ฉีเฟยอวิ๋นไม่ตอบสนองอยู่เป็นเวลานาน เมื่อรู้สึกตัวขึ้นเธอก็ยังคงรู้สึกประหลาดใจและอุ้มลูกกลับไปยังเตียงนอน ฉีเฟยอวิ๋นหอมแก้มลูกชายก่อนจะวางลง จากนั้นจึงแกะผ้าออกเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเด็กผู้ชาย
เป็นเด็กผู้ชายจริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ขณะนี้หนานกงเย่จึงนั่งลงและถามเธอ “เจ้าชอบเด็กผู้ชายเช่นนั้นเลยหรือ?”
ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร เธอรู้สึกว่าเป็นเด็กผู้ชายทั้งหมดอาจจะเป็นความรับรู้ของแม่ที่มีต่อลูกและรู้เพศของลูกตัวเอง
“ใช่ทั้งหมดเลย”
หนานกงเย่พูดคำนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสุข ผิดหวังอย่างพูดไม่ออก
เขาอยากมีลูกสาว เหมือนกันฉีเฟยอวิ๋น ถึงแม้จะเคยพูดว่าไม่อยากได้ลูกสาว แต่เมื่อตอนที่เขาเห็นไป่ซู่ซู่อุ้มเด็กผู้ชายออกมานั้น ในใจของเขากลับมีความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาคาดหวังเพียงแค่ลูกสาวหนึ่งคนเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับไม่มีสักคน
และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉีเฟยอวิ๋นในตอนนี้ ความรู้สึกของหนานกงเย่ก็ไม่สามารถเก็บกั้นต่อไปได้อีก
เขาไม่อยากมีลูกอีกแล้ว เพื่อความปลอดภัยของเธอ
แต่……
เขายังคงต้องการลูกสาว
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เกรงใจ ทั้งที่รู้ความรู้สึกของหนานกงเย่แต่ก็ยังพูด “ถึงแม้ว่าลูกสาวจะดี แต่ลูกชายดีกว่าอย่างแน่นอน อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะได้แต่งงานกับคนที่ไม่ชอบในอนาคต
ลูกชายของหม่อมฉัน ต่อให้ต้องออกเรือนมีครอบครัวก็ต้องหาคนที่ชอบ ไม่เช่นนั้นก็ละทางโลก ไม่ต้องแต่งงานออกเรือน”
หนานกงเย่สีหน้าเคร่งขรึม “อะไรคือการละทางโลก?”
“หมายความว่าไปบวชเป็นพระเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มลูกขึ้นมาและนำไปวางกับอีกสามคน และนำเด็กคนที่อวิ๋นจิ่นอุ้มอยู่มาวางลง เธอจ้องมองและดูว่าใครเป็นพี่คนโต
หนานกงเย่ยิ้ม “เดาดูสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองอย่างละเอียด อันที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษและชี้ออกไปก่อนจะอุ้มขึ้นมา “คนนี้โตสุด”
พี่คนโตดูเหมือนจะดีใจมาก มือน้อยๆ ทั้งสองของเขาขยับไปมาและยิ้มหัวเราะให้กับฉีเฟยอวิ๋น
และในขณะนี้เด็กๆ ที่เหลือต่างก็พากันตื่นขึ้นและลืมตามองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น
“อาอา……”
เด็กๆ ต่างทำเสียงเรียกและมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น เสียงไม่ดังมากแต่เสียงใสมาก ราวกับพวกเขาต้องการให้ฉีเฟยอวิ๋นทายว่าพวกเขาคือใคร
อวิ๋นจิ่นรู้สึกแปลกใจ “นายท่านเจ้าคะ โดยปกติแล้วนายน้อยทั้งหลายไม่ได้เป็นเช่นนี้นะเจ้าคะ ทำไมเมื่อเห็นนายท่านก็รู้สึกดีใจใหญ่เช่นนี้?”
“สายใยรักของแม่และลูกกระมัง นี่ก็มีที่ไม่ออกเสียงไม่ใช่หรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไปที่เด็กที่อวิ๋นจิ่นกำลังวางลง เขาเป็นเด็กเรียบร้อย นอนจ้องฉีเฟยอวิ๋นอยู่ตรงนั้น ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกแปลก เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งที่สุดในบรรดาเด็กทั้งห้าคน หากโตขึ้นคงยากจะรับมือ
“คนนี้เป็นน้องเล็กคนที่ห้าใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไปที่ท่ามกลางเด็กๆ คนหนึ่ง อวิ๋นจิ่นรู้สึกตกตะลึง นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก จะบอกว่าการเดาง่ายๆ ครั้งแรกเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วคราวนี้ล่ะ
“นายท่านทายถูกได้อย่างไรเจ้าคะ?” อวิ๋นจิ่นรู้สึกประหลาดใจ
ไม่เพียงแค่อวิ๋นจิ่น หนานกงเย่ก็รู้สึกแปลกใจ
“สายใยรักของแม่และลูก แค่ดูก็รู้แล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นพูดด้วยความมั่นใจ
น้องเล็กสุดขยับปากไปมแต่ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงไปหอมแก้มและเดินไปหาเด็กๆ อีกสามคนและชี้ไปที่คนหนึ่ง “คนที่สอง”
“ทายจริงหรือ?” หนานกงเย่เริ่มนั่งไม่ติด ทำไมถึงทายถูกได้ง่ายดายเช่นนี้นะ
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงทายต่อไป “คนนี้คนที่สาม คนนั้นคนที่สี่”
ล้วนต่างก็ทายถูก หนานกงเย่มีสีหน้าเคร่งขรึม “เหอะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงไปหอมแก้ม เด็กๆ ต่างพากันหัวเราะยิ้มด้วยความร่าเริง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ในอีกโลกหนึ่งนั้นเธอไม่มีอะไรเลย แม้แต่ญาติเพียงคนเดียวก็ไม่มี แต่โลกนี้เธอมีพ่อที่รักเธอมาก และมีสามีที่ดีต่อเธอและรักเธอ และตอนนี้เธอก็มีลูกชายที่แสนน่ารักมาอีกห้าคน เธอยังปรารถนาอะไรอีก?
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “ตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”
หนานกงเย่เหลือบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจ “ยังไม่ถึงสามเดือน ไม่สามารถตั้งชื่อให้ได้”
“ทำไมหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ หนานกงเย่โบกมือแสดงให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป อวิ๋นจิ่นยิ้มจากนั้นจึงถอยออกไปพร้อมกับคนอื่น เมื่อประตูปิดลงฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกหนานกงเย่กอดไว้ และเขาก็ก้มลงมาจูบเธอ
“ท่านทำอะไรน่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัว หนานกงเย่ไม่ยอมปล่อยและอุ้มฉีเฟยอวิ๋นไปที่สระน้ำกำมะถัน ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้วและการได้อาบน้ำแร่กำมะถันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
“เด็กๆ……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากละทิ้งลูกๆ ไป แต่เด็กๆ ต่างพากันมองไปที่เธอและคิดว่าเธอกำลังเล่นด้วยจึงไม่กลัว
ฉีเฟยอวิ๋นดิ้น “ท่านอย่าทำเช่นนี้นะเพคะ ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวหม่อมฉันทำให้ก็ได้เพคะ”
“จริงหรือ?” หนานกงเย่จับฉีเฟยอวิ๋นไปพิงที่ผนังและอุ้มฉีเฟยอวิ๋นอย่างหอบเหนื่อย ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร ทำไมถึงเหมือนกับได้กินยาเข้าไปยังไงยังงั้นดวงตาทั้งสองมีประกายแสงสีฟ้าขึ้นมา
“ท่านอ๋องเพคะ ท่านไม่กลัวลูกๆ จะเห็นหรือเพคะ?”
“กลัวอะไร ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยถูกใครหัวเราะเยาะเสียหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก “ท่านอ๋อง……ยังไม่พูดเรื่องการตั้งชื่อเลยเพคะ”
หนานกงเย่อดไม่ได้จึงจูบลงไปอีกครั้ง “คืนนี้ต้องจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับข้า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฆ่าข้าเสียจะดีกว่า!”
ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะหัวเราะออกมา!
หนานกงเย่กัดฟันกรอด จากนั้นก็ก้มลงไปจูบเธออีกครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองเด็กๆ “ทำไมถึงยังไม่ตั้งชื่อลูกล่ะเพคะ? หรือว่าที่นี่ต้องผ่านไปสามเดือนก่อนถึงจะตั้งชื่อได้เพคะ?”
“เป็นการให้ความเคารพแก่ชื่อแซ่ ก็คือนอกจากแซ่แล้วนั้น ชื่อก็เป็นมีค่าที่สุด พวกเราชาวเมืองต้าเหลียงเ เมื่อเด็กๆ เกิดออกมาจะต้องรอให้ถึงสามเดือนถึงจะตั้งชื่อให้ได้
และการตั้งชื่อก็มีห้าวิธีปฏิบัติและข้อห้ามอีกหกประการ ห้าวิธีก็คือ วิธีความเชื่อ ตั้งชื่อตามเหตุที่เกิดจริง วิธีธรรม ตั้งชื่อตามมงคล วิธีคล้ายกัน ตั้งชื่อตามสิ่งที่เกี่ยวกับพ่อ วิธีเท็จ ยืมชื่อจากสิ่งต่างๆ รอบตัว
ข้อห้ามหกประการคือ ไม่ใช่ชื่อเมือง ชื่อทางการของอาณาจักร ชื่อภูเขาและแม่น้ำของเมืองและอาณาจักร ชื่อสัตว์ ชื่อโรคร้าย พิธีกรรมและเงินตรา…
กล่าวโดยสรุปก็คือการตั้งชื่อมีความเข้มงวดมาก”
“มีความเข้มงวดจริงๆ ด้วยเพคะ เช่นนั้นท่านอ๋องคิดว่าชื่อของลูกๆ ทั้งห้าคนของพวกเราควรทำเช่นไรเพคะ?”
“อะไรคือทำเช่นไร? รอให้ถึงสามเดือนก็ตั้งชื่อ ส่วนเรื่องว่าจะชื่ออะไรนั้น ข้าจะตั้งเองคงไม่ต้องรบกวนคนอื่น”
“เช่นนั้นหากจักรพรรดิและฮองเฮาถามขึ้นมาล่ะเพคะ?”
“ถามก็บอกว่าตั้งเสร็จแล้วสิ” หนานกงเย่มีความเด็ดเดี่ยวมากกับเรื่องนี้
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม “ท่านอ๋องพูดถูก หม่อมฉันจะตั้งชื่อเล่นให้กับพวกเขาเองเพคะ”
“ชื่ออะไรหรือ?” หนานกงเย่จูงมือฉีเฟยอวิ๋นไปดูเด็กๆ เกิดมาพร้อมกันห้าคนนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจ ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงไม่มีเรื่องอื่นนอกจากพูดถึงเรื่องการให้กำเนิดเด็กห้าคนของพวกเขา ในวังหลวงก็มีความปลื้มปิติไม่น้อย หากไม่ใช่เป็นเพราะปิดบังเรื่องของฉีเฟยอวิ๋นต่อภายนอกแล้ว คาดว่าคงได้เฉลิมฉลองกันไปตั้งนานแล้ว
ในตอนนี้เรื่องการตั้งชื่อก็ให้โอกาสเธอสักครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ น้องห้า!”
“……” หนานกงเย่ทำสีหน้าประหลาดใจ “นี่เรียกว่าชื่อเล่นหรือ?”
เรื่องแบบนี้ใครก็ทำได้!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาเด็กๆ ด้วยสีหน้าพึงพอใจและก้มลงหอมแก้มเด็กๆ ทีละคนๆ เด็กๆ ต่างพากันชอบอกชอบใจและยิ้มออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ หลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ “ท่านลองคิดดู ตัวเล็กเช่นนี้แต่กลับรู้มากนัก ตอนที่หม่อมฉันอุ้มพี่ใหญ่ เขาเช็ดน้ำตาให้หม่อมฉัน เขายังเด็กขนาดนี้ก็รู้ความแล้ว รู้จักรักแม่แล้ว!”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เหมือนกับพ่อของเขา!”
หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นจากข้างหลังและไม่อยากจะปล่อยมือออก!