บทที่ 325 เหตุการณ์ในอดีตของตระกูลซู

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 325 เหตุการณ์ในอดีตของตระกูลซู

เว่ยเยวียนเดินออกมาคำนับ กล่าวเสียงดัง “หากไม่มีสงคราม เหล่าทหารจะเพาะปลูกในที่ดินกองทัพ และแจกจ่ายกันเอง เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ราชสำนักจำเป็นต้องจัดสรรอาหาร และเสบียงทางการทหารให้ เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

สมุหราชเลขาธิการหวางหรี่ตาและมองเว่ยเยวียนอย่างพินิจพิเคราะห์

ฉู่เซียงหลงยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในแง่ของสงคราม คำพูดของพวกปัญญาชนเหล่านี้ที่พูดออกมามากมายก็เทียบไม่ได้กับคำพูดของเว่ยเยวียนเพียงคำเดียว

การจัดสรรอาหารและเสบียงทหารสำเร็จ ภารกิจกลับคืนสู่เมืองหลวงของเขาเสร็จสิ้นลงแล้วครึ่งหนึ่ง

หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก และประหลาดใจที่เว่ยเยวียนสนับสนุนแผนของเขา เขารู้ว่าหากทำเช่นนั้น เขาจะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องอื้อฉาวจากคดีทุจริตข้อสอบเคอจวี่ และลอยตัวพ้นผิดได้

คิดดูแล้วเรื่องนี้ก็เป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท ภายในมีชนชั้นสูงคอยส่งเสริม ภายนอกมีเผ่าอนารยชนคอยกดดัน กระแสส่วนใหญ่จะเป็นไปในทิศทางใด แม้แต่พวกขุนนางที่คัดค้านเรื่องนี้ก็เข้าใจสถานการณ์ดี

ทว่าเว่ยเยวียนกลับเปลี่ยนหัวข้อการประชุมโดยไม่คาดคิด “อย่างไรก็ตาม ก่อนจะหารือเรื่องนี้กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลต่อฝ่าบาท”

ทุกคนหันไปตามเสียง และมองที่เขาเป็นตาเดียว

สีหน้าของเว่ยเยวียนยังคงราบเรียบ ไม่สนใจสายตาของเหล่าขุนนาง

จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวว่า “พูดมาสิ”

“ฆ้องทองแดงใต้บัญชาของกระหม่อม เขาพบกลุ่มชาวยุทธ์ทะเลาะวิวาทกันในเขตชานเมือง เขาตรงปรี่เข้าไปหยุดการวิวาท แต่ใครจะรู้ว่าฝั่งที่มีคนมากกว่า ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมรามือ แต่กลับตัดหัวคนและหนีไปเสีย”

เว่ยเยวียนพูดด้วยน้ำเสียงดังก้องชัดถ้อยชัดคำ ราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริง “ผู้ตายก่อนจะสิ้นลมได้ตะโกนออกมาประโยคหนึ่งว่า ‘แดนเหนือพลิกผัน’ ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยเยวียน ท่าทางของเหล่าขุนนาง รวมทั้งจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เปลี่ยนไป

ฉู่เซียงหลงหันศีรษะอย่างรวดเร็ว จ้องไปที่เว่ยเยวียนและถอนสายตาทันที ไม่กล้าทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง และพูดออกมาอย่างติดขัด

“แดนเหนือย่อมพลิกผันอยู่แล้ว พวกคนป่าเถื่อนปล้นสะดมและก่อสงครามทุกหนแห่ง…”

ใบหน้าของเว่ยเยวียนสงบ “ดังนั้นเมื่อเผ่าอนารยชนสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ที่ทางเหนือ ท่านฉู่จึงเลี่ยงโดยการใช้คำว่าเผา ฆ่า ปล้นสะดมหรือ”

ประโยคนี้ทำให้ทุกคนตกใจ จักรพรรดิหยวนจิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้และจ้องมองตรงไปยังขุนนางชุดเขียวท้องพระโรง

“เว่ยเยวียน เจ้าจงแถลงไขให้ชัดเจน สังหารเลือดหมู่สามพันลี้คืออะไร…ฮะ?!”

ฉู่เซียงหลงรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ไม่ มีเรื่องอะไรแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…”

“เจ้าหุบปาก!”

จักรพรรดิหยวนจิ่งยกมือขึ้นเพื่อขัดจังหวะ มองเขาอย่างเย็นชา แล้วหันไปหาเว่ยเยวียน “เจ้ามีหลักฐานอะไร”

เว่ยเยวียนเอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อของเขา หยิบถุงเครื่องหอมออกมา ปลดเชือกสีแดงออก ควันเบาบางที่ม้วนงออ้อยอิ่งกลางอากาศ กลายเป็นชายที่มีใบหน้าพร่ามัวและนัยน์ตาหมองคล้ำ ปากพูดพึมพำ

“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ราชสำนักโปรดส่งกำลังพลไปปราบปราม…”

เว่ยเยวียนกล่าวต่อ “กระหม่อมนำศพของชายผู้นี้มาด้วย อยู่นอกประตูพระราชวัง ฝ่าบาท สามารถส่งคนไปชันสูตรพลิกศพได้ ชายคนนี้มาจากแดนเหนือ”

ในห้องทรงพระอักษร เกิดความเงียบสงัดขึ้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งลุกขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าของเขามืดมนราวกับน้ำลึก ตรัสทีละคำ “ชันสูตรศพ!”

ขันทีชราก้มศีรษะและรีบกลับไปสั่งการ ราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนี ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกไป

จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งลงบนบัลลังก์มังกรสูง สีหน้ามืดมน ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่ประโยคเดียว เหล่าขุนนางเบื้องล่างส่งสายตาถึงกันอย่างเงียบงัน ใบหน้าของฉู่เซียงหลงซีดเซียว จ้องมองเว่ยเยวียนจากหางตาของเขา

หลังจากรอคอยอย่างทรมานเป็นเวลาสี่ชั่วโมง ขันทีชรากลับมาและกระซิบข้างหูของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

จักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งเงียบอยู่นาน แล้วตรัสช้าๆ “โหรแห่งสำนักโหราจารย์จะเข้าวังมาสอบสวน ข้าเหนื่อยล้าเต็มที พวกเจ้าไปรอที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อพักผ่อนสักครู่เถอะ”

เขาจ้องมองที่ฉู่เซียงหลง ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เจ้าอยู่ที่นี่”

พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนออกจากห้องทรงพระอักษร

ขันทีพาเหล่าขุนนางไปพักผ่อนที่ห้องโถงด้านข้าง

ภายในห้องโถง

เจ้ากรมการคลังถือถ้วยชา จิบชาไปอึกหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปยังเว่ยเยวียนที่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ ลองถามเป็นการหยั่งเชิง “เว่ยกง เรื่องเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือ”

เหล่าขุนนางมองไปที่เว่ยเยวียน เขาเผยสีหน้าจริงจังและมองกลับไปที่เจ้ากรมการคลังอย่างเย็นชา “ใต้เท้าจ้าวคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อล้อเล่นอย่างนั้นหรือ”

“ไม่กล้า ไม่ใช่อย่างนั้น”

เจ้ากรมการคลังถอนหายใจ “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ หากเรื่องร้ายแรงขนาดนี้เป็นเรื่องจริง ทางภาคเหนือตายตกไปแล้วกี่คน บุตรในเงามืดที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ถูกส่งไปประจำที่นั่น แต่เหตุใดถึงไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเลย”

เว่ยเยวียนไม่ตอบสนองต่อการลองเชิงของเจ้ากรมการคลัง

สมุหราชเลขาธิการหวางหรี่ตาและเคาะโต๊ะด้วยนิ้ว ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

เวลาผ่านไปสองชั่วก้านธูป ขันทีชราก็เข้าไปในห้องโถงด้านข้างและกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาทเชิญท่านทั้งหลายกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร”

ต่อมาโหรชุดขาวแห่งสำนักโหราจารย์ได้สอบสวนฉู่เซียงหลง คำตอบนั้นเป็นไปตามคาด ทุกอย่างที่ฉู่เซียงหลงกล่าวล้วนเป็นความจริง

อ๋องสยบแดนเหนือเอาชนะชนเผ่าเถื่อนทางตอนเหนือได้ ทว่ากลยุทธ์การรบแบบกองโจรของชนเผ่าเถื่อนทางตอนเหนือได้นำปัญหาใหญ่มาสู่อ๋องสยบแดนเหนือ และทำให้กองทัพชายแดนเหนืออ่อนล้า

กองทัพชนเผ่าเถื่อนถูกปิดกั้นอยู่นอกชายแดน สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ก็จะยุติโดยปริยาย

ในห้องทรงพระอักษร บรรยากาศผ่อนคลายลงทันที ทุกคนต่างถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก

“เฮ้อ!”

ฉู่เซียงหลงสูดอากาศเย็นเข้าไป “ข้าไม่รู้ว่าเว่ยเยวียนได้ข่าวมาจากไหน เกือบจะทำให้ฝ่าบาทและเหล่าขุนนางเข้าใจผิดเกี่ยวกับไหวอ๋องเสียแล้ว ข้าแอบคิดว่าไหวอ๋องคงไม่ได้ทำให้เว่ยกงขุ่นเคืองใช่หรือไม่”

เว่ยเยวียนไม่สนใจ ก้าวออกมาแล้วพูดเสียงดัง “เรื่องนี้สำคัญมาก สิ่งที่คนผู้นี้กล่าวอาจเป็นความจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์ในแดนเหนือจะเป็นไปตามที่เขาพูด”

ฉู่เซียงหลงเลิกคิ้วและกำลังจะโต้กลับ แต่เห็นสมุหราชเลขาธิการหวางเดินออกมาและกล่าวเป็นเชิงเห็นด้วย

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าคำพูดของเว่ยกงมีเหตุผล เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่สามารถละเลยได้ จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด”

เหล่าขุนนางค่อยๆ คล้อยตามการโน้มน้าวของสมุหราชเลขาธิการหวางและเว่ยเยวียน

จักรพรรดิหยวนจิ่งไตร่ตรอง “ในความเห็นของพวกเจ้า จะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร”

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดใช้แผนการขนส่งเสบียงอาหารไปยังฉู่โจวตามเดิม แต่ในขณะเดียวกัน โปรดส่งคณะทูตติดตามขบวนเดินทางไปยังแดนเหนือเพื่อสอบสวนคดีอย่างถี่ถ้วนด้วย”

เว่ยเยวียนกล่าวว่า “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ก็ทำตามที่พูดเถอะ”

จวนสกุลสวี่

ซูซูถือร่มกันแดดสีแดง นั่งอยู่บนชายคา มองไปยังเสี่ยวโต้วติงที่นั่งเก้าอี้ลมอยู่กลางลานบ้าน

ในห้องโถงถัดไป หลี่เมี่ยวเจินได้พูดคุยกับนายหญิงและคุณหนูของบ้านสกุลสวี่

เมื่ออาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยได้ยินว่ามีแขกมาพักที่จวน ความรู้สึกของพวกนางก็ไม่ใคร่ยินดีนัก

คนแรกคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจวนสกุลสวี่คงจะได้เป็นสถานสงเคราะห์ ส่วนคนหลังคิดว่าผู้หญิงคนนี้สวยเกินไป เป็นเหมือนคู่แข่งของตนเอง

นอกจากผู้หญิงในชุดคลุมลัทธิเต๋าแล้ว หญิงสาวในชุดขาวราวกับหิมะที่อยู่ข้างนอกก็ทำให้สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกกระสับกระส่ายไม่แพ้กัน นางรู้สึกว่าด้วยรูปลักษณ์ของนางเอง ไม่ใช่เพียงไม่มีโอกาสชนะ แต่เทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ

ผู้หญิงที่ถือร่มสีแดงมีเสน่ห์อย่างที่ยากจะอธิบายได้ ถือว่ามีเสน่ห์พิเศษกว่าคนทั่วไป

แต่หลังจากได้ยินว่าหลี่เมี่ยวเจินเป็นผู้ช่วยชีวิตสวี่ชีอัน อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยเปลี่ยนทัศนคติของพวกนางทันที พวกนางแสดงความขอบคุณและยินดีต้อนรับทั้งสองจากใจจริง

“สมแล้วที่บ้านสกุลสวี่เป็นครอบครัวทหาร ข้าเห็นคุณหนูหลิงอินยังเด็กอยู่ แท้ๆ แต่ก็เริ่มเรียนพื้นฐานวรยุทธ์ได้แล้ว” หลี่เมี่ยวเจินเป็นคนเข้าใจโลกเป็นอย่างดี ในระหว่างการสนทนาก็ไม่ลืมประจบประแจงอีกฝ่ายด้วย

เมื่ออาสะใภ้ได้ยินดังนั้นก็ปวดใจมาก นางกล่าวอย่างอับจนหนทาง “ข้าหวังว่านางจะเรียนหนังสือต่ออีกสักสองสามปีมากกว่า ไม่ต้องเชี่ยวชาญรอบด้าน แต่อย่างน้อยขอแค่อ่านออกเขียนได้ก็เป็นพอ แต่เสียดายที่นางโง่เขลาเกินไป”

‘เด็กน้อยถึงแม้จะไร้เดียงสา แต่คงไม่ใช่คนโง่เขลาหรอกกระมัง ญาติผู้น้องของสวี่ชีอันเป็นถึงบัณฑิตจากสำนักอวิ๋นลู่ เขาไม่สอนน้องสาวของเขาให้อ่านออกเขียนได้บ้างเลยหรือ’ หลี่เมี่ยวเจินคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เมี่ยวเจินมาอาศัยชายคาจวนสกุลสวี่ ในเวลาว่างข้าสามารถช่วยสอนระดับก่อปัญญาให้แก่คุณหนูหลิงอินได้”

นางคิดว่าสวี่ซินเหนียนคงจะเรียนหนักเกินไป เขาจึงไม่มีกะใจจะสอนน้องสาวของเขาให้อ่านออกเขียนได้ ในขณะที่สวี่ชีอันและสวี่ผิงจื้อเป็นทหาร ย่อมต้องการให้บุตรสาวบ้านสกุลสวี่นั้นเรียนรู้วรยุทธ์มากกว่า

อย่างไรเสียแค่ช่วยสอนหนังสือเด็กน้อยเป็นครั้งคราว ไม่น่าจะเสียเวลานัก

อาสะใภ้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะปฏิเสธ แต่สวี่หลิงเยวี่ยชิงตอบตกลงเสียก่อน นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขอบคุณมาก ท่านนักบวชหลี่”

หลี่เมี่ยวเจินชอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนของสาวน้อยคนนี้มาก จึงพูดตอบด้วยรอยยิ้ม “ด้วยความยินดี”

หลังจากที่นางพูดจบ นางพบว่าสีหน้าและสายตาของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ที่จ้องมองมาทางนางทวีความสงสารและเห็นใจขึ้นเล็กน้อย

“พี่สาวๆ ท่านเป็นผีจริงๆ หรือเจ้าคะ”

สวี่หลิงอินที่กำลังทำท่านั่งเก้าอี้ลม ขาสั่นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูซูที่นั่งอยู่บนชายคา

“ใช่สิ ข้ากินคนได้นะ ไม่กลัวหรือ” ซูซูขู่

“กลัวเจ้าค่ะ!” สวี่หลิงอินแสดงท่าทีหวาดกลัว

ซูซูยิ้ม ภูมิใจเล็กน้อย นางฮัมเพลงเบาๆ จ้องไปที่ท้องฟ้าสีครามด้วยสายตาเหม่อลอย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เด็กสาวตัวโต และเด็กหญิงตัวเล็กสองคนก็หายไปจากลานบ้าน

“พี่สาว พี่สาว…”

เสียงตะโกนมาจากด้านล่าง ซูซูมองลงมา เด็กหญิงตัวเล็กยืนอยู่ใต้ชายคา เงยศีรษะขึ้น จ้องมองนางด้วยสายตาไร้เดียงสา

“ลงมาได้หรือไม่” สาวน้อยกล่าว

ซูซูค่อยๆ ร่อนลงมาหยุดกลางลานบ้าน มองลงไปยังเส้นผมที่ขดม้วนบนศีรษะของสวี่หลิงอิน แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอะไรรึ”

สวี่หลิงอินไม่พูด แต่กวักมือเรียกอีกฝ่ายให้เดินตามมา

ซูซูตามไปด้วยความสงสัย เมื่อเดินไปถึงห้องครัว ควันไฟก็ลอยเข้าที่ใบหน้าของนาง เสี่ยวโต้วติงพยายามข้ามธรณีประตูอย่างทุลักทุเล นางหันกลับมาพูดว่า

“พี่สาว มากับข้าสิ”

ในห้องครัว สาวน้อยผิวเข้มจากซินเจียงตอนใต้กำลังเผาเชื้อเพลิง น้ำมันร้อนระอุเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ สวี่หลิงอินดึงซูซูไปที่ด้านข้างของหม้อ เงยหน้าขึ้น แล้วพูดอย่างมีความหวัง

“พี่สาว พี่ปีนลงไปในนั้นได้หรือไม่”

ใบหน้าของซูซูแข็งทื่อทันที

สวี่ชีอันกลับไปที่จวนสกุลสวี่ แนะนำหลี่เมี่ยวเจินให้กับอารองสวี่ อารองสวี่คิดว่านางเป็นสหายของหลานชายเขา จึงพยักหน้าไปทางหิ้งบูชาบรรพบุรุษ

จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างใจเย็น “นักบวชหลี่ ท่านฝึกฝนจากสำนักใดหรือ”

“นางเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ หนึ่งในตัวเอกของการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์” สวี่ชีอันกล่าวเสริม

“…”

สวี่ผิงจื้อเกือบจะยืนขึ้นและคำนับ พร้อมตะโกนออกมาว่า ‘คารวะท่านเทพธิดา’

“เราได้พบกันตอนที่ข้าไปอวิ๋นโจว…” สวี่ชีอันอธิบายสั้นๆ

สวี่ผิงจื้อพยักหน้าอย่างว่างเปล่า ในใจกระสับกระส่ายมาก ความคิดของเขาสับสน

‘ต้าหลางรู้จักเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ด้วย เขารู้จักคนกว้างขวางมากขึ้นๆ ความแข็งแกร่งของเขาก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนข้าก็เพิ่งบรรลุเข้าสู่ขั้นหลอมวิญญาณเอง…ช่างมีอนาคตสดใสจริงๆ’

อารองสวี่คิดด้วยความโล่งใจ รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างตัวเขากับหลานชายเริ่มห่างกันมากขึ้น ความรู้สึกวูบโหวงก็กัดกินหัวใจของเขา

หันกลับไปมองลูกชายของตน เมื่อเด็กคนนี้เข้าร่วมการสอบต่อหน้าพระที่นั่งแล้ว ก็จะได้เป็นข้าราชสำนักเต็มตัว แม้ว่าความก้าวหน้าของเขาจะไม่ก้าวกระโดดเหมือนหนิงเยี่ยน แต่ก็ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไป และขึ้นเป็นมังกรหงส์เหนือปวงชนได้

ข้ามีหน้าไปพบบรรพชนแล้ว…น่าเสียดายที่พี่ใหญ่ด่วนจากไปเสียก่อน จนไม่ทันได้เห็นลูกชายและหลานชายของตนก้าวหน้ามาไกลถึงเพียงนี้…’

ในเวลานี้สวี่ซินเหนียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ใหญ่ คุณหนูหวางเชิญข้าไปพบที่ทะเลสาบอีกแล้ว”

คุณหนูหวางชอบเอ้อร์หลางของพวกเรางั้นหรือ หัวใจของสวี่ชีอันกระตุกเล็กน้อย เขามั่นใจในการคาดเดาของตนยิ่งขึ้น

ระหว่างคดีฉ้อโกงข้อสอบเคอจวี่ คุณหนูหวางก็ส่ง ‘ข้อความลับ’ ให้แก่เขา เนื้อหานั้นดูผิดสังเกตอย่างยิ่ง

จนถึงตอนนี้ เมื่อนางติดต่อเชิญให้ไปพบที่ทะเลสาบถึงสองครั้ง ก็สามารถสรุปได้ว่าคุณหนูหวางต้องสนใจในตัวเอ้อร์หลางอย่างแน่นอน ซ้ำยังรุกหนักมากอีกด้วย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สวี่ชีอันยิ้มและกล่าวว่า “แล้วเจ้าตกลงไปหรือยัง”

สวี่ซินเหนียนส่งเสียง “เหอะ” ออกมา “ข้าปฏิเสธไปแล้ว เพราะการสอบต่อหน้าพระที่นั่งใกล้เข้ามาทุกที”

“ทำได้ดีมาก เอ้อร์หลาง…” สวี่ชีอันตบไหล่และกล่าวชมเชย “เรียนรู้จากข้าได้ดีมาก”

ต้าหลางเยาะเย้ยเอ้อร์หลาง

‘เรียนรู้จากเจ้า? ใช้คำพูดไม่ถูก หึ พี่ใหญ่ผู้ไร้การศึกษาของข้านี่ช่างกระไร’…เอ้อร์หลางเองก็เยาะเย้ยต้าหลางอยู่ในใจเช่นกัน

หลังอาหารเย็น สวี่ชีอันมาที่ห้องของหลี่เมี่ยวเจินและกำลังจะเคาะประตู เขาได้ยินเสียงของซูซูจากด้านใน

“นายท่าน เด็กตระกูลนี้น่ากลัวนัก นาง นางจะกินข้า แถมยังจะให้ข้าลงไปในหม้อน้ำมันเดือดอีก”

“เด็กคนนั้นไร้เดียงสา อย่าถือโทษโกรธนางเลย ไม่ต้องสนใจ” หลี่เมี่ยวเจินพูดส่งๆ

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้ารู้สึกได้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น ดวงตาที่ลุกโชนนั่น…” หลังจากที่ซูซูกล่าวออกมาไม่กี่คำ เมื่อเห็นว่าหลี่เมี่ยวเจินไม่สนใจนาง นางก็แค่นเสียงอย่างโกรธจัด

“ผู้ชายเฮงซวย น้องสาวของเจ้าจะกินข้า”

เมื่อพูดประโยคนั้นจบ ประตูถูกเปิดเข้ามาโดยทันที ซูซูเท้าสะเอว ทำแก้มป่อง จ้องไปที่เขาด้วยความโกรธเคือง

อา เรื่องนี้…ข้าจำได้ว่า อาสะใภ้เคยบอกกับนางว่าผีทอดอร่อยมาก เด็กโง่คนนี้ ข้าไม่คิดว่านางจะจริงจัง แถมยังจำได้นานขนาดนี้

หน่วยความจำของนางมีมากเกินพอที่จะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ ทั้งหมดได้ด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดถึงยังจำกลอนสามตัวอักษรไม่ได้สักทีนะ

สวี่ชีอันบ่นในใจและเปลี่ยนหัวข้อ “ซูซู ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าถ้าข้าตกลงทำตามคำขอของเจ้าสองข้อ เจ้าจะยอมเป็นอนุภรรยาของข้าเป็นเวลาสามปี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เมี่ยวเจินก็จ้องไปที่ซูซูด้วยสายตากรุ่นโกรธ

ผีสาวผู้มีเสน่ห์อ่อนหวานเย้ายวนยิ่งกว่าเจ้านายของตนเท้าสะเอวและพูดว่า “ใช่! เจ้าต้องช่วยข้าสร้างกายเนื้อขึ้นเสียใหม่ จากนั้นก็หาสาเหตุว่าเหตุใดพ่อข้าถึงถูกตัดศีรษะในตอนนั้น

“ไม่เพียงแต่ข้าจะเป็นอนุภรรยาของเจ้าเป็นเวลาสามปีเท่านั้น แต่ข้าจะมอบลูกชายให้เจ้าด้วย”

ที่จริงแล้วไม่ว่านางจะเป็นอนุหรือไม่ ที่สวี่ชีอันตกลงช่วยนางในทีแรก ก็เพราะเขารู้สึกผิดนิดๆ ที่รังแกผีสาวตนนี้เท่านั้น

ตอนนี้หลี่เมี่ยวเจินมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาไม่มีวันลืมข้อตกลงเดิม

แน่นอนว่าซูซูต้องการสิ่งตอบแทน เป็นอนุก็ย่อมได้

ข้าจะให้ซ่งชิงสร้างกายเนื้อ 36D ขึ้นมาให้จงได้ ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร ข้าลำบากได้ แต่ลูกข้าจะมาลำบากด้วยไม่ได้…เขาเอ่ยในใจอย่างเงียบๆ ก่อนจะมองไปทางหลี่เมี่ยวเจิน

“บอกทุกอย่างที่พวกเจ้ารู้มาก่อน”

ท่าทางของสองนายบ่าวเริ่มจริงจัง หลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่า “ซูซูเกิดในเจียงโจว บิดาของนางเป็นนายอำเภอของเจียงโจว ปีหยวนจิ่งที่สิบห้า เขาต้องโทษตัดศีรษะ สมาชิกผู้หญิงในตระกูลก็ถูกจับส่งไปอยู่ในสำนักสังคีต

“มารดาของนางเป็นคนเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมตกเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จึงวางยาพิษให้ญาติผู้หญิงทั้งหมด รวมถึงซูซูด้วย แต่ในตอนนั้นนางกลับหนีไปอาศัยอยู่กับน้องชายที่ศึกษาอยู่ต่างเมืองแทน

“ขากลับมายังเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าพาซูซูอ้อมไปทางเจียงโจว พาย้อนกลับเสาะหาอดีตในตอนนั้น ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแปลกๆ เรื่องหนึ่งเข้า”

……………………………………………….

นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปรโมชั่น

อัปเพิ่มต่อ +1

เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ

17-30 พ.ย. 65 เท่านั้น!

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

Ink Stone