บทที่ 211 เธอไม่แคร์กับการเป็นแพะรับบาป

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เรื่องนั้น เธอเป็นแพะรับบาปมาสี่ปีแล้ว และไม่ได้แคร์ด้วยว่าจะแบกรับมาเป็นเวลานานอยู่บ้างแล้ว ถึงอย่างไรสำหรับเธอแล้ว ก็ไม่ได้สำคัญเลย

เพียงแต่ได้ยินประโยคนั้นของเขาแล้ว จู่ๆเธอกลับไม่อยากจะแบกรับแล้ว ในเหตุการณ์นั้นเธอไม่ใช่ผู้ที่รับผลประโยชน์

ต่อไป ซารางจะต้องกลับไปที่ตระกูลสิริไพบูรณ์กับเขา เธอไม่อยากให้ซารางได้ยินจากปากของสุนันท์และหยาดฝนว่าหม่ามี๊ของเธอเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าคน

“ที่พวกคุณมองคือฉันเจตนาที่จะปล่อยมือผลักหยาดฝนลงไปที่หน้าผา แต่กลับไม่มีคนคิดเลยว่าถ้าหากฉันอยากจะให้หยาดฝนตกลงไปที่หน้าผา แล้วตอนที่หยาดฝนตกลงไปจากหน้าผาทำไมฉันจะต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีจับเธอเอาไว้ด้วย? สู้ปล่อยให้เธอตกลงไปเลยแบบนั้นไม่ดีกว่าหรอคะ? ฉันจะทำให้ตัวเองต้องลำบากอีกทำไม?”

“ตอนนั้นสองมือของฉันจับหน้าผาเอาไว้ เท้าก็ปีนหน้าผาขึ้นมา ถ้าหากไม่ไปช่วยเธอ เพียงแค่ฉันออกแรงก็มีความเป็นไปได้ครึ่งนึงที่จะสามารถปีนขึ้นมาได้ ดึงเธอเอาไว้ ทั้งร่างกายฉันก็หมดแรง ถึงได้ตกลงไปจากหน้าผา คุณช่วยฉันนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ฉันก็ไม่ใช่คนที่ได้รับผลประโยชน์อย่างที่พวกคุณคิดอยู่ในใจอยู่แล้ว ออกัส!”

หน้าอกของเธอเคลื่อนขึ้นลงเล็กน้อย เวลาผ่านไป เอ่ยพูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่มีความโกรธและน้อยใจอีกแล้ว มีเพียงแต่ความรู้สึกที่ไม่ได้ใส่ใจเพียงเท่านั้น

แท้ที่จริงแล้วบางสิ่งบางอย่าง เป็นไปตามเวลาจริงๆ หลังจากนั้นก็ผ่านไปเหมือนกับสายน้ำอย่างเงียบๆ…..

ได้ยินแล้ว สีหน้าท่าทางใบหน้าที่หล่อเหลาของออกัสก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นความรู้สึกที่ลอยปรากฏขึ้นมาในแววตาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน มือใหญ่กระชับแน่นขึ้น เส้นเลือดบนหลังมือยิ่งผุดขึ้นมาด้วย

ตอนที่รีบมาถึงที่หน้าผาในตอนนั้น เขาได้ยินคำพูดที่เย็นชาไม่แยแสที่พูดกับหยาดฝนออกมาจากปากของเธอ

และหยาดฝนอยู่ในกับดักแบบนั้น ได้ยินคำพูดแบบนั้นของเธอ จริงๆแล้วในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบขึ้นมา

หลังจากนั้น ระหว่างการต่อสู้กันของทั้งสองคน เขาก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของเธอกับหยาดฝนที่ลอยอยู่ท่ามกลางหน้าผา เพียงแต่ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ จากที่เลื่อนลงไปที่คำว่าปล่อยมือนั้น เธอจะปล่อยมือจริงๆ!

เวลานั้น ความรังเกียจที่เกิดขึ้นมานั้นรุนแรงมากจริงๆ เขาคิดว่าเธอเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึง…..

หัวเราะออกมาเบาๆ เชอร์รีนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง : “ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นชีวิตคนหนึ่งชีวิต ฉันคิดว่าฉันเชอร์รีนยังไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น ฉันเองก็กลัวกรรมตามสนองแล้วกลัวฝันร้ายเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าคุณประเมินธาตุแท้ของฉันสูงไปแล้วนะคะ”

ก้มลงมองเธอ เขาจ้องมองมุมปากของเธอมีรอยยิ้มบางๆที่ทั้งสวยงามและทั้งเย็นชา ทันใดนั้นเอง หัวใจกลับเหมือนถูกอะไรบดให้ละเอียด เจ็บปวด เสียใจ เยาะเย้ยตัวเอง เติมเต็มก้นบึ้งของหัวใจไปหมด

ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ อารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ปรากฏขึ้นมา การรับรู้ความรู้สึกที่นำมานั้นกลับปะปนกันอย่างหลากหลายเช่นนี้

ตอนที่ได้ยินว่าหยาดฝนตกลงไปจากหน้าผา เขาถูกความรังเกียจ ความเจ็บปวด และอารมณ์ชั่ววูบที่เหมือนกับคลื่นที่ซัดสาดปิดบังดวงตาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้

และตอนนี้เองได้ยินเธอคำพูดที่สงบนิ่งและไม่แยแสแบบนี้แล้ว เขาถึงได้รู้สึกว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองน่าขำและน่าเยาะเย้ยแบบนี้นี่เอง

ความจริงแล้ว เธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเท่านั้น และยังตั้งครรภ์อีกด้วย สามารถใช้มือเดียวประคับประคองหยาดฝนไว้ได้เป็นเวลานานขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าได้ถึงขีดจำกัดที่เธอสามารถแบกรับเอาไว้ได้แล้ว

เพียงแต่ความจริงง่ายๆแบบนี้เขากลับคิดไม่ถึงมาโดยตลอด นี่ไม่ได้โง่ แล้วคืออะไรกัน?

“สี่ปีก่อน ทำไมคุณไม่เคย–”

หลังจากนั้นไม่รอให้เขาพูดจบ เธอก็เอ่ยขึ้นตัดบทเขา :

“อธิบายเหรอคะ? หลังจากที่ลื่นตกลงหน้าผาไป คุณเฝ้าหยาดฝนอยู่ไม่ห่างเลย สถานการณ์แบบนั้นก็ไม่เหมาะที่จะไปอธิบาย ฉันเองก็ไม่ใช่พวกที่ไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร จากนั้นวันนั้นที่หยาดฝนฟื้นขึ้นมาฉันก็ไปส่งหนังสือหย่าให้คุณ หยาดฝนกับฉันเราทะเลาะกัน หลังจากนั้นคุณก็เซ็นชื่อให้แล้วให้ฉันไสหัวออกไป ความจริงแล้ว จะอธิบายหรือไม่นั้นมันก็ไม่ได้สำคัญอยู่แล้ว…….”

คิ้วสวยขมวดขึ้น น้ำเสียงที่เย็นชาและทั้งดูเหมือนไม่แยแสแบบนี้ราวกับมีดกรีดลงบนหัวใจของเขา ออกัสกลืนน้ำลาย แล้วน้ำเสียงที่แหบพร่าและมืดมนนั้นก็ค่อยๆดังขึ้น : “ขอโทษ……”

เชอร์รีนจ้องมองเขาเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นโปร่งใสและชัดเจน พลางเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ :

“ที่ฉันอธิบายมาตอนนี้ไม่ใช่เพราะอยากได้คำขอโทษ! เพียงแต่อยากจะให้พวกคุณเข้าใจให้ถึงที่สุด ฉันเชอร์รีนไม่ใช่นักโทษเหมือนกับที่พวกคุณคิด ฉันไม่ใช่คนที่ได้รับผลประโยชน์ แล้วก็ยิ่งไม่ได้ติดหนี้อะไรพวกคุณด้วย!

การแต่งงานเมื่อสี่ปีก่อนเป็นเพราะข้อตกลงถึงได้มีการเริ่มต้นขึ้น และตอนแต่งงานทีแรกคุณก็พูดเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าการแต่งงานเป็นเพียงแค่ข้อตกลงเท่านั้น ความขัดแย้งระหว่างฉันกับหยาดฝนฉันเป็นคนเริ่มก่อนจริงๆ ฉันขอโทษคุณเอาไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ

แล้วก็หยาดฝนเป็นดอกกุหลาบแดงในใจของคุณ เป็นคนที่คุณรักแต่ไม่สามารถแต่งงานด้วยได้ ตอนที่อยู่บนหน้าผาได้ยินว่าฉันผลักเธอลงไป คุณที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็จะต้องเกลียด ไม่ชอบฉัน รู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่เลวร้าย ฉันสามารถเข้าใจคุณได้จริงๆค่ะ

ดังนั้นฉันไม่เคยโกรธแค้นคุณเลย ตอนนี้ในเมื่อคุณรู้ความจริงแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเกี่ยวข้องพัวพันกันอีกต่อไปแล้ว

สี่ปีนี้ ชีวิตฉันกับองค์ชายมีชีวิตชีวาขึ้น ส่วนคุณกับหยาดฝนก็มีชีวิตที่ดีอยู่ที่อเมริกา

เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำลายทุกอย่างนี่ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับซารางที่พวกเราจำเป็นจะต้องติดต่อกันแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก…..”

สุดท้ายแล้ว เรื่องราวความขัดแย้งกันกับเชอร์รีนเกิดขึ้นจากเธอจริงๆ เธอคิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอด

ตอนแรกที่ทั้งสองคนแต่งงานกันเขาก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว เธอเองที่ไม่สามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ หลงรักเขา แล้วหลังจากนั้นก็หลับหูหลับตาเอาความสัมพันธ์เรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับเธอทำให้เป็นสามีภรรยากันเหมือนทั่วๆไป สามีออกนอกลู่นอกทาง ภรรยาก็มีสิทธิโกรธและโวยวาย

แต่ตอนนั้นเธอเองก็ลืมไปอย่างเห็นได้ชัด ว่าความสัมพันธ์ของการแต่งงานระหว่างทั้งสองคนไม่เหมือนกับคนอื่นๆ

“ระหว่างผมกับเธอไม่มีอะไรกัน แล้วก็ไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิดด้วย…..”

ดวงตาที่ลึกซึ้งของออกัสจ้องมองเธอ เป็นการยากที่จะออกปากอธิบายกับเธอ เสียงแหบยิ่งขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวเธอจะเข้าใจผิด :

“สี่ปีที่อยู่อเมริกา นอกจากเป็นการรักษาใบหน้าเธอแล้ว ก็จัดการเรื่องพวกนั้นของสำนักงานใหญ่ที่อเมริกา…..”

“เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องมาพูดกับฉันจริงๆนะคะ เนื่องจากว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลย ซารางล่ะ ฉันจะพาเธอกลับบ้าน คุณเองก็กลับเมืองsไปเถอะค่ะ รอให้ถึงวันศุกร์วันหยุดแล้ว ฉันจะพาซารางไปส่งให้คุณที่เมืองs” เธอนิ่งไปอย่างผิดปกติ

ถ้าหากเอาคำอธิบายเหล่านี้ไปอยู่เมื่อสี่ปีก่อน เช่นนั้นเธอจะต้องดีใจอย่างแน่นอน เธอจะคิดว่าเขาแคร์เธอหรือชอบเธออย่างไม่เจียมตัว

แต่สี่ปีหลังจากนั้น เธอนิ่งสงบเหมือนกับสายน้ำไปแล้ว

“ซารางอยู่พื้นที่สำหรับเด็ก……” เขาเหลือบมองเธอ พลางเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ความเฉยเมยที่เผยออกมาในดวงตาของเธอ เขาอยากจะใช้ก้อนหินมาทำลายเสียเหลือเกิน

ตอนที่เผชิญหน้ากับเธอ เขายอมให้เธอแสดงท่าทีที่โมโห ถากถางแดกดัน มีเจตนาประชดประชัน ปฏิกิริยาแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเขายังสามารถยั่วให้เธอเกิดความโมโหได้ หรือบางทีในใจของเธอก็ยังมีความรู้สึกแคร์อยู่บ้างแบบนั้น แต่เขากลับไม่ชอบกับท่าทางเรียบเฉยแบบนี้ ถ้าหากยิ่งเฉยเมย นั่นก็แสดงว่าไม่แคร์ สามารถหยิบขึ้นมาได้และวางลงไปได้ สุดท้ายแล้วจากเฉยเมยก็จะกลายเป็นลืมเลือน