บทที่ 106 บดขยี้

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 106

บดขยี้

“ถ้าท่านจะไปข้าก็ไม่ห้าม แต่ข้าขอเตือนท่านไว้อย่างนึง หยกของท่านอาจไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ท่านคิด หากท่านไม่ระวังตัวให้ดีสำนักของท่านอาจล่มสลายก็เป็นได้” เย่เย่นั้นเคยได้ยินกิตติศัพท์ของหยกแห่งพงไพรนี้มาบ้าง แต่ตัวเขาเองก็ครอบครองเบญจธาตุศาสตราอยู่ชิ้นหนึ่งเช่นกันดังนั้นเขาจึงไม่สนใจคำขู่ของเหอเฉินเลยแม้แต่น้อย

เหอเฉินคิดว่าเย่เย่นั้นลำพองตน เขาจึงมองเย่เย่ด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจละก็ข้ายินดีที่จะให้ท่านได้ทดสอบพลังของมัน”

เหล่าบรรดาตัวแทนในห้องโถงที่รู้จักพลังอำนาจของหยกชิ้นนี้ดี ต่างพากันหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของเย่เย่ พวกเขาไม่คิดว่าด้วยวรยุทธ์ของเย่เย่จะมากพอที่จะทำลายมันลงได้

แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเย่เย่ตอบรับคำท้าทายที่เป็นไปไม่ได้ของเหอเฉิน

“ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าหยกเจ้าจะเสียหายละก็ ย่อมได้! ข้าจะช่วยให้เจ้าตาสว่างเอง” เมื่อสิ้นเสียงของเย่เย่ทุกคนในโถงก็ตกตะลึงในความบ้าดีเดือดของเขา เหอเฉินเองก็ตกใจและเอามือป้องหูตัวเองเพื่อทำให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้หูฝาดไป

ผู้คนในโถงล้วนตื่นเต้นเมื่อจะได้เห็นทั้งสองประลองกัน แม้จะเป็นแค่การทดสอบพลังของหยกก็ตามที มีเพียงเฉินอี้ตัน และจางเสี่ยวยู่เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับการประลองนี้ แต่พวกเขาก็หาข้อเสนอที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว แม้ว่าพลังของขั้วอำนาจทั้งสามนั้นจะเทียบเย่เย่ไม่ติด แต่พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ากันมากนัก เหอเฉินนั้นเป็นถึงเทพอสูร ในขณะที่พวกเขาทั้งสองยังคงเป็นเทพยุทธ์ขั้นสูงแต่ด้วยยาของหอการค้าตันเซียง หรืออาวุธมนตราของสำนักเพลิงสวรรค์ ทำให้พวกเขาคานอำนาจกันมาอย่างช้านาน

แม้ว่าเหอเฉินจะเป็นเพียงเทพอสูรทั่วๆไป แต่เขาก็ถือครองศาสตราแห่งเบญจธาตุ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเย่เย่ที่จะกำราบเขาลงได้ เขาจึงยังคงมั่นใจในพลังของตน และเดินเข้าหาเย่เย่ช้าๆ ก่อนพูดท้าทายเย่เย่ขึ้นอีกครั้ง

“ในเมื่อท่านเย่เสนอ ข้าก็จะสนอง หากข้าทำให้ท่านขายหน้าก็อย่ามาโทษข้าทีหลังก็แล้วกัน” ในขณะที่เหอเฉินพูดท้าทายเย่เย่ เขาก็พลางจินตนาการภาพที่เย่เย่อับอายต่อหน้าชาวเมืองขึ้นในหัว และแสยะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ ถ้าจะพร้อมแล้วก็บอกข้าละกัน จะได้ไม่มีข้ออ้างว่าถูกข้าเล่นงานทีเผลออีก” เย่เย่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขายังคงมีท่าทีที่ผ่อนคลายและไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

ไม่เพียงเหอเฉิน แต่เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่ก็เริ่มคิดไปในทางเดียวกันว่าเย่เย่นั่นหยิ่งทะนงตนเกินไปมาก ทั้งสองนั้นคิดว่าเย่เย่จะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่ แม้พวกเขาจะไม่อยากเห็นเย่เย่ต้องอับอาย แต่เมื่อพิจารณาจากผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับแล้วนั้น เขาก็หวังว่าเหอเฉินจะสั่งสอนเย่เย่ให้เจียมตัวเสียบ้าง

“อย่าได้เสียใจภายหลังซะล่ะ!” ทันทีที่เขาชูอัญมณีสีเขียวมรกตขึ้น แสงสีเขียวก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาไปทั่วห้องโถง ผู้คนต่างเอามือปิดตาของตน

“โอ้ววววว!” เมื่อแสงสีเขียวค่อยๆจางหายไป ปรากฏให้เห็นเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลดขึ้นล้อมรอบผู้ที่ถือครองมัน ดูคล้ายกับเกราะป้องกันที่ถูกถักทอขึ้นด้วยรากไม้

เหอเฉินไม่รอช้าเขาพุ่งใส่เย่เย่ด้วยความเร็วสูงในทันที แม้จะมีเถาวัลย์ขึ้นล้อมรอบเขาอยู่แต่มันก็ไม่กระทบกับความรวดเร็วของเขาแต่อย่างใด

เปรี้ยงงง!

เย่เย่ไม่ได้ใช้กระบี่เทพอัสนีแต่อย่างใด เขาสวนหมัดเปลือยเปล่าของเขาเพื่อรับการโจมตีของเหอเฉิน สองกำปั้นกระทบกันอย่างรุนแรงทำให้มวลอากาศถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เกิดเสียงสนั่นไปทั่วโถง เย่เย่นั้นยังไม่ได้งัดกระบี่เทพอัสนี หรือแม้กระทั่งปลุกจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขาออกมาทำให้การโจมตีของเขาถูกหักล้างได้อย่างง่ายดาย

เหอเฉินเห็นดังนั้นจึงหลงคิดว่าตัวเองได้ที เขาจึงรัวชุดหมัดใส่เย่เย่อย่างต่อเนื่อง แต่เย่เย่เองก็มีพลังป้องกันจากเกราะมังกรเมฆาทำให้การโจมตีของเหอเฉินนั้นไร้ความหมายไปโดยปริยาย

แต่ชุดเกราะเถาวัลย์ของเหอเฉินเองก็ทำให้เย่เย่ต้องปาดเหงื่ออยู่ไม่น้อย ไม่ว่าเขาจะงัดกระบวนท่าใดออกมาโจมตีมันก็ไม่สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเริ่มรวบรวมลมปราณและกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งอสรพิษออกมา ก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดใส่เหอเฉินอีกครั้ง

ตู้มมมมมมมม!

เถาวัลย์ที่ห่อหุ้มร่างของเหอเฉินอยู่นั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่เหอเฉินก็รู้สึกถึงพละกำลังอันมหาศาลของเย่เย่จึงทำให้เขาตกใจกลัว และถอยออกไปหลายก้าว เมื่อเขาตั้งสติได้จึงกลับมาพูด

ถากถางเย่เย่อีกตามเคย “ความมั่นใจของท่านหายไปไหนหมดซะล่ะ? เข้ามาสิ เข้ามาต่อยข้าให้หนำใจไปเลย!” เขาไม่รอช้าวิ่งเข้าจู่โจมเย่เย่อีกครั้งเพื่อหวังยั่วยุให้เย่เย่โกรธ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมแล้วที่เป็นหยกแห่งพงไพร!” เหอเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าที่จนปัญญาของเย่เย่

แม้ว่าเย่เย่จะยังไม่ได้ใช้กระบี่เทพอัสนีออกมาใช้ แต่เขาก็แน่ใจว่าต่อให้ใช้มันก็ใช่ว่าจะทำลายเกราะนั่นลงได้ ดังนั้นเย่เย่จึงล้มเลิกความตั้งใจนั้น และหยิบธงสีชาดของเขาออกมา

“หลบไป!”

เมื่อเย่เย่เห็นเหอเฉินพุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย เขายังคงหลับตายืนนิ่งพร้อมกับจับธงสีแดงทองด้วยมือทั้งสองข้าง เมื่อได้จังหวะเขาลืมตาขึ้นและโบกธงนั้นอย่างสุดแรง

“จังหวะนี้แหละ!”

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ

คลื่นพลังลมปราณที่คมกริบราวกับใบมีดก็พุ่งใส่เหอเฉิน โชคยังดีที่เขารู้ตัวและเบี่ยงตัวหลบมันได้ทัน แต่คลื่นนั้นก็เชือดเฉือนเกราะธาตุไม้บริเวณเอวของเขาออก และฝากรอยแผลถากๆไว้บนสีข้างของเขา คลื่นทำลายล้างนั้นก็ได้ชนเสาของห้องโถงและสะบั้นมันออกเป็นเสี่ยงๆราวกับใช้ตะเกียบตัดเต้าหู้

บรรดาผู้นำตระกูลและขั้วอำนาจที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน วิ่งหลบเสาที่พังทลายลงกันอย่างอุตลุด เหอเฉินเองก็ใจหล่นไปถึงตาตุ่มแม้ว่าเบญจธาตุศาสตราของเย่เย่นั้นยังไม่สมบูรณ์หากเขาหลบการโจมตีเมื่อสักครู่ไม่ทัน ชีวิตของเขาคงจบสิ้นภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

เนื่องจากธงผุพังสีชาดของเย่เย่นั้นเป็นธาตุตรงข้ามกับหยกแห่งพงไพร ทำให้พลังป้องกันของเขาถูกหักล้างลงได้อย่างง่ายได้ เถาวัลย์บางส่วนที่ถูกตัดออกก็สลายกลายเป็นอณูแสง พวกมันคืนสภาพกลับเป็นก้อนหยกในมือของเหอเฉิน อย่างไรก็ตามมันไม่ได้กลับคืนสภาพเดิมเต็มร้อย รอยร้าวที่ปรากฏขึ้นนั้นเห็นได้ชัดว่าหยกนั้นเสียหายอย่างหนัก เหอเฉินทุบพื้นด้วยความเจ็บใจ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วทำความเคารพเย่เย่อย่างไม่เต็มใจนัก “ท่านเย่เย่นี่แข็งแกร่งจริงๆ ข้าน้อยขอยอมรับความพ่ายแพ้”

เขาไม่กล้าที่จะท้าทายเย่เย่อีกเป็นครั้งที่สอง ความมั่นใจและทักษะด้านฝีปากของเขาถูกเย่เย่ทำลายจนหมดสิ้น นัยน์ตาของเหอเฉินตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เมื่อเขาตั้งสติได้จึงรีบขออภัยต่อหน้าเย่เย่

“ข้าน้อย เหอเฉินเลินเล่อไปชั่วขณะ ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยและอนุญาตให้ข้าน้อยได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ท่านด้วยเถิด”

หลังจากที่ถูกเย่เย่สอนเชิงมวย เหอเฉินจึงเปลี่ยนใจและสวามิภักดิ์ต่อเย่เย่ด้วยความอ่อนน้อม ท่ามกลางสายตาที่สับสนของผู้คนภายในโถง เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่ เมื่อพวกเขาเห็น เหอเฉินพลาดท่าเสียที พวกเขาก็โค้งคำนับเย่เย่ด้วยความรู้สึกผิดเช่นเดียวกัน

“พวกข้าหลงผิดไปชั่วครู่ ท่านเย่ได้โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย” ทั้งสามขั้วอำนาจยอมจำนนต่อเย่เย่พลางตระหนักถึงความต่างชั้นระหว่างพวกเขาทั้งสามและเย่เย่

เหล่าตระกูลน้อยใหญ่ที่ยังคงไม่เชื่อมั่นในตัวเย่เย่ เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผันเช่นนี้พวกเขาก็ไม่กล้ากระทำการอารยะขัดขืนใดๆทั้งสิ้นอีกเลย ไม่มีผู้นำคนไหนในหลิงเฉิงโง่พอที่จะท้าทายเย่เย่ในขณะนี้ พวกเขาได้แต่ยอมตามน้ำไปกับขั้วอำนาจทั้งสามและยอมสวามิภักดิ์ต่อเย่เย่แต่โดยดี

“ดี! ตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อใจข้า ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวัง ตราบใดที่ภัยครั้งนี้ผ่านพ้นไปข้าสัญญาว่าจะคืนอำนาจให้แก่พวกท่านและจะไม่แทรกแซงกิจการของพวกท่านอีก”

หลังจากที่ขั้วอำนาจทั้งสามแสดงความจริงใจต่อเย่เย่ เขาจึงประกาศรวมศูนย์การปกครองหลิงเฉิงไว้ที่หอการค้าหยูเย่ชั่วคราว และเริ่มพูดคุยถึงแผนการรับมือภัยร้านที่คืบคลานเข้ามา…