ตอนที่ 303
ประกาศ
“…..”หลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดไป๋จูเหวินก็ฟื้นขึ้นมาจากการฟื้นฟูพลังที่เสียไปจากการปล่อยฝ่ามือเพลิงพิฆาตติดๆกันเสียที คราวนี้นานกว่าเดิมมากเพราะจำนวนพลังที่ใช้ออกไปนั้นเหมือนกับการกู้ยืมพลังในอนาคตมาใช้ กว่าจะฟื้นฟูได้ก็นานเอาเรื่อง
“ท่านพ่อ”ไป๋หลินที่เฝ้าอยู่ข้างๆเห็นไป๋จูเหวินเริ่มขยับนางก็รีบเข้ามากอดผู้เป็นพ่อเอาไว้ทันที
“ไป๋หลิน…”ไป๋จูเหวินว่าพลางกอดลูกสาวเบาๆ แต่เมื่อมองไปรอบๆก็พบว่านอกจากไป๋หลินแล้วพวกท่านน้ารวมทั้งเหมายหลินเองก็นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมาอย่างโล่งอก มันจำได้ลางๆว่าราคะจับตัวไป๋หลินเอาไว้เพื่อให้มันหยุดโจมตี แต่ตอนนี้ไป๋หลินยังอยู่กับมันแสดงว่ามีคนตามไปหานางกลับมาแล้วงั้นหรือ?
“ท่านพี่…”เหม่ยหลินเดินเข้ามานั่งที่ข้างๆเตียงของไป๋จูเหวินพลางจับมือของมันเอาไว้ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ไป๋จูเหวินยังไม่รู้ และนางก็คิดว่าสมควรจะบอกมันให้ทราบก่อน
“อะไรนะ…”ไป๋จูเหวินสะท้านวาบไปทันทีเมื่อได้ยินเรื่องที่มารราคะอยู่ในตัวของไป๋หลิน มันรีบเปลี่ยนดวงตาตนเองเป็นสีม่วงทันทีเพื่อตรวจสอบพลังของไป๋หลิน และก็เป็นอย่างที่เหม่ยหลินบอก ในร่างของไป๋หลินตอนนี้มีทั้งพลังวิญญาณ พลังอสูร และ พลังมาร แน่นอนว่าพลังอสูรและพลังวิญญาณของไป๋หลินนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างสันติมาแต่แรกเพราะเกิดมาพร้อมกับไป๋หลิน แต่พลังมารนั้นมีขนาดเล็กกว่ามาก ไป๋จูเหวินเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหากพลังมารที่เติบโตเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพัฒนาต่อไปจะทำให้พลังของไป๋หลินเสียสมดุลหรือไม่
“ข้าไม่เป็นไรหรอกท่านพ่อ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มบางๆ นางได้คุยกับพี่ราคะของนางแล้ว ต่อให้พลังมารเพิ่มสูงขึ้นก็ไม่ทำให้ไป๋เกิดอาการผิดปกติแต่อย่างไร เพราะผู้คุมสมดุลนั้นคืออสูรแมงมุม หวังเฉียน และตัวราคะที่อยู่ในร่างของไป๋หลินเอง ทำให้การควบคุมพลังง่ายมากเหมือนตอนไป๋จูเหวินขึ้นเป็นระดับเทียนเซียน ตัวมันมีหวังเฉียนและมารดาแมงมุมเป็นรูปแบบของพลังทั้งสองฝั่งของมัน ตอนเลื่อนระดับขึ้นมาแทบจะไม่มีอะไรติดขัดเลย ต่างจากเหม่ยหลินที่ต้องให้ไป๋จูเหวินช่วยควบคุมพลังทั้งสองให้
“แต่เจ้าต้องระวังเอาไว้นะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางกอดบุตรสาวเอาไว้แน่น
“จริงสิท่านพ่อ ท่านลุงอู๋หมิงฝากของมาให้ท่าน”ไป๋หลินว่าพลางยื่นตำราเล่มหนึ่งให้ไป๋จูเหวิน
“นี่มัน ของไช่จิน?”ไป๋จูเหวินมองตำราจัดอันดับจอมยุทธของไช่จินในมือของไป๋หลิน หากดูจากปกแล้วมันเป็นเล่มใหม่ที่พึ่งออกมาเลยไม่ใช่หรือ
“………..”ไป๋จูเหวินเปิดหน้าแรกขึ้นมาซึ่งมักจะเป็นตารางอันดับจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งแต่เดิมหลังจากอาวุโสเทียนหมิงกลับมาในระดับพลังเจ้าสวรรค์ท่านก็อยู่อันดับ 1 มาตลอด แต่ตอนนี้อันดับ 1 กลับเปลี่ยนเป็นชื่อของไป๋จูเหวินแทน ส่วนเหม่ยหลินอยู่อันดับ 2 ทั้งๆที่พวกมันยังไม่ได้ขึ้นระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 เสียด้วยซ้ำ
“ไอ้ องค์ชายอสูรนี่มันอะไรกัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองชื่อที่เขียนต่อจากคำว่า ไป๋จูเหวิน
“ท่านลุงบอกว่าเป็นฉายาของท่านพ่อเจ้าค่ะ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มกว้าง ทำเอาไป๋จูเหวินได้แต่ถอนหายใจ
“แบบนี้เจ้าคงดังไปทั่วแน่ๆ”ราชสีห์เพลิงว่าพลางหัวเราะออกมา ชื่อของหลานชายอยู่อันดับ 1 ของตำราจัดอันดับจอมยุทธเช่นนี้จะว่าน่ายินดีก็ได้กระมัง
พรึบ…ไป๋จูเหวินถอนหายใจพลิกหน้ากระดาษช้าๆ ก่อนที่มันจะมาหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่งของตำรา ทั้งหน้านี้เขียนรายชื่อต่างๆเอาไว้มากมายโดยไม่ได้เรียงลำดับเอาไว้ มันคือชื่อของยอดฝีมือที่ตายไปในการต่อสู้ที่วังหลวงอาณาจักรโฮนั่นเอง แน่นอนว่าในนั้นมีชื่อของอาวุโสเทียนหมิงอยู่ด้วย รวมกับเหล่ายอดฝีมือคนอื่นๆ
“นี่มัน”ไป๋จูเหวินสะท้านวาบเมื่อสายตามาหยุดอยู่ที่ชื่อๆหนึ่งในตารางผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของมารในอาณาจักรโฮ นอกจากอาวุโสเทียนหมิงแล้วยังมีชื่อของสหายของท่านด้วย นั่นคือ เซียนดาบ…
“วันนั้นการต่อสู้ชุลมุนมาก..”เหม่ยหลินว่าพลางจับบ่าของไป๋จูเหวินเอาไว้ แม้ไป๋จูเหวินจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเซียนดาบนัก แต่ไป๋จูเหวินก็ได้รู้จักท่านมาบ้าง แน่นอนว่าศิษย์ของท่านเองก็ยังเป็นสหายคนหนึ่งของมันเช่นกัน
“ตอนนี้อาวุธมารถูกเก็บไว้กับตัวหยงเว่ยหมดแล้ว การเสียสละของพวกท่านทำให้อาณาจักรอู๋รอดพ้นภัยอันตรายมาได้”เหม่ยหลินตอบพลางกอดไป๋จูเหวินเอาไว้
“เข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินตอบเสียงเบาพลางปิดตำราลง แต่เมื่อปิดไป๋จูเหวินกลับมองเห็นกระดาษใบหนึ่งแทรกออกมาจากตำรา มันเป็นกระดาษที่ถูกสอดเอาไว้ในตำราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตำราแต่แรก การที่อู๋หมิงนำตาราเล่มนี้มาฝากนั่นหมายความว่ามันส่งมาจากอู๋หมิงนั่นเอง
“…….”ไป่จูเหวินเบิกตากว้างมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยท่าทีงุนงง
“ประกาศจับ”เหม่ยหลินเองก็ไม่เห็นกระดาษแผ่นนี้ในตอนแรก แต่เมื่อเห็นนางเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ประกาศจับแผ่นนี้มีรูปของไป๋จูเหวินชัดเจน แถมราคาค่าหัวยังมากจนน่าตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงมีประกาศจับท่านได้ล่ะ”เหม่ยหลินถามพลางหันไปมองไป๋จูเหวิน
“นี่มาจากอาณาจักรโฮ..”ไป๋จูเหวินตอบพลางอ่านข้อความในกระดาษอย่างประหลาดใจ แม้จะไม่ทราบสาเหตุ แต่ประกาศใบนี้ประทับตราของอาณาจักรโฮ นั่นหมายความว่าประกาศจับใบนี้มีผลแต่ในอาณาจักรโฮเท่านั้น
พรึบ… ไป๋จูเหวินพลิกหน้ากระดาษพลางมองที่ด้านหลังใบประกาศจับ อู่หมิงส่งมาเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์แน่ๆ
อาณาจักรโฮโยนความผิดเรื่องเมืองที่โดนทำลายมาให้เจ้า ข้าประกาศออกไปแล้วว่าอาณาจักรอู๋จะไม่รับผลของประกาศจับใบนี้ อาณาจักรชิน และ ชู ก็เช่นกัน แต่ข้าไม่มั่นใจว่าจะมีพวกอยากได้เงินรางวัลมาตามหาเจ้าถึงอาณาจักรอู๋หรือไม่ ยังไงก็ระวังตัวด้วย
อ่อ…ชื่อฉายานั่นไช่จินถือวิสาสะคิดเอาเอง ข้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย
เนื้อหาในจดหมายทำเอาไป๋จูเหวินไม่ทราบจะขำหรือโล่งใจดี อย่างน้อยประกาศจับใบนี้ก็ไม่ถูกแจกจ่ายในอาณาจักรอู๋หรืออาณาจักรชินกับชู อาณาจักรเหล่านี้เป็นพันธมิตรกัน แถมอาณาจักรชินยังนับไป๋จูเหวินเป็นองค์ชายของอาณาจักรตัวเองด้วย ทั้งไป๋จูเหวินยังเคยสู้ร่วมกับยอดฝีมือของอาณาจักรอู๋และชินมาแล้ว ถึงอย่างไร 2 อาณาจักรนี้ไม่มีทางส่งคนมาทำอะไรไป๋จูเหวินแน่ๆ
“แย่ที่สุดเลย ทำไมถึงทำกับท่านพ่อแบบนี้”ไป๋หลินว่าพลางทำแก้มป่องด้วยท่าทีไม่พอใจ
“ช่างเถอะ แค่พวกเราไม่ไปอาณาจักรโฮก็พอ”ไป๋จูเหวินตอบพลางขยำใบประกาศจับทิ้งไป
“ต่อให้มีคนจะมาจับพ่อเจ้า แม่ก็จะไล่ไปให้หมดเลย”เหม่ยหลินว่าพลางใช้นิ้วบีบแก้มป่องๆของบุตรสาวอย่างเอ็นดู ตอนนี้ไป๋จูเหวินมีพลังที่น่ากลัวมาก ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็คงมีน้อยคนที่สามารถรับมือไป๋จูเหวินได้ แถมเหม่ยหลินเองเห็นอย่างนี้นางมีพลังเทียบเท่าระดับเจ้าสวรรค์เลยทีเดียว ต่อให้ยอดฝีมือมาจับไป๋จูเหวินจริงพวกมันก็ต้องประเมินฝีมือตัวเองมาให้ดีก่อน
.
.
“…..เรือ”ขณะที่ไป๋จูเหวินกำลังรักษาตัวอยู่ที่เขตอสูรผาไร้ก้น ที่เมืองของกลุ่มผู้ฝึกอสูรซึ่งอยู่บนหลังของอสูรเต่ายักษ์นั้นก็ได้พบสิ่งที่ไม่ได้เจอมานาน
“เรืออะไรกัน ทำไมหน้าตาแปลกพิกล”ทหารคนหนึ่งถามพลางมองเรือที่กำลังแล่นผ่านตัวของอสูรเต่ายักษ์อย่างเชื่องช้า ทำเอาเหล่าทหารอดแปลกใจไม่ได้ เพราะหากไม่ใช่เรือที่กลุ่มผู้ฝึกอสูรยอมให้เข้ามาละก็อสูรเต่ายักษ์จะเป่าทิ้งทันที
“ผะ ผ่านได้จริงๆด้วย”แม้ทหารบนหลังของอสูรเต่ายักษ์จะแปลกใจที่มีเรือแปลกหน้าผ่านทางมา แต่คนบนเรือกลับประหลาดใจยิ่งกว่าที่พวกตนสามารถผ่านเทพพิทักษ์แห่งท้องทะเลของอาณาจักรอู๋มาได้
“เห็นไหม ข้าบอกแล้ว”หญิงสาวผมแดงว่าพลางยืดองอย่างภูมิใจ
“ตอนแรกเจ้าเองก็กลัวจนขาสั่นเลยไม่ใช่หรือไง”ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมแขนกลเอาไว้ข้างหนึ่งพูดพลางเดินมาที่ขอบเรือ พอได้มาเห็นใกล้ๆแล้วก็น่ากลัวจริงๆ
คลืนนนน….ขณะที่เรือกำลังแล่นผ่านร่างของอสูรเต่ายักษ์ หัวของมันก็โผล่ออกมาจากน้ำพลางมองเรือที่กำลังแล่นผ่านไปด้วยท่าทีสนใจ
พรึบ…ที่เสาเรือมีธงรูปแมงมุมประดับเอาไว้ ทำให้อสูรเต่าไม่ได้โจมตีเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังจ้องมองลงมายังเรือแปลกหน้าต่อไป
“เหมือนจนน่าตกใจจริงๆ”อสูรเต่ายักษ์พูดพลางกระพริบตาทีหนึ่ง
“เหมือน?”ชายหนุ่มสวมแขนกลถามพลางมองอสูรเต่ายักษ์อย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่ามันจะพูดด้วยแบบนี้
“เจ้ายังไงล่ะ เหมือนกับเจ้าหนูไป๋จูเหวินจริงๆเสียด้วย…แต่เจ้าไม่มีพลังเช่นมัน”อสูรเต่าตอบพลางมองเพิร์ลที่ยืนอยู่ข้างๆรูบี้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนไป๋จูเหวินมากทีเดียว หากไม่ใช่อสูรที่ได้รับผลจากพลังดึงดูดอสูรของไป๋จูเหวินคงแทบจะแยกไม่ออกเลยกระมัง
“ขอรับ ข้าเองตอนที่ได้เจอกับไป๋จูเหวินก็ตกใจมากเช่นกัน แม้แต่คู่หมั้นของข้ายังมองไม่ออกเลย”เพิร์ลหัวเราะพลางมองไปทางรูบี้ ตอนนั้นนางเองก็แยกไม่ออก ทำเอามันใช้เรื่องนี้ล้อรูบี้เล่นมาตลอดเหมือนกัน
“งั้นเจ้าก็ไปเถอะ”อสูรเต่ายักษ์ว่าพลางลดหัวลงไปใต้น้ำเช่นเดิม
ตุบ….ร่างของรูบี้นั่งลงกับพื้นพร้อมหายใจถี่ๆด้วยความตื่นเต้น
“พวกเรากำลังพูดกับปีศาจ ห้าๆ”รูบี้หัวเราะออกมาพลางนอนลงกับพื้นเรือ แน่นอนว่าไม่มีใครต่อว่านอกหรอกเพราะคนบนเรือก็ล้มลงนั่งเหมือนกันหมด
“ยอดเลย เป็นอย่างที่ไป๋จูเหวินบอกจริงๆ”เพิร์ลพูดพลางถอนหายใจออกมา มันใช้เวลาตั้ง 5 ปีเตรียมตัวออกเดินทาง สิ่งที่ยากที่สุดคือการเสนอเรื่องให้อาณาจักรของพวกมันยอมปล่อยให้บุตรชายและบุตรสาวของขุนนางออกเดินทางเข้าไปในเขตของเทพแห่งท้องทะเล โดยมีแค่คำรับปากจากคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่ทราบ เรียกได้ว่ากว่าจะกล่อมให้คนอื่นๆยอมเชื่อว่าสามารถผ่านด่านของเทพแห่งท้องทะเลไปได้แน่ๆก็ใช้เวลาไปนานมาก เพราะแม้แต่ตัวเพิร์ลและรูบี้เองก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากดีนัก
แต่ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น พวกมันสามารถผ่านด่านของเทพแห่งท้องทะเลมาได้ นอกจากนั้นยังได้รับการทักทายอย่างเป็นมิตรอีกต่างหาก นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว