บทที่ 1320 โปรดประเมิน

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1320 โปรดประเมิน

แปลโดย iPAT

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยพูดไม่ออก

พวกเขาต้องการวิจารณ์ฟางหยวนอย่างรุนแรง แต่เมื่อเฉียวซื่อหลิวกล่าวเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถกล่าวเป็นอื่น มิฉะนั้นมันจะทำให้เฉียวซื่อหลิวสูญเสียใบหน้า

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรู้สึกเหมือนกำลังอมแมลงวันไว้ในปากและไม่สามารถคายออกมา

ฟางหยวนหัวเราะและมองไปรอบๆ

เฉียวซื่อหลิวรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้าขณะที่เทพธิดาเถียนลู่แสดงออกด้วยความกังวล สายตาของนางปรากฏถึงความเห็นอกเห็นใจ ในฐานะสหายสนิทของเฉียวซื่อหลิว เทพธิดาเถียนลู่จะไม่ทราบเจตนาของนางได้อย่างไร? หลังจากทั้งหมดฟางหยวนไม่ได้งับเหยื่อ ดังนั้นพวกนางจึงไม่สามารถทำสิ่งใด

สำหรับลั่วมู่ซือและหลุนเฟย การแสดงออกของพวกเขาดูแข็งทื่อและค่อนข้างตลก

ฟางหยวนมองคนทั้งสอง “เป็นอย่างไรบ้าง บทกวีของข้าไม่เลวใช่หรือไม่?”

‘ไม่เลว!?’

ดวงตาของลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเบิกกว้างและจ้องมองคนไร้ยางอายที่อยู่ตรงหน้า

แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินฟางหยวนกล่าวต่อ “แม้ข้าจะมีแรงบันดาลใจและสามารถสร้างสรรค์บทกวีที่ซื่อหลิวพึงพอใจ แต่ข้ายังต้องการฟังความคิดเห็นของพวกท่าน”

‘สร้างสรรค์? สิ่งไร้สาระนี้สามารถเรียกว่าบทกวีงั้นหรือ? เจ้าต้องการฟังความคิดเห็นงั้นหรือ?’

‘ซื่อหลิว โอ้ ซื่อหลิว เหตุใดเจ้าถึงให้เกียรติคนไร้ยางอายผู้นี้นัก? เฮ้ แล้วผู้ใดให้เจ้าพูดจากับนางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้!’

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกรีดร้องอยู่ในใจ

แต่พวกเขาไม่สามารถแสดงออก พวกเขาต้องกล่าวถ้อยคำที่สุภาพเช่นเดียวกับเฉียวซื่อหลวิเพื่อไม่ทำให้นางอับอาย

สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกรังเกียจยิ่งกว่าการกินแมลงวัน

ฟางหยวนเข้าใจอย่างชัดเจนว่ามันเป็นบทกวีขยะแต่ไม่ว่าอย่างไรลั่วมู่ซือกับหลุนเฟยก็ต้องแสดงความคิดเห็นในทางที่ดี

“บทกวีนี้…อา…มัน…ชัดเจน…เข้าใจง่าย…และ…ท่องง่าย…” ลั่วมู่ซือพูดตะกุกตะกัก สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ

ฟางหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและหันไปทางหลุนเฟย “แล้วท่านคิดอย่างไร?”

หลุนเฟยมองฟางหยวนด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนกระตุกเล็กน้อย เขากล่าวอย่างเฉยเมย “นี่เป็นบทกวีที่ดี”

คิ้วของฟางหยวนยกขึ้นข้างหนึ่ง เขาจะปล่อยให้คนผู้นี้หลุดลอยไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร เขาถามต่อ “มันดีอย่างไรงั้นหรือ?”

หลุนเฟยโกรธจัด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขณะที่เขากรีดร้องอยู่ภายใน ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันดีอย่างไร!? เพราะมันไม่มีสิ่งใดดีเลยแม้แต่น้อย! เจ้าสร้างขยะชิ้นนี้ขึ้นมาและยังต้องการคำชมอีกงั้นหรือ? สารเลว!’

หลุนเฟยต้องการปาถ้วยน้ำชาไปที่ใบหน้าของฟางหยวน มีเพียงสิ่งนี้ที่จะทำให้เขาระบายความโกรธออกมา

แต่เฉียวซื่อหลิวอยู่ข้างๆ หลุนเฟยจึงไม่สามารถทำเช่นนั้น

สิ่งสำคัญก็คือเขาไม่เหมือนลั่วมู่ซือเพราะเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ในทางตรงข้ามวูอี้ไห่มีสถานะสูงส่ง เขามาจากตระกูลวูและยังเป็นน้องชายในสายเลือดของวูหยง!

หลุนเฟยทำได้เพียงระงับความโกรธของตนขณะที่เขาเค้นสมองคิดถ้อยคำที่เขาจะประเมินบทกวีของฟางหยวน

“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมในเทศกาลไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะสามารถสร้างสรรค์บทกวี” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มให้กับเฉียวซื่อหลิวอย่างมีความหมาย

จิตใจของเฉียวซื่อหลิวสั่นสะท้านเล็นน้อย นางยิ้มตอบ “ต่อไปคือการผ่าหิน บางทีท่านอาจได้รับผลประโยชน์มหาศาล”

“แน่นอน ข้าคาดหวังกับมันมากที่สุด เรามาผ่าหินกันเถอะ” เทพธิดาเถียนลู่ช่วยเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“ข้าเตรียมหินไว้มากมาย ทุกท่านโปรดเลือก” เฉียวซื่อหลิวต้องเตรียมมาโดยธรรมชาติ

บรรยากาศในศาลาเริ่มผ่อนคลายลง

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสรรเสริญบทกวีขยะของฟางหยวนอีกต่อไป

หินที่เฉียวซื่อหลิวเตรียมไว้มีขนาดต่างกัน พวกเขาผลักกันเลือกหินและผ่ามันทันทีเพื่อดูว่ามีวิญญาณอยู่ภายในหรือไม่

เกี่ยวกับวิญญาณระดับมนุษย์ มันเป็นเรื่องง่ายมากที่ผู้อมตะจะได้รับ

ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงค่อนข้างผ่อนคลาย พวกเขาจะไม่รู้สึกจริงจังเหมือนผู้ใช้วิญญาณ

โดยธรรมชาติแล้วนี่เป็นเรื่องของผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์เท่านั้น เนื่องจากผู้อมตะมีวิธีการมากมายในการตรวจสอบหินเหล่านั้นว่ามีวิญญาณอยู่ภายในหรือไม่ อย่างไรก็ตามในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ พวกเขาจะไม่กลโกงและอาศัยเพียงโชคของตนเองเท่านั้น

มันเป็นเพียงการละเล่นที่สนุกสนาน

แต่ความหมายของมันแตกต่างออกไปสำหรับลั่วมู่ซือและหลุนเฟย

พวกเขากำลังต่อสู้กับฟางหยวนอย่างลับๆ แต่ผลที่ปรากฏคือพวกเขาแทบกระอักเลือด ผลของการผ่าหินของฟางหยวนยังเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ

การผ่าหินโดยอาศัยสายตาอันเฉียบแหลมของผู้ใช้วิญญาณ ฟางหยวนไม่ขาดแคลนทักษะในด้านนี้ เขาเริ่มเข้าบ่อนการพนันมาตั้งแต่ชีวิตแรก

โดยไม่ต้องกล่าวถึงโชค

เขาเชื่อมโยงโชคกับผู้โชคดีอีกหลายคน ตัวเขาเอายังได้รับโชคจากวิญญาณอมตะโชคอึสุนัข แล้วเขาจะไม่โชคดีได้อย่างไร

แต่เขาก็เหนือกว่าคนอื่นๆเพียงเล็กน้อย

คนที่กดดันเขามากที่สุดคือลั่วมู่ซือ

คนผู้นี้ไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ เขามาจากหนึ่งในกองกำลังใหญ่ของภาคใต้ ตระกูลลั่ว

สายตาของเขาแหลมคมมาก โชคของเขาก็ค่อนข้างดี ผลงานของเขาด้อยกว่าฟางหยวนเพียงเล็กน้อย

‘ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างโชคดี’

‘มิฉะนั้นเขาคงไม่รู้จักบทกวีของฉีจื่อ…’

ฟางหยวนคิดกับตนเอง

มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะจัดการหลุนเฟย แต่ลั่วมู่ซือแตกต่างออกไป เขาเป็นสมาชิกของตระกูลลั่ว

แน่นอนว่าไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำสิ่งใด ตัวตนของวูอี้ไห่ก็ไม่สามารถเกี่ยวข้อง

เมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลง มันก็ดึกมากแล้ว

ทุกคนอำลาและแยกย้ายกันไป

“ข้าจะไปส่งท่าน” เฉียวซื่อหลิวกล่าวกับฟางหยวน

ดวงตาของลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกลายเป็นแดงก่ำ

“ไปกันเถอะ!” ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเคยเป็นคู่แข่งที่เกลียดชังกัน แต่หลังจากคืนนี้พวกเขาได้บรรลุข้อตกลงอย่างเงียบๆ

ผู้อมตะสี่คนออกจากศาลาตามลำดับโดยทิ้งเทพธิดาเถียนลูและคนรักของนางเอาไว้

“เห้อ…” เทพธิดาเถียนลู่ถอนหายใจ “เทศกาลไหว้พระจันทร์คืนนี้ช่างเหน็ดเหนื่อยนัก”

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” คนรักของนางปลอบใจ

ทั้งสองจับมือกันและเผยรอยยิ้มจากนั้นจึงก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆและจากไป

“วูอี้ไห่ผู้นี้เป็นคนบ้าอย่างสมบูรณ์ เขาแต่งบทกวีได้บัดซบนัก! สิ่งนั้นไม่สามารถเรียกว่าบทกวี!” ลั่วมู่ซือเต็มไปด้วยความโกรธ

“แต่เทพธิดาซื่อหลิวมีมุมมองที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!” หลุนเฟยกัดฟัน

“หึ มุมมองที่แตกต่างงั้นหรือ? คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือตัวตนของเขา!” ลั่วมู่ซือกล่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

การแสดงออกของหลุนเฟยเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย “ข้าจะไม่สามารถข่มตาหลับหากวูอี้ไห่ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!”

ระหว่างทางลั่วมู่ซือและหลุนเฟยพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน

“โอ้ เจ้ามีความคิดอย่างไร? ตระกูลวูกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาจากทุกทิศทาง แต่พวกเขาก็ยังสามารถรักษาสถานะ หากเจ้าต้องการต่อต้านวูอี้ไห่ เจ้าต้องพิจารณาถึงตระกูลวูไม่ว่าจะในที่สาธารณะหรือเป็นการส่วนตัว วูหยงอยู่เบื้องหลังวูอี้ไห่ เราต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์นี้” ลั่วมู่ซือเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ เขาตระหนักถึงความยากลำบากนี้

หากพวกเขาประเมินความสัมพันธ์นี้สูงเกินไป พวกเขาจะไม่สามารถทำสิ่งใดกับวูอี้ไห่ แต่หากพวกเขาประเมินต่ำเกินไป ผู้ใดจะสามารถรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

หลุนเฟยขบริมฝีปากและคิด ‘ผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะกังวลทุกสิ่ง ในทางกลับกันฝ่ายปีศาจสามารถดำเนินการได้ทุกอย่าง’

อย่างไรก็ตามหลุนเฟยไม่ใช่ปีศาจอมตะ เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ฝ่ายธรรมะ

หลุนเฟยเย้ยหยัน “เราไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตนเอง เทพธิดาซื่อหลิวเป็นที่หมายปองของผู้ชายมากมาย เราจะแจ้งคนเหล่านั้น พวกเขาจะต้องโกรธมากโดยเฉพาะเมื่อเทพธิดาซื่อหลิวไม่ได้เชิญพวกเขามาในครั้งนี้”

“เจ้ากำลังพูดถึงคนตระกูลจื่องั้นหรือ?” การแสดงออกของลั่วมู่ซือกลายเป็นซับซ้อน

ผู้อมตะตระกูลจื่อเคยเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อนหน้านี้ลั่วมู่ซือเกลียดชังเขามาก แต่ตอนนี้เขากำลังจะใช้ประโยชน์จากคนผู้นี้เพื่อมอบบทเรียนให้กับวูอี้ไห่

“แม้วูอี้ไห่จะสามารถเอาชนะเซี่ยเฟยกุ้ย แต่มันเป็นเพราะเขามีข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม หากเขาแข็งแกร่งจริง เขาจะสามารถยึดหอยภูเขาและไม่จำเป็นต้องเจรจากับสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา คนตระกูลจื่อแข็งแกร่งกว่าวูอี้ไห่อย่างแน่นอน นอกจากนี้เขายังเกลียดชังทุกคนที่ยุ่งเกี่ยวกับเทพธิดาซื่อหลิว” หลุนเฟยกล่าว

ลั่วมู่ซือตัดสินใจ “เอาล่ะ เราจะแจ้งจื่อซานเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้!”

เฉียวซื่อหลิวไปส่งฟางหยวนก่อนที่นางจะกล่าวลาอย่างไม่เต็มใจ

แต่นางกลับไปที่ตระกูลเฉียวไม่ใช่ศาลาเดิม

นางไปพบผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียว

นี่คือตัวละครที่ช่วยฟางหยวนให้กลับเข้าสู่ตระกูลวูก่อนหน้านี้

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียววางถ้วยชาลงอย่างช้าๆ “แม้วูอี้ไห่จะเติบโตขึ้นในทะเลตะวันออกแต่เขายังเป็นบุตรชายของวูตู๋ซิ่ว เจ้าคิดอย่างไร?”

เฉียวซื่อหลิวหรี่ตาก่อนกล่าว “ข้าเห็นด้วย”

ฟางหยวนบังคับให้คนทั้งสองชื่นชมบทกวีขยะของเขา นี่คือการโจมตีทางอ้อม

เฉียวซื่อหลิวตระหนักดีว่านี่คือการเผชิญหน้าระหว่างผู้คนของฝ่ายธรรมะ มันเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่แท้จริงแล้วมันคือการต่อสู้ในที่มืด

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวถอนหายใจ “ตระกูลเฉียวของเราเป็นพันธมิตรกับตระกูลวูมาตลอด แต่เรายังไม่สามารถเจาะลึกเข้าไปในแกนกลางของพวกเขา ตอนนี้วูอี้ไห่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

เฉียวซื่อหลิวกัดริมฝีปาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่นางยังพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”