ตอนที่ 159 แค่อยากจะถามให้แน่ใจ

 

 

 

 

คุณนายเฉียวเพิ่งจะเข้าใจคำถามของจิ้นหยวน สีหน้าเธอลำบากใจ ที่แท้สาเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอนั่นเอง 

 

 

เธอได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานสองนานแต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง จะให้เธอพูดได้อย่างไรว่าเมื่อกี้เธอเป็นคนวางแผนให้หญิงอื่นมายั่วลูกเขยตัวเอง ถ้าพูดออกไปมีหวังถูกลูกสาวถอนหงอกแน่ 

 

 

แต่ตอนนี้เธอจะอธิบายกับพวกเขาอย่างไรดีล่ะ? 

 

 

คุณนายเฉียวครุ่นคิดไปมาแต่ก็นึกไม่ออกเสียทีจนเฉียวซือมู่ชักจะทนไม่ไหว เธอรู้สึกว่าปัญหาต้องอยู่ที่โทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นแน่ เฉียวซือมู่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ใต้หมอนแล้วยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาทันที 

 

 

คุณนายเฉียวไม่คิดว่าเฉียวซือมู่จะมือไวขนาดนี้ เธอได้แต่นั่งมองโทรศัพท์มือถือที่ตกไปอยู่ในมือลูกสาว เธอประหม่าจนได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้ลูกสาวตัวเอง “มู่มู่…” 

 

 

เฉียวซือมู่มองท่าทางมีพิรุธของคุณแม่แล้วมั่นใจทันที เธอเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วค้นหาอย่างรวดเร็วจนเจอข้อความที่ถูกส่งให้จิ้นหยวน ในที่สุดเธอก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุเสียที น่าจะเป็นเพราะคุณแม่แอบอ้างเป็นตัวเธอแล้วแอบส่งข้อความให้จิ้นหยวน แต่ข้อความที่ถูกส่งไปให้เขามีความหมายไม่ชัดเจนจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด เธอรู้สึกทั้งแปลกใจทั้งอดขำไม่ได้ “คุณแม่คะ นี่มันโทรศัพท์มือถือของหนู คุณแม่จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้นะคะ อีกอย่าง คุณแม่รู้รหัสของหนูได้ยังไงกันคะ?” 

 

 

คุณนายเฉียวค้อนเฉียวซือมู่วงใหญ่ “แม่เลี้ยงลูกตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ยังไม่รู้นิสัยของลูกอีกเหรอ? รหัสที่ลูกจะตั้งก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ลองครั้งสองครั้งก็รู้แล้ว” 

 

 

คนที่เข้าใจเธอที่สุดเป็นคุณแม่จริงๆ ด้วย เฉียวซือมู่ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ต่อให้คุณแม่รู้รหัสของหนู แต่คุณแม่ก็ไม่ควรทำอะไรตามใจชอบนะคะ อยู่ดีๆ ไปแกล้งจิ้นหยวนทำไมกันคะ?” 

 

 

คุณนายเฉียวได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้จิ้นหยวน เขาส่ายศีรษะเป็นการแสดงว่าไม่ถือสาเธอ ชั่ววินาทีที่เฉียวซือมู่ปรากฏกายต่อหน้าเขา เขาก็เดาออกทันทีว่าน่าจะเป็นฝีมือของคุณนายเฉียว และเขาเองก็พอจะเข้าใจจุดประสงค์ที่เธอทำแบบนั้น 

 

 

ในที่สุดคุณนายเฉียวก็ยอมเปิดปากจนได้ “ก็แม่อยากจะลองใจเขาว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกหรือเปล่า ถ้าจนป่านนี้เขายังไม่โผล่มาแม่ก็จะให้ลูกเลิกกับเขา แฟนที่ไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองจะเอาไว้ทำไม?” 

 

 

คุณนายเฉียวเอ่ยอย่างเอาแต่ใจและคิดว่าตัวเองเป็นแม่ยายของเขาจริงๆ เฉียวซือมู่นึกไม่ถึงเลยว่าคุณแม่จะเผยไต๋จนหมดเปลือกและบอกแผนการของตัวเองออกมาจนหมดแบบนี้ เธอรู้สึกลำบากใจมากจนไม่รู้จะสู้หน้าจิ้นหยวนอย่างไร 

 

 

แต่จิ้นหยวนกลับดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด กลับกัน เขาเดินเข้าไปจับมือเธอเอาไว้แล้วหันไปเอ่ยกับคุณนายเฉียวอย่างมั่นคง “คุณป้าวางใจเถอะครับ ผมจะไม่ทำให้คุณป้าผิดหวังเด็ดขาด ผมไม่มีวันทำให้มู่มู่ต้องเสียน้ำตาอย่างแน่นอน” 

 

 

เฉียวซือมู่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเอ่ยคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังให้คำสัตย์สาบานแบบนี้ เธอมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ จิ้นหยวนยิ้มบางๆ ให้เธอพลางจับมือเธอเอาไว้แน่น 

 

 

มือใหญ่อบอุ่นจับมือเล็กเย็นๆ ของเธอเอาไว้แน่น ความอบอุ่นนั้นราวส่งผ่านฝ่ามือเล็กๆ ของเธอจนไปถึงหัวใจของเธอจนเธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ 

 

 

คุณนายเฉียวมองดูสองหนุ่มสาวตรงหน้าแล้วรู้สึกตื้นตันใจจนพยักหน้าหงึกๆ “ดี จิ้นหยวนต้องจำคำพูดของตัวเองเอาไว้นะ ถ้าเธอรังแกมู่มู่ละก็ ป้าไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่” 

 

 

จิ้นหยวนผงกศีรษะรับอย่างหนักแน่น “คุณป้าวางใจเถอะครับว่าจะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด” 

 

 

“ดี แล้วป้าจะคอยดู” คุณนายเฉียวเชื่อคำพูดของเขาอย่างสนิทใจ นับจากนี้เขาคือคนในครอบครัวของเธอแล้ว  เธอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วป้าเองก็จะไม่เกรงใจอีก อาหยวน หลายวันมานี้ป้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเธอไม่น้อย ได้รู้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา ความจริงป้าก็ไม่อยากจะรบกวนเธอหรอกนะ แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดูอีกทีป้าเองก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร เธอเองก็รู้เรื่องในครอบครัวป้าเป็นอย่างดีว่ามันน่าอับอายมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นป้าถึงกล้าขอให้เธอช่วย” 

 

 

“คุณป้ามีเรื่องอะไรจะให้ผมช่วยก็บอกมาเถอะครับ อะไรที่ผมพอจะช่วยได้ผมก็จะช่วยอย่างเต็มที่” จิ้นหยวนเอ่ยสีหน้าจริงจัง เขาไม่ได้ตกปากรับคำทันทีและไม่ได้ฉวยโอกาสโอ้อวดตัวเอง หากแต่ใช้วิธีพูดที่ซื่อตรงที่สุดแทน และนั่นทำให้คุณนายเฉียวรู้สึกมั่นใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น 

 

 

“ความจริงเรื่องที่ป้าจะขอให้ช่วยไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่อยากให้เธอช่วยหาคนคนหนึ่งให้หน่อย” คุณนายเฉียวเอ่ยพลางถอนหายใจ 

 

 

เฉียวซือมู่รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที “คุณแม่คะ!” 

 

 

คุณนายเฉียวยิ้มบางๆ ให้เธอ สีหน้าหมองเศร้า เธอเอ่ยกับจิ้นหยวนต่อ “เธอคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเราแล้ว และคงรู้ด้วยว่าที่เราสองคนแม่ลูกต้องตกระกำลำบากแบบนี้เป็นเพราะพ่อของมู่มู่ ความจริงนี่เป็นเรื่องน่าอายในครอบครัวที่ไม่ควรให้คนนอกรู้ แต่ในเมื่อเธอกับมู่มู่ตกลงปลงใจคบกันแล้ว ป้าจึงอยากขอร้องให้เธอช่วยตามหาพ่อของมู่มู่ให้หน่อย” 

 

 

เฉียวซือมู่ร้อนใจ เธอเข้าใจจุดประสงค์ของคุณแม่ทันทีที่เอ่ยประโยคแรกออกมา คุณแม่เข้าใจเธอที่สุด และลูกสาวอย่างเธอก็เข้าใจคุณแม่ของตัวเองมากที่สุดเช่นกัน 

 

 

“คุณแม่คะ คนอย่างคุณพ่อ คุณแม่ก็คิดเสียว่าคุณพ่อตายจากเราไปแล้วเถอะค่ะ ทำไมจะต้องตามหาตัวคุณพ่อกลับมาด้วยคะ? คุณแม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับ…” 

 

 

“มู่มู่!” คุณนายเฉียวเอ่ยขัดเสียงเข้ม “คำพูดพวกนี้แม่พูดได้ คนอื่นก็พูดได้ แต่ลูกคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้ ลูกลืมแล้วเหรอว่าเมื่อก่อนพ่อรักลูกมากขนาดไหน? ตอนเด็กๆ ลูกร้องแต่จะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พ่อก็ยิ้มหน้าบานให้ลูกขี่คอแล้วพาลูกออกไปเที่ยวเล่นทุกครั้ง ตอนนั้นพ่อยอมหาทุกอย่างมาให้ลูก คงเหลือแต่เก็บดาวและเดือนลงมาให้ไม่ได้เท่านั้น ลูกลืมไปแล้วเหรอ?” 

 

 

เฉียวซือมู่งึมงำ “แต่ว่า…” 

 

 

คุณนายเฉียวถอนหายใจหนักๆ “เมื่อก่อนพ่อของลูกเป็นคนดีมาก ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะกลายเป็นแบบนี้ แต่แม่ก็ไม่ยอมตัดใจหรอกนะ แม่อยากให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าแล้วตอบคำถามว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ต่อให้เป็นคำโกหกก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่ใช่หายตัวไปทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แม่อยากจะถามพ่อว่าเป็นเพราะแม่ไม่ดีพอเหรอพ่อถึงได้ทิ้งพวกเราไปแบบนี้…” 

 

 

ใบหน้าที่มักมีแต่รอยยิ้มของคุณนายเฉียวกลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้ายามเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย เฉียวซือมู่เห็นสภาพของคุณแม่แล้วรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เธอจับมือคุณแม่เอาไว้แน่นพลางร้องเรียก “คุณแม่…” ออกมาแล้วร้องไห้โฮออกมา 

 

 

สองแม่ลูกร้องไห้โฮกอดกันกลม ในที่สุดความเจ็บปวดทรมานของเฉียวซือมู่ที่สั่งสมมานานก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด ความรู้สึกที่คุณนายเฉียวพยายามเก็บกดเอาไว้หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ถูกระบายออกมาจนหมดเช่นเดียวกัน 

 

 

จิ้นหยวนเห็นทั้งสองร้องไห้กันใหญ่ก็ได้แต่ถูจมูกตัวเองเพราะทำตัวไม่ถูก เขาอยากจะปลอบแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเธอ อีกฝ่ายยังเป็นว่าที่พ่อตาเสียด้วย ต่อให้พูดอะไรออกไปก็คงไม่เหมาะสมทั้งนั้น สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตูห้องเพื่อให้พวกเธอมีพื้นที่ส่วนตัว 

 

 

เขารออยู่นานเป็นชั่วโมง รอจนคุยโทรศัพท์จบไปสามสาย รอจนหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คออกมาสะสางงานจนหมดไปตั้งเยอะกว่าจะเห็นเฉียวซือมู่เดินออกมาจากห้องคนไข้แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา 

 

 

เธอยิ้มเม้มริมฝีปากอย่างลำบากใจพลางยื่นมือออกไปให้เขา “พวกเราไม่เป็นไรแล้ว กลับบ้านกันเถอะค่ะ” 

 

 

เขาลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องบอกลาคุณป้าก่อนเหรอ?” 

 

 

เธอส่ายศีรษะน้อยๆ “วันนี้คุณแม่ผ่านเรื่องต่างๆ มาเยอะมากจนเหนื่อยแล้ว ท่านเพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้นี้เอง ฉันกำชับให้นางพยาบาลดูแลท่านให้ดีแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ” 

 

 

“โอค กลับบ้านกัน” เขายื่นมือใหญ่ออกไปจับมือเล็กของเธอเอาไว้แน่น สองหนุ่มสาวมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน ความรักมากมายลอยวนอยู่รอบตัวทั้งสองคน