ส่วนสตรีนามเซียนเซียนนั้น ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเช่นกัน ทว่าทันใดนั้นก็ได้สติแล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านอาวุโสหานพูดถูกเจ้าค่ะ พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก ไม่แน่ว่าอาจจะมีมารอสูรอะไรซ่อนอยู่อีก พวกเรารีบไปจะดีกว่า”

 

 

เย่ว์จงได้ยินคำนี้ ในที่สุดก็ได้สติกลับมาจากอาการเหม่อลอย แน่นอนว่าย่อมพยักหน้าระรัว

 

 

ทันใดนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีแล้วเดินทางต่อ

 

 

ครั้งนี้พวกเขาบินมาได้แค่ครึ่งชั่วยาม ก็บินออกมาจากม่านหมอกบางๆ ในที่สุดก็ออกจากเขตพื้นที่นั้น

 

 

ทั้งสามไม่มีเจตนาจะหยุดพัก ตั้งหน้าตั้งตาพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของเทือกเขาด้านหน้า

 

 

หานลี่และพวกทั้งสามไม่รู้ว่า ในเวลาเดียวกันที่ทั้งสามออกจากม่านหมอกบางๆ นั้น อีกด้านของหมอกบางๆ ก็มีลำแสงสีเงินอ่อนสายหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้า หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็หยุดอยู่ตรงหน้าม่านหมอก

 

 

ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง เงาร่างคนเล็กๆ ปรากฏขึ้น หูทั้งสองเรียวแหลม ใบหน้าดอกต้นท้อ ด้านหลังมีหางยาวๆ ขนปุกปุยสะบัดไปมา

 

 

หญิงสาวที่ดูเหมือนสวยสดงดงามผู้นี้กวาดตาไปรอบๆ ด้าน จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา

 

 

หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ชั่วพริบตานั้นม่านหมอกสีเงินกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกจากในร่างของสตรีผู้นี้ กลายเป็นอักขระหมุนวนพุ่งแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

“ตามมาไม่ผิดทางดังคาด! ที่นี่ไม่ผิดแน่ ทว่าที่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของอีแร้งหน้ามนุษย์ พวกมันมีเลือดเนื้อของอีกาสีทอง และยังมีลูกสมุน ไม่ค่อยน่าคบค้าสมาคมด้วยนัก ทว่าก็ดี อย่างน้อยที่สุดผู้ที่มาจากภายนอกกลุ่มนั้นจะได้หนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆ” หญิงสาวเลิกร่ายอาคม เผยสีหน้ายินดีออกมาขณะเอ่ยพึมพำกับตนเอง

 

 

ลำแสงสีเงินปรากฏขึ้น สายรุ้งสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหมอกบางๆ

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ตรงจุดที่หานลี่สังหารวิหคมารเหล่านั้นไป ลำแสงสีเงินหม่นแสง หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

 

หลังจากที่หญิงสาวสูดจมูกฟุตฟิต ก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม สำแดงเหมือนก่อนหน้าอีกครั้ง

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวก็มีสีหน้าเขียวคล้ำสลับกับสดใสไม่แน่นอน

 

 

หญิงสาวผู้นี้ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็ชูคอขึ้นเปล่งเสียงร้องคำรามยาวๆ

 

 

ราวกับพยัคฆ์คำรามและคล้ายกับมังกรคำราม!

 

 

แต่เสียงนั้นดังอยู่นาน รอบด้านก็ยังคงเงียบสงัด ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด

 

 

หญิงสาวถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง หยุดคำราม แต่คิ้วดำขลับกลับขมวดมุ่น

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สายตาของนางก็เปล่งประกายพลางสั่นศีรษะ ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นแล้วไปจากที่นี่อีกครั้ง

 

 

ดูจากทิศทางที่มุ่งไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่แตกต่างกับทางที่หานลี่และพวกจากไปเลยสักนิด

 

 

……

 

 

ณ ภูเขาลับในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทอง กลางอากาศแน่นขนัด บนพื้นมีเงาอสูรอยู่มากมาย คาดไม่ถึงว่ามารอสูรหลากชนิดจะมารวมตัวกันจนนับไม่ถ้วน

 

 

ใหญ่หน่อยราวกับภูเขาขนาดย่อม เล็กหน่อยก็มีขนาดแค่สองสามฉื่อ

 

 

และตรงกลางของมารอสูรเหล่านั้น มีศิลาขนาดยักษ์สูงประมาณยี่สิบสามสิบจั้งก้อนหนึ่ง

 

 

บนศิลามีมารหัวใหญ่สองสามจั้งตัวหนึ่งหมอบอยู่ นั่นก็คือหอยยักษ์

 

 

แค่ร่างของมารอสูรนี้เล็กกว่าก่อนหน้าสองสามเท่า ท่ามกลางมารอสูรหน้าตาที่โหดเ**้ยมยิ่งกว่านี้ ก็ดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด

 

 

หอยยักษ์หมอบนิ่งอยู่บนศิลายักษ์ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนว่าจะกำลังรอคอยอะไรอยู่

 

 

กลับเป็นมารอสูรรอบๆ นับพันตัวที่เผยสีหน้าอดทนรอไม่ไหวออกมา คาดไม่ถึงว่าจะรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้เช่นกัน

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ฉับพลันนั้นวิหคมารกลางอากาศจำนวนมากก็แยกตัวออก ค้างคาวยักษ์ความยาวสองสามฉื่อ ผิวมีอักขระสีทองเรืองรองโฉบลงมาด้านล่าง สุดท้ายก็เก็บปีกทั้งสองข้าง หยุดอยู่ตรงหน้าหอยยักษ์

 

 

“นายท่าน ถึงเวลาแล้ว ผู้ที่ควรมาก็มากันครบแล้ว!”

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นก็เคลื่อนตัวเถิด ข้าจะกำชับเป้าหมายในครั้งนี้อีกครั้ง สังหารคนภายนอกที่เข้ามาในเทือกเขาทั้งหมด และชิงจานอาคมในมือของพวกมันมา จากนั้นก็ใช้ยุทธภัณฑ์นั้นตามหา ‘เห็ดเซียน’ มาให้ข้า สุดท้ายก็นำไปมอบให้นายท่านมารเหล็ก ไม่ว่าผู้ใดที่ตามหาเห็ดเซียนตัวนั้น จะได้รับรางวัลอย่างงาม” คำพูดของหอยสั้นง่าย นอกจากเน้นย้ำเป้าหมายอีกครั้ง ก็ไม่ได้พูดจาไร้สาระสักประโยชน์

 

 

มารอสูรนับพันหมื่นตัวในภูเขาเบิกเนตรกันหมดแล้ว หลังจากได้ฟังก็แตกฮือออกในทันที บ้างก็บินไปกลางอากาศ บ้างก็ขดตัวจมหายไปใต้ดิน ล้วนพุ่งตรงไปรอบนอกของเทือกเขา

 

 

หอยยักษ์เองก็กระโจนออกไปเช่นกัน เข้าร่วมกองทัพมารอสูร

 

 

แต่อสูรตัวนี้ไม่ทันสังเกตว่า ในเมฆสีเทาที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งซึ่งอยู่เหนือภูเขาขึ้นไปหลายพันจั้ง มีเงาสีดำเงาหนึ่งซ่อนอยู่ในนั้น

 

 

ดวงตาสีแดงโลหิตคู่นี้มีเงาสีดำสว่างวาบ จ้องเขม็งไปยังทุกอย่างด้านล่างด้วยความเย็นชา

 

 

หลังจากที่มารอสูรทั้งหมดออกจากภูเขา เจ้าสิ่งนั้นก็บินออกมาจากหมู่เมฆ

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นนกแก้วขนาดใหญ่สองสามฉื่อ เรือนกายเป็นสีแดงโลหิต

 

 

หลังจากที่นกแก้วหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นเบาๆ คาดไม่ถึงว่าจะระเบิดตัวเองออก กลายเป็นหมอกสีโลหิตแล้วสลายหายไป

 

 

อักขระสีโลหิตที่แฝงอยู่ด้านในเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกัน ในห้องหินส่วนลึกของใต้ดินที่มีเขตอาคมต้องห้ามแน่นหนาของเทือกเขามารสีทอง ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีโลหิตซึ่งเดิมนั่งสมาธิหลับตาอยู่บนฟูก พลันอ้าปากร้องอุทานออกมาเบาๆ แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

 

 

ชายร่างใหญ่หน้าซีดขาว ปากกว้างจมูกแบน แต่แววตาเคร่งขรึม

 

 

“เจ้ามารปีกเหล็กมันทำอะไร นายท่านบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์กำลังจะฟื้นแท้ๆ กลับเรียกคนจำนวนมากไปสังหารคนภายนอกเพื่ออะไรกัน! ‘เห็นเซียน’ นั่นคือสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าจะระดมผู้คนมากมาย แทบจะส่งมารอสูรระดับสูงใต้บังคับบัญชาทั้งหมดออกไป” ชายร่างใหญ่เอ่ยพึมพำเสียงเบา ใบหน้ามีสีหน้าเคร่งขรึมสลักกับสดใสไม่แน่นอน

 

 

แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นเขาก็ปรบมือทั้งสองเบาๆ

 

 

เสียง “ครืด” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นประตูหินก็เปิดออกอย่างไม่มีสัญญาณมาก่อน หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นเดินเข้ามา

 

 

สตรีผู้นี้สวมชุดชาววังสีแดงโลหิต แต่ใบหน้ากลับถูกปกปิดไว้ด้วยหมอกสีโลหิตจางๆ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้

 

 

“คารวะเสด็จพ่อ!” หญิงสาวเดินมาอยู่ตรงหน้าชายร่างใหญ่ ก็คำนับเบาๆ ทันที

 

 

“เสี่ยอิง ลุกขึ้นเถิด จากที่ข้าคาดเดาสองสามวันนี้มารปีกเหล็กและมารหลายตาไปที่วังธรณีหรือไม่” ชายร่างใหญ่ใช้มือหนึ่งโบกไปมา แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ

 

 

“รายงานเสด็จพ่อ เขาสองคนไม่ได้ปรากฏตัวที่วังธรณี” น้ำเสียงของหญิงสาวเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าไพเราะจับใจ

 

 

“ยังมาไม่ถึง ดูแล้วคงเกิดปัญหาแล้วจริงๆ” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีโลหิตแววตาเปล่งประกาย เผยท่าทางครุ่นคิดออกมา

 

 

“เสด็จพ่อได้ข่าวอะไรมาหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงของหญิงสาวสวมชุดชาววังประหลาดใจไปเล็กน้อย

 

 

“อืม ตอนนี้ลูกสมุนของมารปีกเหล็กล้วนออกจากรังหมดแล้ว” ชายร่างใหญ่เอ่ยอย่างแช่มช้า”

 

 

“อะไรนะ ออกไปหมดแล้ว! หรือว่า…” หญิงสาวพลันตะลึงงัน

 

 

“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด พวกมันไปที่รอบนอกของเทือกเขา เตรียมสังหารคนของแดนวิญญาณที่เข้ามาในเทือกเขาในช่วงนี้!” ชายร่างใหญ่สั่นศีรษะ

 

 

“สังหารคนของแดนวิญญาณ! นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หญิงสาวสวมชุดชาววังพลันตะลึงค้าง

 

 

“นั่นก็เป็นสาเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามา ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เห็ดเซียน’ หากบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้น ข้าก็ออกไปไม่สะดวก เจ้าไปสืบเรื่องนี้มาให้ชัดแล้วค่อยว่ากัน หากได้ข่าวให้รายงานข้าทันที” แววตาของชายร่างใหญ่ฉายแววเย็นเยียบขณะออกคำสั่ง

 

 

“เจ้าค่ะเสด็จพ่อ” หญิงสาวสวมชุดชาววังใจหายวาบ แต่ก็เอ่ยปากตอบรับ

 

 

จากนั้นก็ถอยออกไปจากห้องอย่างนอบน้อม ประตูหินปิดสนิทลงโดยอัตโนมัติ

 

 

ส่วนชายร่างใหญ่สวมชุดชาววังก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง

 

 

……

 

 

กลางอากาศเหนือป่าสีเทาขาวรอบนอกของเทือกเขามารสีทอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งกำลังควบคุมมีดบินสีแดงสามเล่ม ต่อสู้กับมารอสูรที่ดูเหมือนหมีดำสองตัวอย่างสุดชีวิต

 

 

มารอสูรสองตัวนี้ไม่เพียงมีความสูงสองสามจั้ง ฝ่ามือยักษ์ทั้งสี่ยังมีเล็บแหลมคม กรงเล็บลำแสงแหวกผ่านอากาศปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ตัดสลับกับมีดบิน ระเบิดเป็นเสียงไพเราะออกมาเป็นสายๆ การโจมตีรวดเร็วและดุดันมาก

 

 

ชนต่างเผ่าระดับเทพแปลงผู้นี้ ทำได้เพียงฝืนรักษาตัวเองไว้เท่านั้น

 

 

แต่ครู่ต่อมาขอบฟ้าก็มีเสียงร้องประหลาดๆ “แกว๊กๆ” ดังขึ้น จากนั้นเมฆสีดำสนิทก็ลอยมา

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝูงวิหคเขาเดียวสีดำนับร้อยนับพันตัว

 

 

หนึ่งในนั้นมีความยาวสองสามจั้ง ดวงตาสีเขียวมรกต เปล่งแสงเย็นเยียบออกมา

 

 

ชนต่างเผ่าระดับเทพแปลงผู้นี้เห็นทัศนียภาพนั้น ชั่วขณะนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง แต่ก็ถูกการต่อสู้ของหมียักษ์สองตัวรั้งเอาไว้ จนไม่อาจหนีได้ จึงทำได้เพียงกระตุ้นมีดบินสามเล่มนั้นโดยมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า

 

 

มีดบินสามเล่นกลายเป็นสายรุ้งสามสายปกป้องร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

 

แต่หลังจากมารวิหคที่เป็นหัวหน้าเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมา มารวิหคนับร้อยตัวก็กระจายตัวออก มีดบินทำได้เพียงฟันลงไปสิบกว่าตัว ก็ถูกมารอีกาฉีกออกเป็นชิ้นๆ

 

 

แม้แต่มารอสูรหมียักษ์ที่กำลังต่อสู้อยู่ก็ไม่รอด ตายอยู่ในท้องของมารวิหคฝูงนี้เช่นกัน

 

 

แต่สุดท้ายมารวิหคตัวหนึ่งพลันอ้าปาก พ่นยุทธภัณฑ์จานอาคมออกมา

 

 

มารวิหคหัวหน้าเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววดีใจ อ้าปากออก พ่นลำแสงออกมาดูดจานอาคมเข้าไปในท้อง จากนั้นก็พาฝูงมารวิหคบินไปอีกทาง

 

 

……

 

 

เหนือยอดเขาลูกหนึ่งมารอสูรคล้ายกับเสือดาวห้าตัวถ่มน้ำลายลงไปด้านล่าง

 

 

กลางอากาศเหนือยอดเขามีม่านลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น ไอมารสีเทาขาวเหล่านั้นโจมตีไป ทำให้ม่านลำแสงสั่นคลอนไปมาไม่หยุด

 

 

และม่านลำแสงด้านล่างนั้น ชนต่างเผ่าสองคนกำลังถือธงอาคมโบกสะบัดไปมาอย่างสุดฤทธิ์ ใช้พลังปราณของตนเองรักษาม่านลำแสงที่สั่นคลอนจะพังมิพังแหล่เอาไว้ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตายแล้ว

 

 

……

 

 

อีกแห่งที่กว้างใหญ่ไพศาล ชายชราแซ่เยี่ยนและชายหนุ่มหน้าขาวซึ่งกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสายก็กำลังบินหนีอย่างสุดชีวิต

 

 

ด้านหลังของพวกเขา เมฆประหลาดสีเขียวมรกตก้อนหนึ่งและพายุหมุนสีดำสายหนึ่งกำลังไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ

 

 

มองเห็นทั้งสองที่อยู่ด้านหลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ชายชราแซ่เยี่ยนก็ร้องว่าแย่แล้วในใจ กัดฟันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ควานหายันต์วิเศษสีทองที่ดูเก่าคร่ำครึเล็กน้อยออกมาแผ่นหนึ่ง

 

 

ปากพลันบริกรรมคาถา สำแดงมันออกไป

 

 

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีทองเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ดวงหนึ่งปรากฏขึ้น

 

 

หมุนติ้วๆ ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดผ่านไป ไอมารทั้งหมดก็ทยอยกันสลายหายไป ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

 

 

เมฆาสีเขียวและพายุสีดำด้านหลังเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้หยุดชะงัก

 

 

แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงสีทองก็สลายหายไปจนหมด

 

 

ชายชราและชายหนุ่มหน้าขาวที่เดิมทีอยู่ตรงหน้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

สถานการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นทั่วทั้งรอบนอกเทือกเขามารสีทองในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

 

 

ชนต่างเผ่ากว่าครึ่งที่เข้ามาทยอยกันเพลี่ยงพล้ำไปในปากของมารอสูร มีเพียงเจ็ดแปดคนที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้

 

 

ผู้ที่รอดจากปากของมารอสูรเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมไม่รอช้า เมื่อสัมผัสได้ว่ามารอสูรในส่วนลึกของเทือกเขามาปรากฏตัวที่รอบนอกอย่างแปลกประหลาด ก็เปลี่ยนจากสว่างเป็นมืดมิดทันที ระมัดระวังตัวขึ้นเป็นอย่างมาก

 

 

หลังจากที่มารอสูรเหล่านั้นได้จานอาคมแกะรอยของชนต่างเผ่าส่วนหนึ่งไป ก็ค้นหาตามรอบนอกเทือกเขาราวกับหว่านแห

 

 

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือไม่ว่าชนต่างเผ่าที่เหลือหรือว่ามารอสูรเหล่านั้น ล้วนไม่อาจหาร่องรอยของเห็ดเซียนพบ

 

 

และในยามนั้นเองหานลี่และพวกที่เร่งเดินทางมาสองสามวัน ในที่สุดก็เข้าใกล้เป้าหมายอย่างปลอดภัย