ภาคที่ 1 บทที่ 77 กลับมา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 77 กลับมา

ในตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วงเลือดสาดมาถึงสองครั้ง ในที่สุดค่ำคืนอันยาวนานก็ได้ผ่านพ้นไป

เมื่อเห็นท้องฟ้าสีขาว ปาหลงก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ในเมื่อปัญหาจบแล้ว เราก็กลับกันเถอะ”

ปาหลงและคนอื่น ๆ ไม่ได้มาจากเมืองหลินเป่ย ซูเฉินเพียงจ้างวานพวกเขามาชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อภารกิจจบ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน ดังนั้นต่างคนจึงต่างบอกลาซูเฉิน

ยามเมื่อเห็นทุกคนหันหลังเดินจากไป ซูเฉินก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันพูดขึ้น “ข้าขอยืมตัวเยี่ยเม่ยไปช่วยเรื่องบางเรื่องได้หรือไม่?”

“เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก?” เยี่ยเม่ยถาม

“เช้าวันนี้ ลุงสองของข้าจะส่งคนมาซื้อยา ข้าอยากให้เจ้าช่วย……”

ได้ยินดังนั้น เยี่ยเม่ยก็หัวเราะ “เจ้าอยากได้ยาเสริมพลังต้นกำเนิดหรือ? เหตุใดต้องทำให้ยุ่งยาก ข้าไปเอามาให้เจ้าก็ได้”

“เปล่าหรอก ข้าแค่อยากให้เจ้าช่วยสลับยาให้”

ดวงตาเยี่ยเม่ยส่องประกาย “เจ้าหนูนี่น่าสนใจจริง ๆ เช่นนั้นก็คือจะเอายาชานิลกาฬให้ลูกชายเขาใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง แต่เราน่าจะทิ้งจดหมายไว้สักหน่อย บอกเขาว่าเป็นยาชนิดใหม่ ต้องใช้เวลาเพื่อให้ยาออกฤทธิ์จึงจะได้ผลดีที่สุด” ซูเฉินหัวเราะ

ทุกคนเข้าใจแผนการในทันทีก่อนจะหัวเราะชั่วร้ายออกมา

เยี่ยเม่ยเอ่ยขึ้น “เจ้านี่นิสัยไม่ดีจริง ไม่มีปัญหา ข้าจัดการให้”

“ข้ายังต้องการให้เจ้าถ่วงเวลาคนส่งยา ให้เขากลับไปยังหลินเป่ยภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้……” ซูเฉินยังเอ่ยคำขออื่นขึ้นมาอีกด้วยความรอบคอบ

“เรื่องนั้นไม่ยากเกินกำลัง แค่น่ารำคาญเล็กน้อย แต่วันนี้เป็นวันใหม่แล้วนะ”

“ข้าจะจ่ายค่าจ้างให้เจ้าอีกหนึ่งวัน ให้มากกว่าราคาอ้างอิงยี่สิบเท่า”

เยี่ยเม่ยยิ้มกว้าง “ต้องแบบนี้สิ”

ปาหลงยืนพยักหน้าอยู่ด้านข้าง “ดูท่าอีกไม่นานคงมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นในตระกูลซู”

ซูเฉินตอบ “เรื่องขัดแย้งภายในตระกูลข้า ทำให้ท่านปาหลงต้องหัวเราะแล้ว”

ทว่าปาหลงกลับตอบกลับอย่างจริงใจ “เรื่องขัดแย้งภายในตระกูลเป็นเรื่องปกติ เกิดขึ้นได้บ่อย ข้าจะมองว่ามันน่าหัวเราะได้อย่างไร? ซูเฉิน ข้ายกย่องเจ้า ถึงเจ้าจะตาบอดแต่จิตใจไม่ได้มืดบอด คนอีกมากยังไม่สามารถเทียบเจ้าได้ ข้าจะรอฟังผลลัพธ์ของความขัดแย้งระหว่างเจ้าและลุงสองของเจ้า ข้าเชื่อว่าต้องสนุกมากเป็นแน่”

“ขอบคุณท่านปาหลง” จากนั้นจึงหันไปทางเยี่ยเม่ย “เช่นนั้นไปพร้อมกันเถอะ ระหว่างทางข้าจะอธิบายรูปลักษณ์ของจ่างซงให้เจ้าฟัง”

“เจ้าไม่กลับไปเมืองหลินเป่ยหรือ?” เยี่ยเม่ยสงสัย

“ข้าจะตามเจ้าไปตำหนักเซียนเหินก่อน ข้ายังกังวลเรื่องที่วานเจ้าไปอยู่”

เยี่ยเม่ยกลอกตามองเขาราวกับนางไม่พอใจที่เขาไม่เชื่อใจนาง ทว่าสุดท้ายก็ตอบตกลง

เมื่อทุกคนต่างแยกย้าย มีเพียงเยี่ยเม่ย ซูเฉิน และกังเหยียนที่มุ่งหน้าไปยังตำหนักเซียนเหิน

ระหว่างทาง ซูเฉินก็ถามคำถามขึ้นมา “ใช่แล้ว ข้าสังเกตว่าระหว่างทำภารกิจ ทุกคนต่างใช้ชื่อปลอม แต่ท่านปาหลงดูจะใช้ชื่อจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? หรือว่าเขาไม่กังวลเรื่องเปิดเผยตัวตนหรือ?”

เยี่ยเม่ยกล่าว “กล่าวกันตามตรง ท่านปาหลงไม่ใช่คนในองค์กร ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทางองค์กรเป็นเรื่องการค้ามาโดยตลอด ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับเรื่องของทางองค์กรก็มีจำกัด ทว่าก็ยังสามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ แทนองค์กรได้”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วคนอื่น ๆ เป็นแบบเขาด้วยหรือไม่?”

“อะไรกัน? เจ้าอยากจะรู้ความลับทั้งหมดขององค์กรเลยหรือไร?” เยี่ยเม่ยหรี่ตามองซูเฉิน

เมื่อได้พูดคุยกันมากขึ้น รวมทั้งร่วมกันต่อสู้เมื่อคืนวาน เยี่ยเม่ยกับซูเฉินก็สนิทสนมกันมากขึ้น ยามคุยกันจึงไม่เกร็งอีกต่อไป

ซูเฉินตอบ “หากเจ้าไม่สะดวกตอบก็ช่างเถอะ ข้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้น อีกอย่าง ข้าไม่ได้อยากรู้ความลับอันใดขององค์กร เพียงแค่อยากเข้าใจคนรอบข้างก็เท่านั้น อย่างเช่นอาหลุนที่ชอบหาเรื่องข้า ข้าอยากรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร แล้วยังเรื่องภาพมายาของหลีที่ดูจะทรงพลังมากนั่นอีก ข้าอยากรู้ว่าเขามีพลังอื่นอีกหรือไม่ ข้าเพิ่งทะลวงเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ เป็นเวลาอันดีที่จะเลือกหนทางข้างหน้าต่อไป ไม่แน่ข้าอาจจะได้เป็นปรมาจารย์ภาพมายาอย่างเขาก็เป็นได้……”

ใบหน้าซูเฉินเผยความต้องการออกมา

“เจ้าถึงได้สงสัยสินะ” เยี่ยเม่ยเอียงคอ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “หากเจ้าต้องการรู้เรื่องพวกนี้ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบังเจ้า อาหลุนฝึกวิชาดาบหักล้าง เป็นทักษะพลังต้นกำเนิดที่ฝึกยากมากทว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก เขาเคยประสบกับการถูกพลังตีกลับทำให้หัวใจได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้โมโหหงุดหงิดง่าย ดังนั้นจึงเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้จงใจรังแกเจ้าหรอก ส่วนถงลู่เป็นปรมาจารย์ด้านการควบคุมพืชพันธุ์ต่าง ๆ ……”

ระหว่างเดินทาง ทั้งสองคนก็พูดคุยไปด้วย

คนทั้งคู่พูดคุยกันไปตลอดทาง เมื่อเดินทางมาถึงในเมือง ซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “จะฝากเรื่องจ่างซงด้วย ข้าตาบอดมองอะไรไม่เห็น คงไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้มาก ข้าขอตัวก่อน”

“หือ? ไหนเจ้าบอกว่าอยากมาดูเรื่องให้จบก่อนไปไงเล่า?” เยี่ยเม่ยถามด้วยความประหลาดใจ

ทว่าซูเฉินกับกังเหยียนเดินจากไปเสียแล้ว

เยี่ยเม่ยสับสนยิ่งนัก “แปลกคน เห็นพูดว่ากังวลเรื่องผลลัพธ์จึงตามจากหุบเขาเงามาจนถึงที่นี่ ทว่าพอข้าจะเริ่มลงมือกลับบอกว่าตนคงไม่เป็นประโยชน์แล้วไปเสียอย่างนั้น เสียเวลาเปล่าเลยมิใช่หรือ? เหตุใดต้องเปลืองแรงตนเช่นนี้ กลับไปเมืองหลินเป่ยตั้งแต่แรกเสียก็สิ้นเรื่อง” นางบ่นพึมพำกับตนเองขณะมองภาพซูเฉินที่เลือนหายไปในหมู่ผู้คน

ทันใดนั้นเอง ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ ‘หรือว่าเขาจะสนใจข้า จึงหาข้ออ้างเดินทางมากับข้างั้นหรือ?’

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องเสน่ห์นางจากความเฉลียวฉลาดและใบหน้างดงามหลังจากได้ร่วมเดินทางมาด้วยกันหลายวันเข้า?

ทว่าเมื่อคิดอีกที เขาเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นหน้านางอยู่แล้ว ฉะนั้นเรื่องหน้าตาคงไม่เกี่ยว ส่วนเรื่องสติปัญญา…… ก่อนหน้านี้คนที่หาว่านางโง่ก็เป็นเขามิใช่หรือ

เช่นนั้นเหตุใดจึงอยากจะเดินทางมากับนางนัก?

นางครุ่นคิดอยู่นาน ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจหาคำตอบได้ “ฮึ่ม ช่างมันเถิด อยากไปก็ไป ข้าไม่สนหรอก”

ดังนั้นนางจึงเดินทางไปทำภารกิจเพียงลำพัง

หลังจากแยกกับเยี่ยเม่ยแล้ว ซูเฉินก็มุ่งหน้าไปยังศาลาพันสมบัติ

ซูเฉินเพิ่งใช้หินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำไปเพียงห้าหมื่นก้อน ครั้งก่อนเพียงซื้อเกราะหลอมทองมาเพียงหนึ่งชิ้น ยังเหลือหินพลังต้นกำเนิดอยู่มากถึงสี่แสนก้อน

ทว่าในครั้งนี้ เขาใช้เงินไปมากพอตัว

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ซูเฉินก็เดินทางออกจากศาลาพันสมบัติ หินพลังต้นกำเนิดกว่า 425,000 ก้อนเหลืออยู่เพียง 150,000 ก้อน

จากนั้นจึงเดินทางไปยังหุบเขาเงากับกังเหยียนอีกครั้งหนึ่ง

จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีผู้ใดรู้ถึงการฆ่าสังหารในค่ายหุบเขาเงาเลยสักคน บรรยากาศในเมืองยังคงเป็นเช่นวันวาน

ในค่ายมีซากศพนอนกองเต็มไปหมด เลือดสด ๆ นองทั่วพื้นค่าย นัยน์ตาที่เบิกกว้างของร่างเหล่ากองโจรต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ซูเฉินไม่สนใจภาพเหล่านั้น และกลับมายังห้องที่อยู่หลังหุบเขาอีกครั้ง เขาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องลับ ลองเคาะกำแพงตรงนั้นตรงนี้เพื่อเงี่ยหูฟังเสียง กังเหยียนไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ ทว่าจุดแข็งของกังเหยียนคือถึงไม่เข้าใจสิ่งใดก็จะไม่พูดพล่อย ๆ ออกมาเด็ดขาด ดังนั้นจึงยืนเงียบต่อไป

หลังจากนั้นไม่นาน ซูเฉินก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวังแล้วหยิบแผ่นเงินขึ้นมา แผ่นเงินแผ่นนี้มียันต์พลังต้นกำเนิดสลักอยู่ทั่ว แค่มองก็สามารถเข้าใจได้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา เป็นสมบัติล้ำค่าที่ซูเฉินซื้อมาจากศาลาพันสมบัติ

เขาวางแผ่นเงินลงบนพื้นก่อนจะใช้ดินกลบไว้ จากนั้นคลื่นพลังไร้รูปร่างก็เริ่มสั่นเป็นระลอกอยู่ในอากาศ

ซูเฉินพากังเหยียนออกจากห้องลับแห่งนั้น หามุมลับนั่งรอเวลา

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ

ตั้งแต่รุ่งเช้าก็ถึงพลบค่ำ

เวลาหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไป ทว่าซูเฉินยังคงนั่งนิ่งดั่งหิน ไม่ได้ดูหมดความอดทนแม้แต่น้อย

สมัยที่เขาตาบอด เขาก็นั่งนิ่งอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานเช่นกัน

ในตอนนั้น นอกจากนั่งนิ่ง ๆ ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก จนกระทั่งแรงใจเขากลับคืนมา

ซูเฉินที่ทนทุกข์มาหลายปีจึงมีความอดทนที่มากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

ในที่สุดยามราตรีก็มาถึง

ท้องฟ้าอาบแสงจันทร์มองดูแล้วดั่งท้องน้ำ

เพียงพริบตาเดียว ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

ถึงภายในค่ายหุบเขาเงาจะยังคงเงียบสงัด นอกจากกองศพที่ถูกทิ้งไว้ตามพื้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีก

ทันใดนั้นเอง

“เปรี๊ยะ!”

เป็นเสียงหนึ่งที่เบามาก

เป็นเสียงกิ่งไม้ถูกเหยียบหัก

กังเหยียนที่กำลังหลับอย่างมีความสุขลืมตาขึ้นกว้าง ทว่ากลับถูกมือหนึ่งปิดปากไว้

เมื่อมองก็พบว่าเป็นมือของซูเฉินที่กำลังปิดปากเขาไว้อยู่ ทั้งยังทำท่าไม่ให้เขาส่งเสียงใด

กังเหยียนจึงพยักหน้าเข้าใจ

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

ยามเมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามา เงาร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งคู่

คนผู้นั้นเดินมาตรงหน้ากองหินปลอม มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีปัญหาใดจึงเดินเข้าไปยังเส้นทางลับ

หลังจากเดินเข้ามาในอุโมงค์ลับแล้ว คนผู้นั้นก็มุ่งหน้าไปกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ จากนั้นก็ลงมือโจมตีกำแพงจุดนั้น ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็สั่นไหว เผยให้เห็นห้องลับที่มืดสนิทอีกห้องหนึ่ง

เป็นเช่นนี้จริง ๆ!

เบื้องหลังห้องลับยังคงมีห้องลับอีกแห่งหนึ่ง

ถึงจะเตรียมใจไว้แล้ว ทว่าเมื่อเห็นประตูลับถูกเปิดออก กังเหยียนก็อดสูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจไม่ได้