ตอนที่ 606 สรรค์สร้างมรรคาขึ้นใหม่ โดย ProjectZyphon
ภายในตำหนักเก่าแก่ เสียงบรรยายมหามรรคเลื่อนลอย ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น เข้าสู่การตระหนักรู้อย่างลึกล้ำ ร่างกายแผ่กระจายท่วงทำนองแห่งมรรคสีใสเป็นระลอกๆ
หลังศีรษะของเขาปรากฏแสงสมบัติไตรมรรคอันขาวสะอาดดั่งหยก แปรเป็นแผ่นจานหมุนทรงกลม เป็นสิริมงคลและสดใส ประหนึ่งกระจกแจ่มชัด ทำให้เขายิ่งดูล่องลอยและตัดทางโลก
เสียงธรรมเลื่อนลอยราวกับดังมาจากสามสิบสามชั้นฟ้า ดุจท่องไปในยุคบรรพกาล รับฟังอัครบุคคลไร้เทียมทานถ่ายทอดมหามรรคอันลึกซึ้งและละเอียดอ่อน
หลินสวินทำความเข้าใจอย่างละเอียด สัมผัสจากภายในสู่ภายนอก ดื่มด่ำอยู่ในนั้น ดูคลุมเครือไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
สิ่งที่เรียกว่า ‘มรรค’ นั้น ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ แต่สามารถเข้าใจ สังเกตและยืนยันได้!
ตอนที่หลินสวินหยั่งรู้ บริเวณท้ายทอยของเขา จานหมุนศักดิ์สิทธิ์ที่ราวกับกระจกอันแจ่มชัดนั่นทวีความสดใสปลอดโปร่ง ดูสง่างามน่าอัศจรรย์
สุดท้ายจานหมุนศักดิ์สิทธิ์ตรงท้ายทอยหมุนเวียน สะท้อนถ้ำสวรรค์ถ้ำหนึ่งออกมา!
ภายในถ้ำสวรรค์นั้นแสงศักดิ์สิทธิ์กึกก้อง เมฆหมอกงดงามพรั่งพรู ท่วงทำนองแห่งมรรคปกคลุม ดูราวกับโลกต้นกำเนิด แท่นมรรคอันเก่าแก่และเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ภายใน แสงสมบัติไตรมรรคที่ราวกับหยกขาวล้อมอยู่รอบๆ แท่นมรรค ศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ
นี่เป็นการสำแดง ‘มรรคา’ ของตน!
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในจานหมุนศักดิ์สิทธิ์คือมกุฎมรรคาที่หลินสวินครอบครองในตอนนี้ เป็นถ้ำสวรรค์และแท่นมรรคต้นกำเนิดภายในร่างของเขา!
โชคดีที่ขณะนี้จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกเองก็กำลังหยั่งรู้มหามรรค จึงไม่ได้สังเกตเห็นภาพนี้ มิเช่นนั้นจะต้องตะลึงและพูดไม่ออกอย่างแน่นอน
เพราะถ้ำสวรรค์ในร่างกายที่หลินสวินก่อขึ้นมานั้นโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ สามารถเปิดแท่นมรรคได้ตั้งแต่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น เห็นชัดว่าน่าทึ่งและแตกต่างจากโลกมากเกินไป
ควรรู้ว่าสำหรับผู้ฝึกปราณธรรมดา มีเพียงการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างแท่นมรรคหยั่งสัจจะที่เป็นของตนได้
ต่อให้ผู้กล้าระดับจ้าวจิ่งเซวียนและเซียวหรันก็สามารถสร้างแท่นมรรคเป็นของตัวเองได้ตั้งแต่อยู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น
แต่คนที่สามารถทำได้อย่างหลินสวิน ที่บนแท่นมรรคหยั่งสัจจะมีแสงสมบัติไตรมรรคอันลึกลับล้อมอยู่ แทบไม่เคยเห็นมาก่อน!
สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ หลินสวินไม่ได้รับรู้ด้วยเลย
ในใจเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ระหว่างจมสู่การหยั่งรู้ลึกล้ำนี้ แก่นแท้อัศจรรย์ที่ได้ยินผนวกเข้ากับมรรคาที่ผ่านมาของเขา และชี้แนะให้เห็นถึงรายละเอียดและปัญหาบางอย่างที่เขาเคยละเลยในการฝึกปราณในอดีต ต่างปรากฏซ้ำขึ้นมา และถูกตระหนักแจ้งอย่างถี่ถ้วน
จวบจนกระทั่งตอนหลังหลินสวินเลิกยึดติดกับการหยั่งรู้ เริ่มฉวยโอกาสนี้สร้างมรรคาของตนขึ้นมาใหม่อีกครั้งระหว่างการตระหนักรู้!
ระดับปราณห้าระดับใหญ่ ได้แก่ ระดับกำลังภายใน ระดับจิตผสานวิญญาณ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ระดับหยั่งสัจจะและระดับกระบวนแปรจุติ!
ระดับกำลังภายในก็แบ่งออกเป็นเก้าขั้นได้แก่ กำหนดปราณ รากฐานมั่นคง เปิดองคาพยพ บรรจบช่องทาง ชำระล้างแกนจิต โลหิตเดือดพล่าน อนุจักรวาล มหาวัฏจักร และแปรลักษณ์วิญญาณ
ในทุกๆ ขั้นล้วนมีความลึกลับ จะทำให้พลังของผู้ฝึกปราณเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ ดูเหมือนจะง่าย แต่กลับเป็นก้อนหินแต่ละก้อนที่เป็นฐานของการสร้างมหามรรคแห่งตน
ดั่งคำที่ว่าไม่เดินทีละก้าวก็ไปไม่ถึงเป้าพันลี้ ไม่สะสมน้ำในลำธารก็ไม่สามารถรวมเป็นแม่น้ำ
การฝึกปราณก็เช่นเดียวกัน
หลินสวินในวัยเยาว์ เพราะถูกชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดไป ร่างกายอ่อนแอจนเกือบเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แทบจะไม่สามารถฝึกปราณได้
โชคดีที่เขาได้พบกับท่านลู่ จึงได้เดินในเส้นทางแห่งการฝึกปราณ แต่เนื่องจากความเสียหายทางร่างกายของเขา ทำให้แม้ว่าเขาจะเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกปราณ แต่ความสำเร็จที่ได้รับก็จำกัด
หลังจากนั้นเพราะการปรากฏของห้องโถงมรรคาสวรรค์ ทำให้เขาแทบจะ ‘เปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า’ เกิดการเปลี่ยนแปลงปานถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ราวกับได้เกิดใหม่
ทว่าก่อนการเปลี่ยนแปลง ความสำเร็จบนมรรคาของเขามีจำกัด อย่างไรก็มีข้อบกพร่องบางประการ ไม่ใช่มรรคาที่สมบูรณ์แบบ
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาในตอนนี้ แต่วันใดที่เขาไต่สู่มหามรรคสูงสุด ก็จะพบว่าข้อบกพร่องเล็กๆ ที่ยากสังเกตเห็นพวกนี้ซึ่งทิ้งไว้ในการฝึกปราณช่วงแรก กลับส่งผลกระทบที่คาดเดาไม่ถึง!
ตอนนี้ในใจหลินสวินตระหนักรู้ ฉวยโอกาสนี้หยั่งถึงและพลิกสถานการณ์ ตัดสินใจที่จะสรรค์สร้างวิถีของตัวเองใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการซ่อมแซมเสริมจุดบกพร่อง ทำให้มรรควิถีของตนสมบูรณ์แบบ
กำหนดปราณ!
ก้าวแรกสู่มหามรรค ขั้นแรกของระดับกำลังภายใน ใช้ลมปราณเป็นตัวนำ โคจรพลังวิญญาณผ่านเส้นปราณและจุดชีพจร เพื่อชะล้างสิ่งปฏิกูลในร่าง
หลินสวินบรรลุใหม่อีกครั้ง ลมปราณเคลื่อนไปตามความประสงค์ สงบจิตใจรับรู้ทุกรายละเอียดภายใน ท่ามกลางความคลุมเครือ เสียงที่ดังอยู่ข้างหูก็เปลี่ยนไปด้วย ราวกับกำลังอธิบายความหมายของการ ‘กำหนดปราณ’ โดยเฉพาะ
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกใหม่และมีความสุขเหมือนยามเพิ่งก้าวเข้าสู่วิถี มักมีความมหัศจรรย์อันช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างสูงสุด
รากฐานมั่นคง!
ดูดกลืนพลังวิญญาณ หลอมชำระอวัยวะตันห้ากลวงหก เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง สูดหายใจเข้าดั่งวัว สูดหายใจออกดั่งธนู
เปิดองคาพยพ!
เปิดอวัยวะตันห้ากลวงหกด้วยพลังวิญญาณของตน และใช้พลังวิญญาณหล่อหลอม ทะลวงเส้นปราณแห่งอวัยวะทั้งมวล กลืนเก่ารับใหม่
บรรจบช่องทาง!
ชำระล้างแกนจิต!
……
ด้วยการตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น หลินสวินราวกับได้ย้อนเส้นทางมรรคาของตน เริ่มต้นจาก ‘กำหนดปราณ’ ก้าวไปสู่ ‘รากฐานมั่นคง’ ‘เปิดองคาพยพ’ ‘บรรจบช่องทาง’ ตามกันไป
การสรรค์สร้างขึ้นใหม่ในทุกก้าว ล้วนมีผลเก็บเกี่ยวและการตระหนักรู้!
ประสบการณ์อันล้ำค่าเช่นนี้หายากเกินไป การจะได้ครอบครองนั้นขึ้นอยู่กับวาสนา หากไม่ใช้โอกาสนี้ในการตระหนักรู้และพลิกสถานการณ์ ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้
ตำหนักเก่าแก่ราบเรียบ เสียงธรรมราวกับเสียงธรรมชาติเลื่อนลอย เหมือนอริยะโบราณเปิดแท่นเทศนาธรรม ถ่ายทอดคำสอนคัมภีร์
นี่ไม่ใช่โอกาสอันล้ำค่าหายากสำหรับหลินสวินเท่านั้น แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นๆ ก็เป็นของขวัญอันล้ำค่าครั้งหนึ่งเช่นกัน
เสียงธรรมของอัครบุคคลบรรพกาล หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา โดดเด่นอย่างหาที่สุดไม่ได้
ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับสังสารวัฏมา กลัวว่าจะดีใจจนบ้าคลั่ง ฟังจนหลงสติลืมตัว
ทว่าการตระหนักรู้เช่นนี้แตกต่างกันออกไปตามระดับของแต่ละคน ความลึกลับที่หยั่งถึงได้ก็แตกต่างกัน
นี่ก็คือลิขิต เหล่าผู้แข็งแกร่งอย่างหลินสวินหยั่งถึงได้เพียงความจริงอันลึกลับที่เกี่ยวข้องกับระดับของพวกเขาเท่านั้น ไม่สามารถสอดส่องหยั่งรู้ความจริงแท้แหงระดับกระบวนแปรจุติ ระดับสังสารวัฏ และอื่นๆ ที่สูงกว่าได้
“อ๊าก!”
ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป จู่ๆ ก็มีเสียงร้องดังแว่วมาจากตำหนักหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าหงส์หิรัณย์คนหนึ่งถูกพลังที่มองไม่เห็นม้วนออกจากตำหนักและเคลื่อนย้ายไปยังเชิงเขา
ผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ที่รออยู่ที่เชิงเขาถูกดึงดูดทันที หรือวาสนามรดกครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว?
“น่าชังนัก! ความสามารถในการหยั่งรู้ของข้าไม่พอ ความจริงอันลึกลับที่หยั่งถึงได้ถึงขีดจำกัดแล้ว บรรลุได้เพียงวิชาลับวิชาเดียวเท่านั้น ยากที่จะมีผลเก็บเกี่ยวอีก จึงถูก ‘ส่ง’ ออกมา!”
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่จำยอม
ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนต่างตะลึง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสายตาอิจฉา ความสามารถในการหยั่งรู้ไม่พอยังได้มรดกวิชาลับวิชาหนึ่งมา ศุภโชคในครั้งนี้น่าทึ่งเกินไปแล้ว
“ไม่รู้ว่าสหายยุทธ์บรรลุวิชาลับระดับไหนหรือ”
มีคนอดถามไม่ได้
ผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนนั้นอึ้งไป พลันระแวงขึ้นมาและกล่าวว่า “พวกเจ้าหยุดอาลัยอาวรณ์ได้แล้ว วิชาลับระดับนี้หยั่งรู้ได้เพียงในใจเท่านั้น ไม่สามารถช่วงชิงและถ่ายทอดออกไปได้ เพราะนี่คือพลังมรดกไร้เทียมทานของอัครบุคคลบรรพกาลเชียวนะ!”
พูดถึงตอนท้าย หว่างคิ้วของเขาเผยความดีใจอย่างเก็บไม่อยู่
เห็นได้ชัดว่าแม้จะถูกขับออกมา แต่วิชาลับที่เขาบรรลุเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เขาพอใจอย่างที่สุด
เมื่อรู้ดังนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เดิมอยากรู้อยากลอง หมายจะลงมือช่วงชิงวาสนาก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจทันที วาสนาในครั้งนี้ไม่สามารถช่วงชิงได้งั้นหรือ?
น่าผิดหวังจริงๆ!
ส่วนพวกซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อยิ่งรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่สุด สีหน้าดูย่ำแย่ อึดอัดราวกับกินแมลงวันเข้าไป
วาสนาไม่สามารถช่วงชิงได้งั้นหรือ
ก็หมายความว่าต่อให้ฆ่าหลินเสวียนนั่น ก็ไม่ได้ศุภโชคที่เขาได้จากบนยอดเขานั้นหรือ
“ไม่ต้องเสียใจไป ในมือของเด็กนั่นไม่ได้มีแค่วาสนานี้ อย่าลืมว่าเขายังช่วงชิงคัมภีร์อริยมรรคเล่มหนึ่งจากเกาะอริยะปัญจธาตุ อีกทั้งในมือยังมีเจดีย์สมบัติที่สร้างโดยเหล็กเทพศุภโชค!”
ซูซิงเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเย็นเยียบ
เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อจึงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อยในยามนี้
ส่วนเซียวหรันนั้นนิ่งเงียบโดยตลอด
พรึ่บ!
ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งถูกส่งตัวออกมาจากตำหนักโบราณบนยอดเขา
“ทำไมกัน ข้าขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะได้รับเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์เล่มหนึ่งแล้ว! แต่ต้องมาพลาดเช่นนี้…”
นี่คือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าวัวมารทรงพลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่จำยอม ตะโกนก้องหมายจะพุ่งขึ้นบนยอดเขาอีกครั้ง
เสียดายที่ภูเขาทั้งเก้าลูกถูกผนึกต้องห้ามปกคลุม ทำให้เขายากจะก้าวเข้าไปใกล้
พอเห็นภาพนี้ ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ บริเวณเชิงเขาที่ไม่เคยเข้าไปในตำหนักยิ่งอิจฉาตาร้อน
ภายในตำหนักโบราณนั่นมีวาสนาไร้เทียมทานอะไรซ่อนอยู่กันแน่
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า วาสนาในครั้งนี้ ความสามารถในการหยั่งรู้ยิ่งด้อยเท่าไหร่ ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็น้อยลงไปด้วยและจะถูกขับออกมาเร็วกว่า
อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์และเผ่าวัวมารทรงพลัง บางทีพวกเขาอาจจะนับได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดแล้ว แต่คนที่สามารถเข้าไปในตำหนักโบราณได้ ไม่มีใครเลยที่เป็นคนธรรมดา
ที่พวกเขาถูกขับออกมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพรสวรรค์และความสามารถในการหยั่งรู้ไม่เพียงพอ
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…
ตามคาด หลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าทยอยถูกส่งออกมาจากตำหนักโบราณทั้งเก้า
มีคนตีอกชกหัว มีคนผิดหวังเสียใจ มีคนถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า และมีคนพอใจกับผลเก็บเกี่ยวของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนได้ผลเก็บเกี่ยว ต่างกันแค่มากหรือน้อยก็เท่านั้น
ระหว่างนั้นได้เกิดความขัดแย้งขึ้น
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ไม่เคยขึ้นไปบนยอดเขาลอบโจมตีกะทันหัน หมายจะฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าเต่าทมิฬคนหนึ่งที่เพิ่งได้รับวาสนา
แต่ที่น่าตกใจคือ ผู้แข็งแกร่งเผ่าเต่าทมิฬยังไม่ทันได้ตอบโต้ คนที่ลอบโจมตีก็ถูกสังหารในทันที!
คนที่ลงมือไม่ใช่ผู้ฝึกปราณในที่นั้น แต่มาจากพลังต้องห้ามบนภูเขาเทพ แปรเป็นสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมายังคนที่ลอบโจมตีผู้นั้นจนแหลกละเอียดทันที น่าสยดสยองอย่างที่สุด!
“ศุภโชคต้องได้มาด้วยตัวเอง ไร้ซึ่งวาสนาแต่ฝืนช่วงชิง ต้องตาย!”
นี่เป็นเสียงที่ก่อตัวขึ้นจากพลังผนึกต้องห้ามอันลึกลับ ทั้งเย็นชา ว่างเปล่า และไร้อารมณ์ แต่กลับทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ขนพองสยองเกล้า
ผู้แข็งแกร่งทุกคนจึงตระหนักได้ว่า สถานที่แห่งวาสนาอันลึกลับแห่งนี้ ยังมีเคราะห์สังหารอันน่าสะพรึงที่มองไม่เห็นเช่นนี้ซ่อนอยู่
ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ เหตุผลที่พวกเขารออยู่ที่นี่เพราะคิดว่าจะสามารถตีชิงตามไฟ ขวางกั้นเข่นฆ่าเพื่อช่วงชิงวาสนาได้
แต่ตอนนี้พอเห็นจุดจบของคนที่ลอบโจมตีคนนั้นแล้ว ใครยังจะกล้าทำเช่นนี้
ยามนี้ในที่สุดเซียวหรันที่เงียบมาโดยตลอดก็ไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งได้แล้ว ส่งเสียงถอนหายใจ สีหน้าเผยความไม่จำยอมอย่างปิดไม่อยู่
เดิมทีเขาเองก็คิดว่าจะรออยู่ที่นี่ ลองดูว่าจะสามารถช่วงชิงศุภโชคได้บ้างหรือไม่ แต่ตอนนี้เหมือนต้องยอมแพ้แล้ว…
นี่ทำให้เซียวหรันรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าสวรรค์สร้างความลำบากใจให้เขาทุกด้าน หรือนี่คือเจตจำนงของสวรรค์?
——