ตอนที่ 233 ปลาปักเป้าที่โกรธ
แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนมีจิตเมตตา หากใครมายุ่งกับเขา ถ้าไม่ใช่มาคุกเข่าขอโทษ ก็คือเชิดหน้าสู้กับเขา และถ้าก่อนตายยังจะมาดิ้นขัดขืนอีก อย่างไรเสียก็มีจุดจบไม่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่คำพูดนี้พอเขาพูดออกมา ฟังอย่างไรก็เหมือนขู่นางอยู่ดี
เฉินยางขมวดคิ้ว เขาคิดว่านางจะถูกเขาขู่ได้หรือ คนที่ลงโทษก็เป็นคนสนิทของไทเฮา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางเลย หวังจะให้นางทุกข์ทรมานงั้นหรือ นางแทบอยากจะเอาคืนด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ แต่ว่าถึงอย่างไรเฝิงเยี่ยไป๋ก็ทำเพื่อนาง พอคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ นางก็พูดไม่ออกเสียแล้ว
“เจ้าก็อย่าดื้อกับข้านัก เก็บนิสัยดื้อดึงของเจ้าไปเสีย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า อย่าทำตัวไม่รู้เรื่องนักเลย อยู่ในวังไม่เป็นผลดีกับเจ้า รีบๆ กลับบ้านกับข้าดีกว่า” น้ำเสียงยามเขาพูดนั้นไม่ยอมให้ผู้อื่นเถียงได้ เฉินยางไม่ชอบที่เขาใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับนาง นางไม่ใช่คนใช้ของเขาเสียหน่อย อีกอย่างที่นางทำเช่นนี้ก็มีเหตุผล นางไม่อยากให้เขาถูกคนนินทาลับหลัง ปกติเป็นคนฉลาดเพียงใด ไฉนถึงไม่รู้เหตุผลเหล่านี้เลย!
เฉินยางก็เป็นพวกพูดไม่เป็นอีก ความคิดในใจเป็นสิ่งที่ดี พูดกับเขาแล้ว ไม่แน่อาจจะทำให้เขายิ้มได้ แต่นางก็ไม่พูด สิ่งที่พูดไม่เคยเห็นผลได้ดีกว่าการกระทำ นางคิดว่าหากตัวเองทำได้แล้ว ทำให้เขาดู ก็ดีกว่าคำพูดเอาใจใดๆ อีกไม่ใช่หรือ
ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นมา นางไม่พูดเขาก็ไม่พูด ทั้งสองคนต่างไม่ยอมกัน แต่ละคนในมือก็กำเชือกไว้ด้านหนึ่ง เชือกยิ่งดึงยิ่งตึง จนสุดท้ายเชือกขาดแล้วก็ไม่มีใครยอมปล่อยมือก่อน
นางโกรธอยู่ในใจ ไม่อยากสนใจเฝิงเยี่ยไป๋ กินข้าวต้มเสร็จก็ยืนอยู่ที่ประตูรอเขา รอให้เขาเก็บของเสร็จแล้วกลับวังไปด้วยกัน
อย่างไรเสียเฝิงเยี่ยไป๋ก็อายุมากกว่าเฉินยางสิบกว่าปี เฉินยางมีนิสัยเป็นเด็ก มีความดื้อดึงก็ไม่ได้เป็นอะไร เขาไม่ได้ ทั้งสองคนหากยังโกรธกันเช่นนี้ คนหนึ่งไม่สนใจอีกคน อีกคนก็ไม่สนใจ เช่นนี้ชีวิตก็ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้แล้ว เด็กต้องกล่อม เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกที่ ‘ลูกสาวไม่เชื่อฟังขึ้นมา’ เขาจึงเข้าไปโอบไหล่นางไว้ พูดอย่างจนใจว่า “โกรธหรือ ไฉนถึงโกรธ”
ความโกรธนี้เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลนัก เขาหวังดีต่อนาง แต่ก็ไม่รู้ว่าคำพูดใดที่ขัดใจนาง คราวนี้จึงกลายเป็นเรื่องขึ้นมา นางทำแก้มป่อง เหมือนปลาปักเป้าตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เฉินยางส่ายหน้าอย่างลังเล “ไม่ได้โกรธ” แล้วถอยออกจากอ้อมกอดของเขา “พวกเราก็รีบกลับวังก่อนเถิด ตอนนี้ไทเฮาคงรอจนร้อนรนแล้ว”
“ข้าก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องไปสนใจไทเฮา นางคิดจะให้ข้าหย่ากับภรรยา แถมยังใช้เล่ห์กลบีบบังคับเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลกับนาง”
พูดกับนางก็พูดไม่ชัด เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดแล้ว จึงดึงนางเข้ามา เฉินยางถูกเขาดึงจนสะดุด พอยืนนิ่งก็รีบก้าวเท้าเดินตามเขาขึ้นไป พอเลี้ยวตรงหัวมุมก็เจอกับน่าอวี้พอดี
เห็นนางตั้งท่าจะไป ทั้งสองคนได้เจอหน้ากัน น่าอวี้ย่อตัวให้เฝิงเยี่ยไป๋ “คารวะท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องมากพิธี” เฝิงเยี่ยไป๋คลายคิ้วที่ขมวดลง สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเสียจะให้คนนอกเห็นพวกเขาสามีภรรยาทะเลาะกันไม่ได้
เฉินยางเจอน่าอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย “เจ้าเองหรือ!” จากนั้นจึงเข้าไปประคองนางขึ้นมาอย่างสนิมสนม นึกถึงเรื่องเมื่อวานก็พูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เมื่อวานตอนที่เจ้าไปไอรุนแรงนัก ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
น่าอวี้ก็ยืนขึ้นตามการพยุงของนาง หางตาเหลือบมองไปที่เฝิงเยี่ยไป๋แล้วยิ้มพูดว่า “ขอบพระทัยที่พระชายาเป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
——
ตอนที่ 234 อะไรคือได้แล้ว
น่าอวี้ไม่พูดถึงเมื่อวานที่เฝิงเยี่ยไป๋ช่วยนาง ต่างคนต่างรู้อยู่ในใจ ต่อหน้าเฉินยางถึงขั้นไม่มองเฝิงเยี่ยไป๋เลย การกระทำทุกอย่างมีมารยาทจนหาจุดผิดพลาดไม่ได้
เฉินยางไม่ชินที่คนอื่นมีมารยาทมากกับนาง สีหน้าจึงเศร้าหมองเล็กน้อย นางเปลี่ยนเรื่องถามน่าอวี้ว่า “แล้วนี่เจ้าจะไปไหน จะกลับแล้วเหมือนกันหรือ”
น่าอวี้ตอบ “ใช่ เมื่อวานโรคกำเริบ ผู้เฒ่าในบ้านรู้แล้วไม่วางใจ วันนี้เช้าจึงให้คนมาส่งสาร ต้องกลับไปให้ได้” พูดถึงตรงนี้ก็แลบลิ้นด้วยความขี้เล่น “ที่จริงแล้วข้ายังอยากจะเที่ยวอีกสองวันอยู่เลย เพียงแต่ให้ผู้เฒ่าในบ้านคอยเป็นกังวลก็ออกจะอกตัญญูไปหน่อย รอให้ข้าหายแล้ว จะต้องออกมาเที่ยวให้สนุกไปเลย”
น่าอวี้โตกว่าเฉินยางปีสองปี อายุก็ไม่ได้มากมายนัก ความสงบนิ่งของลูกสาวผู้ดีนั้นไม่ได้แสดงตลอด เป็นวัยกำลังซุกซน เฉินยางเห็นนางแล้วรู้สึกสนิทใจ จึงดึงนางไว้แล้วพูดกับเฝิงเยี่ยไป๋ว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปทางเดียวกันพอดี ให้นางไปด้วยกันกับพวกเราเถิด”
นั่งรถม้าคันเดียวกัน บนรถมีคนนอก อย่างไรเสียเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่มีทางทำอะไรกับนางต่อหน้าคนอื่นกระมัง!
ความเจ้าเล่ห์น้อยๆ ในใจนางจะหลอกเฝิงเยี่ยไป๋ได้อย่างไร สีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ไม่สู้ดีนัก เพียงเม้มปากไม่พูดอะไร ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยและก็ไม่ได้บอกว่าไม่เห็นด้วย เพียงแต่ความหมายนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องบอก
น่าอวี้นั้นรู้ใจ มองความหมายของเฝิงเยี่ยไป๋ออก เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ ต้องค่อยๆ อุ่นเหมือนดั่งตุ๋นยา ดูจากตอนนี้แล้วภาพลักษณ์ของนางในสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋นับว่าไม่เลว เช่นนั้นจะรีบร้อนไม่ได้ ต้องผ่อนบ้าง จะแสดงออกว่านางรีบเข้าหาเขาไม่ได้ นางจึงพยักหน้า วางมือลงพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ที่บ้านข้าส่งรถม้ามารับแล้ว อยู่ที่ทางเข้าซานจวง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว”
คราวนี้ก็ถูกตัดทางหนีเสียแล้ว เฉินยางยังคิดจะเอ่ยปากรั้งนางไว้อีก เฝิงเยี่ยไป๋กลับชิงพูดก่อนว่า “ในเมื่อแม่นางเจี่ยงมีคนมารับแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ส่ง”
น่าอวี้ถอยไปอยู่ข้างๆ แล้วบอกลา และจากไปก่อน
เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มนางเบาๆ เผยอปากพูดว่า “ความคิดเจ้าเล่ห์นั้นของเจ้าเก็บเอาไว้ เชื่อฟังแต่โดยดีก็ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก แต่หากไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้า”
เฉินยางเบะปากไม่พูดอะไรอีก
พอออกจากประตูไปก็เจอเว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ ทั้งสองคนใบหน้าแดงเรื่อ เหมือนอารมณ์ที่ค้างจากอาการหน้าแดง เว่ยหมิ่นฉลาด คิดว่าพวกเขาเห็นแล้วต้องถามแน่ๆ จึงลงมือก่อน ชี้ไปที่เฉินยางด้วยท่าทางเหมือนคนร้ายฟ้องคดีก่อน “เจ้า…เมื่อคืนเจ้าดื่มเหล้ามากมายเช่นนั้น แทบจะเหมือนคนบ้าเลย จะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าทุกคน ข้าล่ะเหลือเชื่อกับเจ้าเลย”
เฉินยางหน้าแดง รู้ว่าตัวเองเถียงไม่ได้ จึงเม้มปากไม่พูดอะไร
เฝิงเยี่ยไป๋ออกมาแก้สถานการณ์ให้นาง เขาเลิกคิ้วมองไปที่เหลียงอู๋เย่ว์ ลากเสียงเล็กน้อยพูดว่า “ได้แล้วหรือ”
เหลียงอู๋เย่ว์ตอนแรกยังนึกไม่ออก เขาถามด้วยความงุนงงว่า “อะไรได้แล้ว”
เว่ยหมิ่นหยิกไปที่เอวของเขาอย่างแรง เหลียงอู๋เย่ว์ร้องจ๊ากออกมา เห็นรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ถึงรู้สึกตัว รีบพูดว่า “อะ…อะไรได้แล้ว…อะไรคือได้แล้ว เจ้า…เจ้าไม่มีอะไรก็อย่ายุ่งเรื่องบ้านคนอื่น…ความชอบอะไรของเจ้า…เจ้าสนเรื่องของตัวเองเถอะ”
นอกจากเฝิงเยี่ยไป๋ ที่เหลือสามคนล้วนหน้าแดงกันหมด ท่าทางเหมือนเมาแล้วยังไม่สร่าง ช่างเถอะ ต่างคนต่างขึ้นรถของตัวเอง เรื่องของใครปิดประตูแล้วค่อยๆ คุยกัน