บทที่ 109 ทาบทาม

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 109

ทาบทาม

เมื่ออาการไข้พิษของเขาหายสนิท ตู๋กู่เหยียนก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียงอย่างมีชีวิตชีวา เขาโค้งคำนับเย่เย่และพูดขึ้นว่า “ข้าขอบคุณท่านเย่ที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้เลย”

เย่เย่เมื่อรักษาชายแก่จนหายขาดแล้ว เขาก็นำประคำเจ้าอสรพิษกลับมาคล้องคอตัวเองดังเดิม ก่อนตอบกลับชายชราไปด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ “มิได้ มิได้ ท่านเป็นถึงเทพอสูรที่ผู้คนใน หลิงเฉิงเคารพเลื่อมใส จะให้ข้ามองข้ามท่านไปได้อย่างไร”

ทั้งสองเมื่อเห็นเย่เย่มีจิตเมตตากรุณา มุมมองของพวกเขาต่อหอการค้าหยูเย่ก็เปลี่ยนไป ความอคติที่มีต่อขั้วอำนาจใหญ่ๆของพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายลง หลังจากที่ชายชราให้สัญญาไว้แก่เย่เย่เขาก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงแต่อย่างใด เมื่ออาการของเขาหายขาดเขาจึงเก็บสัมภาระและย้ายข้าวของไปที่หอการค้าหยูเย่ในทันที ระหว่างทางกลับไปยังหอการค้าเย่เย่ก็ขอปลีกตัวเพื่อไปทำธุระที่หอการค้าตงหยวนของตระกูลเสวี่ย

จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของหอการค้าหยูเย่ ทำให้บรรดาหอการค้าน้อยใหญ่ต่างๆนานาที่ปรับตัวไม่ทันต้องปิดตัวลงไป มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องยอมผนวกเข้ากับหอการค้าหยูเย่ อย่างไรก็ตามยังคงมีหอการค้าบางส่วนที่ดื้อแพ่งไม่ยอมขึ้นตรงกับผู้ใดทั้งสิ้น หอการค้าตงหยวนของตระกูล

เสวี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

ผู้คนที่รู้เรื่องราวข้อพิพาทระหว่างหอการค้าตงหยวน และหอการค้าหยูเย่ต่างพากันถอนหุ้นและเลิกให้การสนับสนุนหอการค้าตงหยวน เนื่องจากพวกเขากลัวว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้หอการค้าของตระกูลเสวี่ยนั้นค่อยๆตกต่ำลง จนล้มละลายไปในที่สุด

หลังจากที่หอการค้าตงหยวนล้มละลายอย่างไม่เป็นท่า เหล่าผู้เฒ่าแก่กะโหลกกะลาของตระกูลเสวี่ยต่างพากันมองหาผู้รับผิดชอบ เสวี่ยหยูที่ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ควรไปมีเรื่องบาดหมางกับเย่เย่ก็ได้แต่สงบปากสงบคำ นางไม่อยากโต้เถียงกับพวกไดโนเสาร์อีกต่อไป นางจึงขังตัวเองอยู่ในห้องและนั่งหลังพิงประตู ร้องไห้ฟูมฟายอยู่คนเดียว

เสวี่ยเฉิงกุ่ยผู้เป็นพ่อของนางก็โศกเศร้าเสียใจ และเสียดายโอกาสไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นลูก เขาที่จนปัญญาจึงได้แต่นั่งมองหอการค้าของตนถอยหลังลงคลองไปทีละก้าวๆ และปิดกิจการลงในที่สุด เขาตระหนักขึ้นได้ว่าเขาน่าจะเชื่อในสิ่งที่ เสวี่ยหยูพูดบ้าง เขาจึงเอาแต่โทษตัวเองและตั้งคำถามในความสามารถของตน

ในวันนี้แม้ว่าเขาจะอยากเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่เพื่อรักษาวงศ์ตระกูลเอาไว้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่านั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และพวกเขาคงทำได้เพียงค่อยๆหายตัวไปจากเมืองหลิงเฉิงอย่างเงียบๆ

นอกจากที่เสวี่ยเฉิงกุ่ยจะเสียดายโอกาสที่ไม่ได้เข้าร่วมหอการค้าหยูเย่ เขายังหวาดระแวงการโจมตีจากเย่เย่อีกด้วย

“ทะ…ท่านเจ้าตระกูล! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ยะ..เย่เย่เขา..”

คนรับใช้วิ่งเข้ามา และรายงานแก่เสวี่ยเฉิงกุ่ยอย่าง ลนลาน สีหน้าของเขาไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก

“เกิดอะไรขึ้น!? ไหนเจ้าพูดให้ข้าฟังชัดๆอีกทีซิ” เสวี่ยเฉิงกุ่ยลุกพรวดอย่างตกอกตกใจเมื่อได้ยินชื่อของเย่เย่ หัวใจของเขาแทบจะหล่นไปถึงตาตุ่ม ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ และถามคนรับใช้เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว

“ฟู่ววว ท่านเย่แห่งหอการค้าหยูเย่มาขอเข้าพบท่านขอรับ ตอนนี้เขาอยู่ที่ด้านหน้าประตูแล้วขอรับ!” คนรับใช้ผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆเพื่อตั้งสติ ก่อนรายงานขึ้นอีกครั้ง

“อะไรนะ!!?” สีหน้าของเสวี่ยเฉิงกุ่ยซีดเผือดลงทันทีเมื่อทราบข่าว เขากัดฟันดังกรอดก่อนที่จะออกคำสั่งแก่ลูกน้องของเขา

“ไปเรียกสมาชิกระดับสูง และเหล่าผู้มีวรยุทธ์ให้มารวมตัวกันที่โถงกลางเดี๋ยวนี้! บอกพวกเขาว่าวันนี้อาจจะเป็นวันที่ชี้ชะตาความเป็นความตายของพวกเรา จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม!”

เมื่อคนรับใช้ได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบถ่ายทอดคำสั่งของเจ้าตระกูลให้ทุกคนรับรู้ในทันที เมื่อพวกเขามารวมตัวกันจนครบ องค์ประชุมพวกเขาจึงเริ่มตั้งคำถามผู้นำตระกูลด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

“ท่านเจ้าตระกูล พวกเราจะทำยังไงต่อไป?”

“นี่หรือว่าเขาต้องการจะกวาดล้างพวกเรา?”

“หอการค้าของพวกเราก็ล้มละลายแล้ว เขายังต้องการอะไรจากพวกเราอีก!?”

ในหัวของสมาชิกตระกูลเสวี่ยต่างเต็มไปด้วยคำถามมากมาย จากการมาของเย่เย่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะต่อสู้กับเย่เย่แม้แต่คนเดียว พวกเขารู้ดีว่าต่อให้สู้ไปก็มีแต่ตายสถานเดียว

“เงียบ! ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขามาที่นี่ทำไม ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพื่อเตรียมการเอาไว้ก่อนเท่านั้น ข้าได้บอกให้พวกลูกเด็กเล็กแดงไปซ่อนตัวไว้หมดแล้ว และหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันพวกเขาจะอพยพหลบหนีไปจากหลิงเฉิงในทันที!”

ชายวัยกลางคนยุติความสับสนวุ่นวาย เขารีบชี้แจงแผนทั้งหมดที่เขาเตรียมการเอาไว้ ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พวกเขาได้ฟังแผนการของเจ้าตระกูลทุกคนล้วนมีสีหน้าที่เศร้าสลด

เสวี่ยเฉิงกุ่ยเองก็ไม่แตกต่างไปจากพวกเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าทุกอย่างมันสายเกินกว่าจะแก้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคิดว่าตัวเขาเองก็คงไม่มีโอกาสได้สั่งเสียลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นครั้งสุดท้าย หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะเคารพการตัดสินใจของเสวี่ยหยู แต่น่าเสียดายที่อดีตไม่อาจแก้ไข เขาจึงได้แต่ก้มหน้ารับกรรม

เย่เย่รอการต้อนรับอยู่ด้านหน้าประตู เขาไม่รู้เลยว่าการมาของเขาจะทำให้ตระกูลเสวี่ยตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ นอกจากนี้เขายังไม่รู้อีกด้วยว่าหอการค้าตงหยวนต้องปิดตัวลงเพราะหอการค้าของเขา ที่เย่เย่มาในวันนี้เพื่อทาบทามให้เสวี่ยหยูไปรับตำแหน่งผู้จัดการหอการค้าแทนเสี่ยวหยู ด้วยประสบการณ์จากการควบคุมดูแลหอการค้าตงหยวนมานานนับหลายปีทำให้ในสายตาของเย่เย่นั้นไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่านางอีกแล้ว

แม้ว่าเย่เย่ไม่รู้ว่าเสวี่ยหยูจะตัดสินใจอย่างไร แต่เขาก็เดินทางมาที่หอการค้าตงหยวนด้วยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจ และให้เกียรตินาง

หลังจากที่รออยู่นานคนรับใช้ก็เดินออกมาต้อนรับเย่เย่พร้อมนำทางเขาไปยังสวนหย่อมของตระกูลเสวี่ย เมื่อเขาเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาเขาก็สังเกตเห็นผู้คนมากมายจ้องมองมาทางเขาอย่างไม่วางตา พวกเขาล้วนแสดงสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเขาเดินถึงโถงกลาง เจ้าตระกูลจึงรีบลุกขึ้นและทำความเคารพเขาอย่างสุภาพนอบน้อม

“ข้าเสวี่ยเฉิงกุ่ย ผู้นำตระกูลเสวี่ยขอคารวะท่านประธานเย่!”

“คารวะท่านเย่แห่งหอการค้าหยูเย่” เมื่อสิ้นเสียงของเจ้าตระกูลเหล่าสมาชิกทั้งหลายก็ลุกขึ้นและทำความเคารพแก่เย่เย่เช่นเดียวกัน

เย่เย่ที่ไม่คาดคิดมาก่อน เขาก็กะพริบตาช้าๆ และแสดงสีหน้างุนงงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผู้นำและสมาชิกตระกูลยังคงก้มหัวอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย จนแผ่นหลังของพวกเขาเริ่มสั่นจากความเมื่อยล้า

“เอ่อ ทุกท่านเงยหน้าขึ้นเถอะ! วันนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนท่าน เพียงแต่อยากขอความช่วยเหลือบางอย่างจากพวกท่านเท่านั้น” เมื่อได้ยินเย่เย่พูดความประสงค์ของตนออกมา พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสวี่ยเฉิงกุ่ยที่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

“ข้าขอขอบคุณท่านเย่ ในนามของเจ้าตระกูลเสวี่ยข้าขอสาบานว่าต่อจากนี้พวกเราจะไม่คุกคาม หรือคิดร้ายกับหอการค้าหยูเย่อีกต่อไป หากข้าผิดคำสาบานขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์” เขากล่าวขอโทษกับเย่เย่อย่างรู้สึกผิด ก่อนที่จะถามเย่เย่ขึ้นอย่างสุภาพ

“ไม่ทราบว่าท่านเย่มีอะไรให้ข้าช่วยถึงกับมาที่หอการค้าตงหยวนด้วยตนเองเช่นนี้? หากไม่เกินกำลังของข้า ไม่ว่าอะไรข้ายินดีช่วยท่านทั้งสิ้น…”