจะถูกปนเปื้อนด้วยพิษที่เล็กจ้อย

แต่ตอนนี้ นางพึ่งพาได้แค่ตัวธนูถงในการต่อสู้กับแอ่งกระทะเร้นเพลิง พิษที่มาจากส่วนลึกของร่องใต้ดิน ธนูถงจะทนไว้ได้นานแค่ไหน?

กั้นด้วยกิ่งใบของต้นอู๋ถง นางมองผู้เฒ่าของพรรคตะวันตกท่านนั้น ถามอย่างสงบว่า “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้?”

ไป๋ไห่พูดว่า “ทุกคนที่เข้าสวนโจวล้วนเพื่อผลประโยชน์ แน่นอนว่าข้าก็ไม่ต่าง”

สวีโหย่วหรงพูด “เจ้ามั่นใจว่า…จะได้รับผลประโยชน์บนตัวข้า มากกว่าความเสี่ยงที่ต้องผจญหรือ?”

ไป๋ไห่ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “ข้ามั่นใจอย่างมาก”

สวีโหย่วหรงพูดอย่างไม่แยแสว่า “ข้าให้ผลประโยชน์แก่เจ้าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผลประโยชน์ที่เจ้าจินตนาการไม่ถึง”

ต้าลู่ในตอนนี้ พรรคสำนักผู้บำเพ็ญเพียรมีมากมาย ต่างคนต่างมีทรัพย์สมบัติลับ พรรคที่มหัศจรรย์อย่างพรรคตะวันตกยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่นางมีสิทธิ์ที่จะกล่าววาจาเช่นนี้แน่นอน อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามไม่เชื่อไม่ได้

ไป๋ไห่พูดว่า “ได้รับความตื้นตันจากทั้งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และราชสำนักต้าโจว แน่นอนว่าหาได้ยากยิ่ง สิ่งที่น่าเสียดายคือ ถ้าไม่บังคับให้ท่านเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่สิ้นหวัง จะได้รับผลประโยชน์ขนาดนี้ได้อย่างไร?”

สวีโหย่วหรงพูดว่า “เจ้ารู้ว่าข้าคือใครมาตลอด?”

“ใช่ ใต้เท้าธิดาสวรรค์…ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่? ได้ข่าวว่าทุกพรรคของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของวัดฉือเจี้ยนหรือสถานศึกษาหนานซี ล้วนเรียกขานเจ้าเช่นนี้”

ไป๋ไห่มองนางพลางพูดว่า “เมื่อคืนข้าอยู่ด้านล่างเขาอัสดง เห็นปีกไฟที่กางออกของท่าน”

สวีโหย่วหรงพูดว่า “รู้ว่าเป็นจ้าว เจ้ายังกล้าที่จะไม่ให้ความเคารพต่อจ้าว? เจ้าบำเพ็ญเพียรเกินสองร้อยปีแล้ว ยังควบคุมความโลภของตัวเองไม่ได้อีกหรือ เหตุใดต้องบ้าคลั่งปานนี้?”

ขณะพูดประโยคนี้ สีหน้าของนางสงบอย่างมาก ราวกับไม่มีความโกรธอย่างสิ้นเชิง แต่มีความรู้สึกเหมือนคนจากเบื้องบนปรายตามองเบื้องล่างชนิดหนึ่ง

ไป๋ไห่พูดว่า “ความโลภทำให้คนบ้าคลั่ง แต่ข้าไม่ใช่คนบ้าที่แท้จริง ถ้าอยู่นอกสวนโจว เวลานี้ข้าจะคุกเข่าอยู่ต่อหน้าท่าน จูบพื้นดินที่อยู่เบื้องหน้ารองเท้าของท่านอย่างแน่นอน ทว่า…ที่นี่เป็นในสวนโจว อีกทั้งท่านยังถูกโจมตีโดยองค์หญิงเผ่ามารอย่างสาหัส ถ้าข้าพลาดโอกาสนี้ ข้าต้องถูกฟ้าลงโทษแน่นอน”

สวีโหย่วหรงมองใบไม้สีเขียวใบหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ถามอย่างสงบว่า “เจ้าต้องการอะไรจากข้า? ศาสตราวิเศษชิ้นนี้? หรือว่าอย่างอื่น?”

บนใบหน้าที่แก่ชราของไป๋ไห่ผุดรอยยิ้มที่ประหลาดออกมา “ข้า…ข้าต้องการ…ข้าต้องการเลือดของท่าน”