บทที่ 326.3 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 326.3 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม ProjectZyphon

เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว แต่กลับไม่ใช้ท่าเดินนิ่งวิชาหมัดที่ ‘เนิบช้า’ อีก แต่ปล่อยหมัดต่อยเข้าไปที่หน้าผากของเหยียนสือจิ่ง ประหนึ่งพายุพร้อมสายฟ้าที่พุ่งมาปะทะใบหน้า

เด็กหนุ่มถอยออกไปอีกหนึ่งก้าว

เฉินผิงอันถาม “หมัดนั้นของเจ้าล่ะ?”

เด็กหนุ่มจิตใจห่อเหี่ยว เคว้งคว้างเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

เฉินผิงอันถอนหายใจ หันไปพูดกับจ้งชิวว่า “เคยมีคนบอกกับข้าว่า ฝึกวิชาหมัด มองดูเหมือนเป็นการฝึกด้านพละกำลัง เพื่อจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่การฝึกจิตใจก็สำคัญมากจริงๆ ในเมื่อจะฝึกวิชาหมัดก็ไม่ควรมีความรู้สึกของคนทั่วไป ก็เหมือนกับที่อาจารย์จ้งบอกว่าเจอหมัดสูงอย่าออกหมัด ข้าลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก แต่เจอหมัดสูงอย่าออกหมัดคือเรื่องที่คนซึ่งมีตบะและขอบเขตอย่างอาจารย์จ้งควรทำ แต่กลับเป็นแค่หลักการที่ลูกศิษย์ของท่านสมควรเข้าใจเท่านั้น เข้าใจหลักการข้อนี้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะทำเช่นไรกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีเพียงแบบนี้เท่านั้น ในอนาคตถึงจะสามารถออกหมัดได้กับทุกคนอย่างไร้ความละอายใจ”

จ้งชิวยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คือเหตุผลข้อนี้แหละ”

เขาพอจะเข้าใจนิสัยของเฉินผิงอันคร่าวๆ แล้วว่า การจะทำเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนแสวงหาคำว่าดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้นต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะกระวนกระวายจริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะแลกเปลี่ยนความรู้ ควรจะสอนวิชาหมัดให้คนอื่นอย่างไร แต่หากเดินก้าวแรกออกไปแล้ว เฉินผิงอันก็จะทำอย่างจริงจังเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับการล้อมสังหารบนถนนใหญ่เส้นนั้น จ้งชิวคือคนที่มองสถานการณ์อยู่ด้านข้าง ดังนั้นจึงเห็นอย่างชัดเจน แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็อาจจะไม่รู้ว่า เขาในนาทีนั้นมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน!

มั่นใจถึงขั้นที่ให้ความรู้สึกว่า ‘ยามที่ข้าออกหมัด ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้า ได้แค่แหงนหน้ามอง พูดอย่างสะท้อนใจว่า สวรรค์อยู่เบื้องบน’

อันที่จริงจ้งชิวอยากรู้มากว่า เฉินผิงอันที่เข้ากับคนได้ง่ายขนาดนี้สามารถมีสภาพจิตใจเช่นนี้ตอนที่ออกหมัดได้อย่างไร ยิ่งใคร่รู้ว่าเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดมาอย่างไรกันแน่

ไม่ว่าอย่างไร เฉินผิงอันที่เป็นทั้งสองอย่างนี้ จ้งชิวก็ล้วนเคารพนับถือ

เฉินผิงอันพูดอย่างเกรงใจว่า “นี่เป็นแค่สิ่งที่ข้าคิดมั่วๆ เท่านั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับลูกศิษย์ของอาจารย์จ้งเสมอไป”

จ้งชิวส่ายหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “มักจะมีหลักการบางอย่างที่ไม่ว่าเอาไปวางไว้ตรงมุมไหนของสี่สมุทรก็ล้วนถูกต้อง คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าเหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน”

เฉินผิงอันกลัวว่านับตั้งแต่นี้ไปกระจกหัวใจของเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้จะเกิดรอยปริร้าว เขาใคร่ครวญหาคำพูดอยู่ครู่ใหญ่ แม้ตัวเองจะไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็ยังพยายามพูดปลอบใจว่า “คนที่ฝึกวิชาหมัด นอกจากจะสามารถทนรับกับความยากลำบากได้แล้ว จิตใจยังต้องนิ่ง การออกหมัดถึงจะรวดเร็วและเยือกเย็น บุกรุดไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอุปสรรคกีดขวาง ถ้าอย่างนั้นสักวันหนึ่งไม่ว่าจะพบเจอข้า หรือเจอกับอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างอาจารย์ของพวกเจ้า หรือแม้แต่คู่ต่อสู้ที่มองดูเหมือนไร้เทียมทานอย่างติงอิง พวกเจ้าก็ล้วนสามารถออกหมัดได้รวดเร็ว เร็วที่สุด”

เฉินผิงอันมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง “เบื้องหน้าไร้คน มีแค่สองหมัดเท่านั้น!”

เด็กหนุ่มเด็กสาวมึนๆ งงๆ ทว่าความแค้นเคืองบนใบหน้าและความหวาดกลัวในส่วนลึกของหัวใจคนทั้งสองกลับลดลงไปเยอะมาก

จ้งชิวพยักหน้ารับเบาๆ

นี่เป็นการสอนวิชาหมัดเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นการชี้ ‘วิถีวรยุทธ์’ ให้แล้ว

ส่วนข้อที่ว่าในอนาคตเด็กโง่สองคนนี้จะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หรือจะขึ้นไปบนเส้นทางภูเขาของวิถีวรยุทธ์เส้นนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูทั้งพรสวรรค์ และดูทั้งโชควาสนา จ้งชิวพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ และต่อให้พูดแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร

เฉินผิงอันที่เก็บหมัดไม่ได้มีพลังอำนาจเช่นนั้นอีก เขามองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่น่าสงสารสองคนนั้นแล้วถามจ้งชิวอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “ข้าพูดกว้างเกินไปและเลื่อนลอยเกินไปหรือเปล่า?”

จ้งชิวเอ่ยสัพยอก “ก็ใช้ได้แล้วนี่นา นี่เจ้าคิดจะให้ข้าพูดประจบยกยออีกสักกี่คำถึงจะยอมเลิกรา?”

เฉินผิงอันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

จ้งชิวมองไปทางลูกศิษย์สองคน ทว่าพวกเหยียนสือจิ่งกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเฉินผิงอัน “วันนี้ไม่ต้องฝึกวิชาหมัด กลับไปคิดให้ดีว่าเหตุใดถึงไม่กล้าออกหมัด คิดเข้าใจแล้วพรุ่งนี้ค่อยฝึกใหม่ก็ยังไม่สาย”

เด็กหนุ่มเด็กสาวกุมหมัดรับคำสั่ง

จ้งชิวจากไปพร้อมกับเฉินผิงอัน

รอจนใต้เท้าราชครูและคนประหลาดผู้นั้นจากไปแล้ว คนทั้งหลายที่อายุไม่มากก็เริ่มพูดคุยกันเสียงดังจอแจ ส่วนใหญ่ล้วนปลอบใจเหยียนสือจิ่งและเด็กสาวคนนั้น สอดแทรกไปด้วยเสียงทอดถอนใจ แม้คนนอกเหล่านี้จะรู้ว่าราชครูจ้งคืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีใครเห็นจ้งชิวออกหมัดกับตาตัวเองมาก่อน ต่อให้ในตระกูลพวกเขาต่างก็มียอดฝีมือที่ศักยภาพไม่ธรรมดาช่วยพิทักษ์เรือนให้ ทว่าแต่ละคนล้วนมีสายตาที่สูงส่งไม่แพ้กัน ดังนั้นวันนี้ได้มาเห็นคนผู้นั้นออกหมัด แค่หมัดเดียวเท่านั้น ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่เสียแรงที่เดินทางมา

เหยียนสือจิ่งเดินออกไปจากกลุ่มคนก่อนใคร เด็กหนุ่มไม่มีอารมณ์จะเสวนากับใคร จึงไปนั่งอยู่บนขั้นบันได เหม่อลอยเล็กน้อย

ส่วนเด็กสาวที่หลังจากพูดคุยกับสหายจบก็มานั่งอยู่ข้างกายศิษย์พี่เหยียนสือจิ่ง พูดเหมือนช่วยทวงความยุติธรรมให้กับเขา “มีอะไรร้ายกาจกัน พูดไปพูดมา คนผู้นั้นก็ยังอาศัยความสามารถที่สูงส่งมาชี้ไม้ชี้มือใส่พวกเราอยู่ดีไม่ใช่หรือ น่าโมโหจริงๆ อยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ด้วย”

เหยียนสือจิ่งทอดสายตามองไปไกล “ข้ารู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผลมาก และอาจารย์ก็เห็นด้วย”

เด็กสาวพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อเจอกับอาจารย์ของเรา อวี๋เจินอี้และมารเฒ่าติงผู้นั้น เขาจะยังกล้าพูดจาวางโตเช่นนี้ แค่พูดก็ง่ายน่ะสิ แค่ออกหมัดเท่านั้น เชอะ!”

เหยียนสือจิ่งกำหมัดแน่น “วันหน้าข้าจะไม่แอบอู้อีกแล้ว จะตั้งใจฝึกวิชาหมัด และทุกวันจะต้องขอให้อาจารย์ถ่ายทอดวิชาหมัดที่สูงส่งลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมให้ข้าด้วย สักวันหนึ่งข้าต้องทำให้คนผู้นั้นเอาคำพูดทั้งหมดกลับคืนไป!”

ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายวาววับ จ้องมองมองใบหน้าด้านข้างของศิษย์พี่น้อยนิ่ง “ท่านต้องทำได้แน่! ขนาดศิษย์พี่ใหญ่ยังบอกว่าพรสวรรค์ของท่านใกล้เคียงกับท่านอาจารย์มากที่สุด หากให้เวลาท่านได้ฝึกหมัดสักห้าปี ตอนนี้ท่านก็สามารถวัดฝีมือกับพวกฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซิน หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแห่งตำหนักคลื่นวสันต์แล้ว”

บนหลังคา จ้งชิวแอบมานั่งอยู่ข้างบนเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน จ้งชิวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงได้เสนอว่าจะกลับมาเงียบๆ แล้วก็มานั่งอยู่ตรงนี้ ฟังคำพูดเหลวไหลของพวกเด็กๆ

แต่ฟังถึงท้ายที่สุด ได้ยินบทสนทนาระหว่างเหยียนสือจิ่งสองคน จ้งชิวก็ยังคาดเดาความคิดของเฉินผิงอันไม่ออก แต่ราชครูท่านนี้กลับรู้สึกเสียดายและหดหู่เล็กน้อย ไม่ถึงขั้นผิดหวังในตัวเด็กทั้งสองคน

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ไปจากที่แห่งนี้พร้อมกับจ้งชิวอย่างแท้จริง

ระหว่างที่เดินทางกลับ สอบถามเรื่องวิชาหมัดและการเรียนวรยุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้จากจ้งชิวมามากมาย เฉินผิงอันจึงได้ความรู้เยอะมาก

คนทั้งสองแยกกันกลางทาง เฉินผิงอันเข้าไปในร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง สั่งเหล้าหนึ่งกาและกับแกล้มจานเล็กสองจาน เหล้าที่สั่งเป็นเหล้าชนิดที่แพงที่สุดของร้าน

นักพรตเฒ่าปรากฏตัวจากความว่างเปล่า เขานั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ในร้านเหล้าที่คึกคักกลับไม่มีสักคนที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ด้านหน้านักพรตเฒ่ามีถ้วยเหล้าหนึ่งใบปรากฏขึ้นมา เหล้าไหลจากกาเข้าหาชามของเขาด้วยตัวเอง ตอนที่ยื่นมือออกมาในมือก็มีตะเกียบเพิ่มมาคู่หนึ่ง เขาคีบต้นหอมผัดไข่มาหนึ่งชิ้น กินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “เพิ่งจะรู้ใช่ไหมว่า หลายสิ่งหลายอย่างก่อนหน้านี้ที่เจ้าคิดว่าสมเหตุสมผล และมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ขอแค่คนอื่นเต็มใจขยันหมั่นเพียร คนส่วนใหญ่ล้วนสามารถเดินมาถึงก้าวเดียวกับเจ้าในทุกวันนี้? เพิ่งค้นพบใช่ไหมว่า มันเป็นเรื่องที่น่าตลกมาก?”

เฉินผิงอันถาม “ท่านผู้อาวุโสว่างขนาดนี้เชียวหรือ?”

นักพรตเฒ่าเองก็ตอบไม่ตรงคำถามเช่นเดียวกับเฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูถูกคนที่สอนหลักการเหตุผล สอนวิชาหมัดให้เจ้าเกินไปแล้ว หากเจ้าเดินต่อไปตามสภาพจิตใจก่อนหน้านี้ สักวันหนึ่งจะต้องกลายไปมีสภาพอย่างคนผู้นั้น มองไปทางใดก็เห็นแต่ความเคว้งคว้าง เดียวดายอยู่เพียงลำพัง ถึงเวลานั้นยังไม่เต็มใจจะช่วยใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฮ่าๆ แบบนี้ก็น่าจะพอเรียกว่า ‘ตายอย่างคุ้มค่า’ ได้บ้างกระมัง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากข้ายังดีไม่พอ ตอนนี้ก็คงไม่มานั่งดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์กับท่านผู้อาวุโสอยู่ตรงนี้ แต่คงตายอยู่ที่นี่ ตายอย่างไม่เข้าใจอะไร รอจนชาติหน้า ต่อให้โชคดีสติปัญญาเปิดกว้าง แต่รอให้ข้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว ไม่ว่าด้านนอกจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ข้าก็คงต้องคิดอยากแลกชีวิตกับท่านผู้อาวุโสอยู่ดี”

นักพรตเฒ่าดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้ม พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัว หากความสามารถของเจ้าไม่มากพอ ตายด้วยน้ำมือของลู่ฝ่างหรือติงอิง เว้นเสียว่าหลังจากนั้นเฉินชิงตูจะร่วมมือกับซิ่วไฉเฒ่า ข้าถึงจะยอมฝืนใจปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าก็ต้องรอเกิดใหม่อยู่ที่นี่แต่โดยดี ดังนั้นเจ้าควรจะดื่มคารวะตัวเองหนึ่งจอก คารวะที่ตัวเองรอดชีวิตมาได้”

ในส่วนลึกของหัวใจเฉินผิงอัน นักพรตเฒ่าคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้นสักเท่าไหร่

ไม่ได้จะบอกว่านักพรตเฒ่าจงใจเล่นงานเขาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ เพราะในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็รู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัตินั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่าเหตุผลบางอย่างของนักพรตเฒ่าไม่ถูกต้อง

เฉินผิงอันแค่ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เท่านั้น

พวกเขาไม่ได้มีสายตาเหมือนสายตาของคนบนภูเขาที่มองมดตัวเล็ก แต่เหมือนคนคนหนึ่งที่มองลูกเจี๊ยบของตัวเอง จะขุนให้อ้วนรอวันเชือดกิน หรือจะเลี้ยงต่อไปก็ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเขา

แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเฉินผิงอันยังยืนอยู่ตรงจุดที่ไม่สูงพอ จึงมองไม่เห็นทัศนียภาพของโลกมนุษย์ในสายตาของพวกเขา

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งถ้วย

ยังไม่ต้องพูดถึงว่ายุทธภพดีหรือไม่ดี แต่เหล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้รสชาติไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

เฉินผิงอันดื่มเหล้าช้าๆ มองเมินนักพรตเฒ่าไปอย่างสิ้นเชิง เขาตั้งใจครุ่นคิดว่าตัวเองเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร

คิดมาตั้งแต่ตรอกหนีผิงจนถึงตรอกนอกบ้านของเฉาฉิงหล่าง

ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีทางแยกออกไปอีกนับไม่ถ้วน

ต้องปฏิบัติต่อตัวเองให้ดี

ถึงจะปฏิบัติดีต่อคนบนโลกได้

แต่นี่มันยากมากเลยนี่นา

เวลามีเรื่องไม่สบายใจ สามารถใช้เหล้าดับทุกข์ แต่ในโลกมีเรื่องอยุติธรรมมากมายขนาดนั้น จะทำอย่างไร? วันหน้าหมัดของข้าเฉินผิงอันยิ่งนานก็ยิ่งสูง กระบี่ยิ่งนานก็ยิ่งเร็ว ถ้าเช่นนั้นความสามารถก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นเรื่องอยุติธรรมของคนอื่น จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวซะทุกเรื่องเลยหรือ? แต่หากไม่เข้าไปยุ่ง จะข้ามผ่านหลุมในใจไปได้อย่างไร? ก็แค่เรื่องอยุติธรรมเรื่องเดียวไม่ใช่หรือ? จะผิดต่ออาจารย์ฉี ผิดต่อหลักการและเหตุผลในตำราหรือเปล่า? จะผิดต่อที่ตนเองเป็นอาจารย์อาน้อยของหลี่เป่าผิงหรือไม่?

แต่ข้าก็ต้องแก้แค้น ต้องทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่หญิงวิญญาณกระบี่ ต้องฝึกวิชาหมัด เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ต้องฝึกกระบี่ ซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะเพื่อเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ต้องเรียนหนังสือ ต้องเป็นคนอย่างอาจารย์ฉี ข้ายังต้องแต่งแม่นางที่ดีขนาดนั้นมาเป็นภรรยา…

จะทำอย่างไร?

เหตุผลพันหมื่นไม่ต้องคิดถึง เมาให้ล้มไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

ศีรษะของเฉินผิงอันกระแทกลงบนโต๊ะดังตุ้บอย่างแรง

ในความฝัน เหมือนมีคนถามเขาว่า หลังจากได้เห็นแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดแล้วรู้สึกอย่างไร เฉินผิงอันที่เมามายหัวเราะฮ่าๆ พลางตอบว่าน้ำมากขนาดนั้น ปลาต้องตัวใหญ่แน่ๆ เมื่อก่อนเป่าผิงน้อยชอบบ่นว่าแกงปลาของตนจืดเกินไป คราวหน้าต้องตกได้ปลาตัวใหญ่ และใส่เกลือให้มากพอแน่นอน!

นักพรตเฒ่ากระตุกมุมปาก ไม่ใช้มรรคกถาดึงเหล้ามาจากในกาอีก แต่รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ถามอีกว่า “ภูเขาสูงมากมายขนาดนั้น ทัศนียภาพเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอาฝ่ามือตบโต๊ะ ยังคงพูดพึมพำด้วยความเมามาย ข้าไม่รู้หรอก แต่ในตำรามีประโยคหนึ่งบอกว่า ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม…แต่ข้าเดินบนเส้นทางภูเขามามากมาย วันที่ฝนตกหรือหิมะตกล้วนเดินยากมาก เดินยากเกินไปแล้ว…

นักพรตเฒ่าวางถ้วยเหล้าลง มองเฉินผิงอันที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉีจิ้งชุนสอนผีขี้เหล้าแบบนี้ออกมาได้ยังไง?”

—–