“ทะ ท่านผู้สูงศักดิ์มาอยู่ในที่ซอมซ่อแบบนี้ได้อย่างไร…!”

เนื่องจากจู่ๆ เจ้าชายโผล่มากลางดึก ไวเคานต์ผู้ปกครองอาณาเขตเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับสายลม

เพราะเขาได้ยินมาว่าหญิงผู้งดงามและเจ้าชายที่ปรากฏตัวโดยไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียวนั้น กำลังตามหาเขาอยู่

ไวเคานต์อาจจะกำลังเตรียมตัวเข้านอน ทำให้มาหาเจ้าชายที่รออยู่ที่ร้านอาหาร โดยไม่ได้แต่งตัวให้เรียบร้อย ถึงแม้เขาจะขึ้นรถม้ามา แต่เขาหายใจหอบถี่ราวกับรีบวิ่งมา

อาซไม่ได้สนใจเรื่องนั้น และเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด

“ขอโทษที่มาหากลางดึกนะ คงเพราะมันเป็นที่เล็กๆ ก็เลยไม่มีที่เหมาะๆ ให้พักแรมน่ะ”

เขาชนแก้วกับแก้วของอาเรียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วพูดต่อ นัยน์ตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่

“ถ้าผมอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นี่เพราะคนรักของผมอยู่ด้วยน่ะสิ”

สายตาของไวเคานต์หันไปทางอาเรียโดยอัตโนมัติ

“…!”

พระเจ้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีหญิงผู้งดงามขนาดนี้อยู่บนโลกด้วย

สิ่งที่ดึงดูดสายของเขามีเพียงแค่รูปลักษณ์อันงดงามของเธอ แม้เธอจะใส่ชุดและเครื่องประดับที่เปิดตาข้างเดียวมองก็รู้ว่าคุณภาพสูงที่สุดก็ตาม ถ้อยคำสละสลวยใดๆ บนโลกนี้ ก็ไม่เพียงพอที่จะพรรณนาได้

ด้วยเหตุนี้ สายตาของไวเคานต์จึงถูกเธอปล้นไป เขาเหม่อลอยจนลืมไปเสียสนิทว่าอาเรียมากับเจ้าชาย

“อืม ผมไม่ค่อยชอบสายตานั้นของไวเคานต์เท่าไรเลยนะ”

เมื่ออาซเคาะโต๊ะเตือนเบาๆ ไวเคานต์ก็ยืนตรงแข็งทื่อขึ้นมาทันที เขารับรู้ความผิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว และได้สติคืนมา เขาจึงก้มหัวลงเสียจนจมูกจะแตะพื้น

“ขะ ขอโทษครับ! จะนำทางไปยังคฤหาสน์เดี๋ยวนี้ครับ…!”

เขาคงจะไม่ใช่คนไร้ความสามารถอย่างที่คิด เพราะหลังจากที่เขาทำตัวเสียมารยาทกับอาเรียราวกับแมลงเม่าลุ่มหลงแสงไฟไปเพียงแค่ครั้งเดียวแล้ว เขาก็ควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้อย่างถี่ถ้วน

“คุณอาซคะ ฉันไม่มีเงินเลย เพราะไม่ได้พาข้ารับใช้มาด้วย ทำอย่างไรดีคะ”

อาเรียพูดออกมาด้วยท่าทางอันสง่างามว่าเธอไม่มีเงิน

เครื่องประดับอันหรูหราที่อยู่ตรงข้อมือของเธอซึ่งถือแก้วอยู่ สะท้อนแสงประกายแวววาว แค่ขายสิ่งนั้นอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะซื้อร้านค้าในอาณาเขตนี้เกือบทั้งหมดแล้ว

“อย่างนั้นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นคงต้องใช้เงินเชื่อสินะครับ”

ทว่าอาซก็ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับเขาไม่เห็นเครื่องประดับนั้นของอาเรีย

เมื่อได้ยินว่าเจ้าชายจะใช้เงินเชื่อ ไวเคานต์ก็ตกใจเสียงดัง

“มะ ไม่ครับ! กระ กระผมจะจ่ายเองครับ! มะ ไม่สิ! ให้กระผมจ่ายเถอะนะครับ!”

ทว่าอาซส่ายหัวของเขาเบาๆ เพราะเขาจะ ‘ต้องใช้’ เงินเชื่อให้ได้

“ไม่ล่ะ ฝากไว้ในนามของผมนี่ละ ลงวันที่กับเวลาตอนนี้ให้ชัดเจนด้วยนะ เพราะเดี๋ยวจะส่งคนรับใช้มาจ่ายให้ทีหลัง”

“ครับ… คะ ครับ…”

ไม่ใช่ว่าเขาจ่ายเองไม่ได้ แต่เพราะเขาจงใจใช้เงินเชื่อและจำเป็นต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาเรียกไวเคานต์มากลางดึกอย่างดื้อๆ

จากที่นี่ไปคฤหาสน์โรสเซนต์ที่อยู่ในเมืองหลวงนั้น แม้จะขึ้นรถม้าโดยไม่หยุดแวะเลย ก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน  หมายความว่าพวกเขาจะต้องขึ้นรถม้าตั้งแต่ตอนที่พระอาทิตย์เริ่มตกดินโดยไม่หยุดพักเลย ถึงจะถึงที่หมายก่อนเวลาเที่ยงคืนเล็กน้อยได้

ยังพอมีเวลาเล็กน้อยก่อนจะถึงเที่ยงคืน แต่พวกเขากำลังจะสร้างหลักฐานว่าอาเรียออกจากเมืองหลวงไปในทันที ไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ โดยจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นี่ตอนนี้

แน่นอนว่าข้ามเขตแดนไปเลยตอนนี้จะเป็นการดีที่สุด แต่อาณาจักรโครอาที่อยู่ใกล้อาณาจักรนี้ที่สุดนั้น แม้จะขึ้นรถม้าไปโดยไม่หยุดพักเลย ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองวัน ฉะนั้นก่อนอื่นจึงต้องทิ้งหลักฐานไว้ภายในอาณาจักรก่อน

ท้ายที่สุด ไวเคานต์ผู้ขี้ขลาดก็ไม่สามารถแสดงความเห็นอะไรได้อีกต่อไป และสั่งเจ้าของร้านอาหารให้ทำสมุดบัญชีสำหรับซื้อขายเงินเชื่อที่เขาไม่มี

[เวลา 23 นาฬิกา เจ้าชายอัสเทอโรพี ฟรานซ์และเลดี้อาเรีย ตระกูลโรสเซนต์ : ชำระด้วยเงินเชื่อ 5 โกลด์]

อาซตรวจสอบสมุดบัญชีเงินเชื่อไปจนถึงลายเซ็นของเจ้าของร้านอาหาร แล้วทิ้งลายเซ็นของตัวเองไว้ข้างๆ จากนั้นก็ยื่นสมุดบัญชีให้อาเรีย และเสนอให้เธอเซ็นด้วยเช่นกัน

“ทำให้แน่ใจไว้ก่อนคงจะดีกว่านะครับ ไม่จริงหรือครับ เลดี้”

ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองมาเห็น ก็คงโดนหัวเราะเยาะเย้ยที่เขาให้หญิงสาวที่ร่วมทางมาด้วยเซ็นชื่อในสมุดบัญชีเงินเชื่อ

ทว่าอาเรียเซ็นชื่อลงไปราวกับเป็นเรื่องปกติ แล้วทั้งสองก็เผยสีหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ทำให้ทันใดนั้นผู้เห็นเหตุการณ์ต่างยอมรับ พลางคิดว่าเรื่องแบบนี้คงเป็นที่นิยมกันในเมืองหลวง

“ห้ามทำหายเด็ดขาดเลยนะ จนกว่าคนรับใช้ของฉันจะมาจ่ายเงินให้ เข้าใจไหม”

“ครับ ครับ!”

เขาจะกล้าทำสมุดบัญชีที่เจ้าชายเป็นคนเซ็นเองหายได้อย่างไรกัน

แถมหญิงที่มาด้วยนั้น บางทีอาจจะเป็นอาเรีย โรสเซนต์คนนั้นอย่างที่คิดไว้ พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือที่เธอกำลังคบกับเจ้าชายอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาปรากฏตัวด้วยกันแบบนี้จริงๆ

ตา หู และหัวของเหล่าคนที่มารวมตัวกันนั้น เคลื่อนไหวอย่างยุ่งวุ่นวาย เพราะมีคนดังอยู่ที่นี่ถึงสองคน

“ท่านคงจะเหนื่อยจากการเดินทางมาครึ่งวันแล้ว พักเสียหน่อยดีกว่านะครับ”

“ได้หรือครับ”

อาซและอาเรียที่เล่าเรื่องสองสามเรื่องให้พวกเขาฟัง เอ่ยถามไวเคานต์เรื่องที่พักสำหรับพวกเขา

 “…แน่นอนครับ! จะนำทางไปเดี๋ยวนี้แหละครับ!”

ไวเคานต์ผู้ช่างสังเกตนำทางอาซและอาเรียไปยังคฤหาสน์ที่ตัวเองพักอยู่ทันที แม้จะเป็นอาณาเขตเล็กๆ แต่เจ้าเมืองก็ยังคงเป็นเจ้าเมือง เขาก็มีคฤหาสน์เช่นกัน

อาเรียได้รับการต้อนรับอย่างดีและพร้อมที่จะเข้านอนแล้ว เธอเอนตัวลงบนเตียง หลับตาลงสักพัก แต่ก็นอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นนั่ง

‘เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่านะ’

แชมเปญมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็จริง แต่แอลกอฮอล์ก็คือแอลกอฮอล์ แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เธอดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งต่างจากในอดีตที่เธอคุ้นเคยกับการดื่มแอลกอฮอล์ราวกับดื่มน้ำเปล่า นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาจนนอนไม่หลับ

“ที่นี่มีสถานที่รับลมดีๆ บ้างไหม”

“อ๊ะ ครับ! มีสวนในร่มอยู่ครับ หน้าต่างจะเปิดทิ้งไว้ตอนกลางคืนเพื่อระบายอากาศ เลดี้จึงสามารถรับอากาศเย็นๆ สบายได้ครับ”

ด้วยสภาพนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงจะนอนไม่หลับ เธอจึงมุ่งหน้าไปยังสวนในร่มตามคำแนะนำของคนรับใช้

หลังจากที่อาเรียมาถึงสวนในร่ม เธอก็ทำได้แค่เพียงเบิกตาโพลง เธอคิดว่าคงจะไม่มีใครอยู่ เพราะนี่ก็เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว…

แต่ไม่รู้เพราะอะไร อาซถึงอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว เขาเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือ เอกสารที่ถือไว้ในมือของเขา มีจำนวนมากทีเดียว

อาเรียปรากฏตัวในชุดที่ดูเรียบง่ายพร้อมเสื้อคลุมตัวนอกเพียงตัวเดียว อาซตกใจ พลางสืบเท้าก้าวเข้ามาใกล้

“รู้สึกไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ เลดี้”

“ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกสบายใจยิ่งกว่าตอนอยู่คฤหาสน์โรสเซนต์เสียอีกค่ะ ฉันแค่นอนไม่หลับ ก็เลยออกมาเท่านั้นเองค่ะ ก็ดื่มแอลกอฮอล์ไปนี่คะ”

ทั้งความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ของไวเคานต์ ทั้งที่พัก ถูกใจเธอไปหมด

แม้จะเป็นคฤหาสน์เล็กๆ ในอาณาเขตเล็กๆ แต่ภายในก็สะอาดปลอดโปร่ง และเตียงก็นุ่ม

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้อยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แล้วจะมีอะไรให้รู้สึกไม่สบายใจกัน

เรื่องที่เธอกำลังรบกวนคนยุ่งๆ อย่างเขานั้น กวนใจเธอก็จริง แต่เธอตัดสินใจที่จะยอมรับมันโดยทันที เพราะนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นประจำทุกวัน และเธอก็สังเกตเห็นว่าเขาคิดกังวลว่าจะช่วยอาเรียอย่างไรดี

“จะว่าไปแล้ว หน้าของเลดี้ร้อนขึ้นมานิดหนึ่งนะครับ”

มือของอาซแตะแก้มของอาเรีย มือเย็นๆ ในอากาศยามค่ำคืนนั้น ทำให้เธอรู้สึกดี เขาลูบแก้มอาเรียเบาๆ แล้วอาซก็หรี่ตาลง

“…ถึงอย่างนั้นเลดี้อยู่ในห้องน่าจะดีกว่านะครับ เพราะตอนกลางคืนมันอันตราย”

เธอสะดุ้งตกใจกับวิธีการพูดและน้ำเสียงที่เบาลงของเขา แต่เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและตอบกลับไป เพราะเธออยากคุยกับอาซต่ออีกหน่อย และเพื่อทำให้แก้มอันร้อนผ่าวของเธอเย็นลง

แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งอันตรายที่เขาพูดถึงนั้นไม่ใช่โลกภายนอก แต่คือตัวเขาเอง

“ทำไมละคะ คุณอาซก็อยู่ที่นี่ด้วยทั้งคน”

“…”

เธอตอบอย่างไร้เดียงสาถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะตอบโต้อะไรได้อีก

สุดท้ายอาซก็ถอนหายใจยาว แล้วพาอาเรียไปนั่งที่โต๊ะที่เขาเพิ่งจะตรวจดูเอกสารไปก่อนหน้านี้

“พอหายร้อนแล้ว ต้องกลับห้องทันทีเลยนะครับ”

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยอมแพ้ที่จะส่งอาเรียกลับห้อง

อาเรียตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

“ได้ค่ะ จะว่าไปคุณอาซอยู่ทำอะไรถึงดึกดื่นขนาดนี้คะ หรือว่า… เป็นเพราะฉันหรือคะ”

“เอ่อ… ประมาณนั้นครับ ผมกะว่าจะบอกเลดี้พรุ่งนี้เช้า แต่บอกตอนนี้เลยคงจะดีกว่าสินะครับ”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“ครับ ผมไปเมืองหลวงเพื่อตรวจสอบสถานการณ์มาครู่หนึ่ง แล้วได้ยินมาว่าตระกูลโรสเซนต์ฟ้องร้องทหารรักษาการณ์เรื่องเลดี้น่ะครับ”

“…”

เธอคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่เสร็จแล้วนี่ก็…

เธอแสร้งหัวเราะออกมากับสถานการณ์ที่ทำสำเร็จลุล่วงไปอย่างรวดเร็วราวกับเตรียมการไว้อยู่แล้ว หากอาซไม่ได้มาจริงๆ เธอคงจะโดนจับไปแล้ว เพราะหลักฐานเธอก็ไม่มี พอคิดดังนั้นแล้ว เธอก็กำหมัด

อาซจึงกุมกำปั้นอันบอบบางของเธอ แล้วพูดเสริมว่าอย่ากังวลไปเลย

“ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาดูเหมือนจะกลายเป็นพยานตามที่เลดี้พูด โชคดีที่พวกเขาคงจะคิดว่าเลดี้ยังอยู่ในเมืองหลวง เลยตามหาตัวเลดี้แค่แถวนั้นครับ และข่าวลือก็ยังไม่แพร่ออกไปด้วยครับ”

“…หมายความว่าตอนนี้ฉันได้กลายเป็นคนร้ายไปแล้วสินะคะ”

“สำหรับตอนนี้ก็ใช่ครับ เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องรีบข้ามพรมแดนเพื่อทำให้แน่ใจครับ”

สถานการณ์ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่ได้สร้างหลักฐานทิ้งไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เดินวนไปหลายๆ ที่ แล้วสร้างหลักฐานทิ้งไว้ให้ชัดเจนจะดีกว่า และทำที่ต่างอาณาจักรก็ดีกว่าทำภายในอาณาจักรมาก

‘มันคงจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะยังไงก็มีพลังของอาซอยู่แล้ว’

เธอคิดเช่นนั้นและพยายามทำใจให้สบาย แต่ทันใดนั้นอาเรียก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเขาใช้พลัง เขาก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนเหมือนกับเธอ

“…!”

เขาใช้พลังของเขาไปตั้งหลายครั้งแล้ว จะเป็นอะไรไหมนะ สำหรับเธอแล้ว เธอต้องนอนทั้งวันหลังจากที่เธอใช้นาฬิกาทราย แค่วันนี้ก็ใช้ไปตั้งกี่ครั้งแล้ว

อาเรียรู้สึกกังวลขึ้นมา แล้วถามอาซ

“สุขภาพไม่เป็นไรใช่ไหมคะ คุณอาซใช้พลังไปตั้งหลายครั้งแล้ว…”

“ด้วยระยะทางแค่นี้แล้ว ไม่เป็นไรครับ เพราะมันก็ไม่ได้ไกลมากน่ะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อยค่ะ…”

ต่างจากอาเรียที่ใช้พลังได้เพียงแค่วันละครั้ง เขาสามารถปรับระยะทางเองได้ ราคาที่เขาต้องจ่ายก็เลยไม่เหมือนกับเธอ

ถึงอย่างนั้น ที่เธอเป็นห่วงก็เป็นความจริง เธอคลายหมัด แล้วจับมือของอาซ

“วางใจเถอะครับ มันไม่ใช่เรื่องขนาดที่เลดี้จะมาเป็นกังวล ยิ่งกว่านั้นคือเลดี้ควรจะนอนโดยเร็วนะครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะครับ”

“…เข้าใจแล้วค่ะ”

อาเรียตอบอย่างว่าง่าย ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองทันที แต่เธอรออาซที่พลิกเอกสารและตรวจสอบอยู่พักใหญ่ แล้วจึงกลับไปด้วยกัน

* * *

อาเรียและอาซออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ และมีใครบางคนมาเคาะประตูห้องทำงานของไวเคานต์ที่กำลังเพลิดเพลินไปกับการพักผ่อนอยู่

เมื่อเขารู้สึกตัวและตอบกลับไปว่าให้เข้ามาได้ หนึ่งในอัศวินผู้ซื่อสัตย์ของไวเคานต์ก็รีบเข้ามาด้วยความเอะอะวุ่นวายทันที

“ทะ ท่านไวเคานต์! ท่านไวเคานต์! ได้ยินไหมครับ เลดี้อาเรียแห่งตระกูลเคานต์โรสเซนต์ที่เรียกกันว่าเป็นดาวของอาณาจักรเรา พยายามจะสังหารท่านเคานต์เมื่อคืนนี้ครับ!”

ข่าวอันน่าสะเทือนใจที่ออกมาจากปากของอัศวินนั้น ทำให้ไวเคานต์ตกใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้

“…ว่าอย่างไรนะ เมื่อคืนนี้ พูดเรื่องอะไรไร้สาระ! ถ้าหมายถึงเลดี้อาเรีย โรสเซนต์ละก็ เธออยู่ที่นี่เมื่อคืนนี้ไม่ใช่หรือไง!”

“ครับ…! แต่ว่า…! อย่าบอกนะว่าเลดี้ผู้งดงามคนนั้นที่มากับเจ้าชายคือเลดี้อาเรีย โรสเซนต์อย่างนั้นหรือครับ!”

“ก็ใช่น่ะสิ! ฉันเห็นเต็มสองตาของฉันอย่างชัดเจนเลย ชื่อในสมุดบัญชีเงินเชื่อนั่นแหละ!”

ไวเคานต์ที่นึกเรื่องสมุดบัญชีไร้สาระนั่นขึ้นได้ พูดเสียงดัง สมุดบัญชีที่มีแม้กระทั่งลายเซ็นของเธอ

พอไวเคานต์แย้ง อัศวินก็เอียงคอด้วยความสงสัย

“ถ้าอย่างนั้น… ก็แปลกจังนะครับ ไม่น่าจะมีใครสามารถหลบหนีมาได้ไกลขนาดนี้ หลังจากก่ออาชญากรรมในเมืองหลวงไม่ใช่หรือครับ”

“ไม่ใช่ว่าฟังอะไรผิดไปใช่ไหม”

“ไม่ครับ กระผมได้รับเป็นเอกสารมาโดยตรง ไม่น่าจะมีทางผิดพลาดได้นะครับ ดูนี่สิครับ!”

อัศวินยื่นเอกสารที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงให้ไวเคานต์ ไวเคานต์ที่ตรวจดูแล้ว เบิกตาโตตรวจดูเอกสารนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับไม่อยากจะเชื่อ

“นี่มันเป็นไปไม่ได้…”

มันเป็นเอกสารทางราชการที่มีแม้กระทั่งตราประทับ

เมื่อไวเคานต์พูดอะไรต่อไปไม่ออก ได้แต่พึมพำอยู่คนเดียว อัศวินก็เริ่มตั้งข้อสมมติฐานที่พอเป็นไปได้

“หรือว่าถูกใส่ร้ายอะไรแบบนั้นหรือเปล่าครับ”

“ก็คงจะคิดได้เพียงแค่แบบนั้นละนะ”

“ถึงจะไม่รู้ว่าใคร แต่ช่างโง่เขลาเหลือเกินนะครับที่ใช้ข้ออ้างเหลวไหลแบบนี้ ก็มีคนเห็นเลดี้โรสเซนต์อยู่ด้วยกันกับเจ้าชายตั้งไม่รู้กี่คนน่ะครับ”

“อืม… แถมยังมีกระทั่งสมุดบัญชีที่มีลายเซ็นอยู่ด้วย ดังนั้นเธอก็มีหลักฐานและพยานอย่างชัดเจนสินะ”

ห้องทำงานตกอยู่ในความเงียบไปพักหนึ่ง พร้อมกับเอกสารทางการอันไร้สาระที่วางอยู่ระหว่างนั้น

ทันใดนั้นไวเคานต์ก็ขยำเอกสารนั้นทิ้งลงถึงขยะอย่างไม่ปรานี แล้วเอ่ยปากพูด

“ทหารรักษาการณ์ของเมืองหลวงเองก็ไปไกลเกินไปแล้วล่ะ แล้วพวกเขาจะรับผิดชอบอย่างไรนะ… เราอย่าไปใส่ใจเรื่องไร้ประโยชน์นี่ แล้วทำงานของพวกเราเถอะ”

“ครับ ท่านไวเคานต์”

หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าไปประจำตำแหน่งของตัวเองทันที ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

……………………………………………