บทที่ 443 ตั้งชื่อบุตร

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าคำพูด มนต์ยั่วยวนของฉีเฟยอวิ๋นสิ้นสุดลงแล้วก็นอนอยู่ตรงฝั่งหนึ่ง หนานกงเย่กอดนางไว้ในอ้อมแขน

“ยังไม่ลุกขึ้นยังจะต้องเข้าวังอีก” ฉีเฟยอวิ๋นเตือนหนานกงเย่

“ข้าไม่ต้องการเข้าวังอีกแล้ว สักครู่ข้าจะจ่ายเบี้ยเพิ่มแล้วค่อยลุกขึ้น”

“เช่นนั้นก็มืดแล้ว!” ฉีเฟยอวิ๋นนั้นกลัวว่าหนานกงเย่จะตายอยู่บนเตียงจริงๆ

ดูเหมือนเมื่อก่อนเขาไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ โอกาสนี้หายากนักและเขาไม่สนุกก็ไม่ได้ด้วย

“ค่ำมืดก็ค่ำมืด ค่ำมืดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมา”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีสิ่งใดจะกล่าว เปลี่ยนความคิดไม่ได้จึงได้แต่พักผ่อนเสียก่อน

เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาอาหารค่ำแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเก็บข้าวของเพื่อเตรียมไปเยี่ยมท่านพ่อของนางที่จวนท่านแม่ทัพ

ในเมื่อไม่สามารถเข้าวังได้ เช่นนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางซะก่อน

ได้ยินว่าฉีเฟยอวิ๋นเตรียมตัวไปที่จวนท่านแม่ทัพพ่อบ้านก็รีบขวางเอาไว้: “พระชายา น้อยน้อยทั้งหลายเล็กเช่นนี้ อากาศก็เริ่มเย็นลงทุกวันๆรวมทั้งค่ำมืดแล้ว พระชายายังจะพาพวกเขาออกไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสม!”

พ่อบ้านหวังดีส่วนฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

“ท่านอ๋องคิดเช่นไร?”

“ข้ามิมีสิ่งใดต้องคิด ครอบครัวนี้ชายาเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ข้าจะกล้ากล่าวคำว่าไม่หรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายตา เด็กนั้นสั่งสอนได้!

“พ่อบ้านกล่าวได้ถูกต้องนัก แต่ว่าเด็กๆทั้งหลายเช่นไรก็ต้องเจอท่านตา ไม่ใช่เนื่องจากว่าอากาศหนาว หนทางยาวไกล ค่ำมืดแล้วเลยไม่ไปใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นชี้แจงอย่างละเอียด พ่อบ้านนั้นหวังดีนางไม่สามารถทำให้พ่อบ้านเจ็บปวดใจได้

พ่อบ้านยังคงยืนกรานว่า: “แม่ทัพฉีน่าจะมาในวันถัดไป วันนี้ไม่มาก็อาจจะมาในวันพรุ่งนี้แล้ว

พระชายาหลับไม่ตื่นตลอด แม่ทัพฉีเป็นกังวลทุกวัน เขาอาศัยอยู่กับพวกเราเป็นครั้งคราว และอาศัยอยู่สองสามวันก็เป็นไปได้”

“ถูกต้อง แต่เด็กๆเหล่านี้คงจะไม่เคยได้ออกจากประตูและไม่เคยไปที่จวนแม่ทัพฉี ที่นั่นเป็นเรือนของข้า ข้าพาพวกเขาไปก็เพื่อจดจำเรือนและให้ผู้คนในจวนได้เห็นพวกเขา ทุกคนได้รับความโชคดีติดตัว

ความเป็นห่วงกังวลของพ่อบ้านนั้นข้ารู้ นายน้อยทั้งหลายเป็นดังชีวิตของจวนนี้ ดังพ่อบ้านซึ่งคิดพิถีพิถันเพื่อพวกเขาเช่นนี้ข้ารู้สึกขอบใจและซาบซึ้งใจยิ่งนัก

คิดถึงภายภาคหน้าว่าข้าและท่านอ๋องต้องใช้เวลาออกไปจัดการเรื่องราวมากมาย พวกเขาทั้งหลายนั้นหากว่าไร้ซึ่งผู้ที่เอาใจใส่ ข้าและท่านอ๋องย่อมไม่สบายใจอยู่แล้ว

มีพ่อบ้านอยู่ ข้าก็อุ่นใจ

แต่พ่อบ้าน พวกเราคนของจวนอ๋องเย่ ไม่สามารถเนื่องด้วยด้านนอกมีอันตรายจากลมฝนจึงไม่ออกประตูไป

อาจารย์ของข้าบอกว่าผู้อ่อนเยาว์ที่แข็งแกร่งทำให้ประเทศเข้มแข็ง

หากว่าลูกชายทั้งหลายของข้าได้รับการปกป้องดีเกินไป อันนี้ก็กลัว อันนั้นก็กลัว โตขึ้นจะปกป้องเมืองต้าเหลียงได้เช่นไร?”

“อันนี้……” พ่อบ้านหน้าตาเป็นกังวล

“่พ่อบ้าน เจ้าเตรียมพร้อมเอาไว้ สักครู่ตามข้ากับอ๋องเย่ไปจวนท้านแม่ทัพ กำลังคนไม่เพียงพอ”

“อ๊า?”

พ่อบ้านชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ละทิ้งความกังวลทั้งหมดไว้เบื้องหลังแล้วรีบตอบรับว่า: “ข้าจะไปตอนนี้”

ดูเหมือนพ่อบ้านจะได้รับของขวัญอันใหญ่หลวงจึงหันหลังกลับแล้ววิ่งไปอย่างเร่งรีบ

พ่อบ้านเดินไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นหันศีรษะกลับมองไปยังหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง ท่านกล่าวได้น่าฟังยิ่งนัก!”

“เดิมทีข้าก็ไม่สนใจเรื่องในจวนอยู่แล้ว”

“อืม”

……

พ่อบ้านเครียมพร้อมแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นพาหงเถาลี่ว์หลิ่วรวมถึงพ่อบ้านอาวุโสกับอาอวี่ไปด้วยขึ้นรถม้าคันเดียวกัน ลูกชายทั้งห้าคนนอนอยู่ในรถ อีกาดำตัวน้อยและจิ้งจอกน้อยเฝ้าดูแลอยู่ด้านหน้า อาอวี่กับพ่อบ้านขับรถม้า หงเถากับลี่ว์หลิ่วตามอยู่ทั้งสองข้างของรถม้า

เมื่อรถม้าถึงยังตรงหน้าประตูจวนท่านแม่ทัพพ่อบ้านก็รีบเดินไปหน้าประตูทันที ประตูใหญ่ตรงหน้าประตูเปิดอยู่ พ่อบ้านรีบกล่าวทักทายทำให้พ่อบ้านของจวนท่านแม่ทัพตกใจจนเกือบหกคะเมนล้มลง นายน้อยทั้งหลายมาแล้ว?

วันนี้แม่ทัพฉีออกไปแล้วพอกลับมาได้ไม่นานรู้สึกง่วงจึงไม่ได้ไปเยี่ยมฉีเฟยอวิ๋นกับลูกๆ มิเช่นนั้นเขาจะต้องไปดูวันเว้นวันเป็นแน่

ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าลูกสาวและเด็กๆทั้งหลายกลับมาแล้ว แม่ทัพฉีก็รีบออกไปต้อนรับ

ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่อุ้มกันคนละคน พ่อบ้านอุ้มคนหนึ่ง หงเถากับลี่ว์หลิ่วอุ้มคนะคน ผู้คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทำให้จวนท่านแม่ทัพ เกือบทุกคนเดินออกมาจากด้านในพอแม่ทัพฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ร้องห่มร้องไห้ ร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวมากกว่าเวลาใด

ฉีเฟยอวิ๋นก็ร้องไห้ด้วย: “ท่านพ่อ ท่านร้องไห้ทำไมกัน? ลูกสาวคนนี้สบายดีมิใช่หรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มลูกชายคนโตของนางเดินไปถึงตรงหน้าแม่ทัพฉี ส่งเด็กในอ้อมแขนให้แม่ทัพฉีดู แม่ทัพฉีเช็ดใบหน้า: “พ่อไม่ได้ร้องไห้!”

“ไม่ร้องไห้แล้วเช็ดน้ำตาอันใดกัน?”

แม่ทัพฉีไม่ได้สนใจมากเชนนั้น อุ้มหลานชายไว้ด้วยรอยยิ้ม มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียด ก้อนหินที่แขวนอยู่ท้ายที่สุดก็ตกลงบนพื้นแล้ว

พ่อลูกได้พบกัน ต่างก็พากันหัวเราะคิกๆคักๆ

แม่ทัพฉีเดินตามฉีเฟยอวิ๋นตลอดเกรงว่าจะสูญเสียลูกสาวไป เขาอุ้มเด็กเอาไว้นั้นท่าทางดูขบขันอยู่บ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า: “ท่านพ่อ ท่านได้เตรียมสถานที่ให้เด็กๆพักผ่อนหรือไม่ จวนแม่ทัพและจวนอ๋องเย่อยู่ไม่ห่างกันนัก รอจากไปในภายหลังก็คงหนีไม้พ้นต้องมาที่นี่เป็นประจำ”

“หือ?” แม่ทัพฉีได้ยินก็ตื่นตระหนก!

“พวกเขายังจะมาเป็นประจำ?” แม่ทัพฉีนั้นตั้งแต่ฉีเฟยอวิ๋นคลอดบุตรแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาเขาก็แก่ชราไปตั้งหลายปี ทุกวันนั้นได้แต่เศร้าโศกเสียใจ แม้ว่าจะดูเด็กๆทั้งหลายแต่เขาไม่เคยคิดว่าเด็กๆทั้งหลายยังจะมาที่จวนแม่ทัพ

“นี่……พ่อไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย” แม่ทัพฉีรู้สึกละอายใจ

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ท่านพ่อคงต้องเตรียมตัวไว้ เด็กห้าคนนั้นค่อนข้างลำบาก ประการแรกสถานที่ต้องมีขนาดใหญ่ ประการที่สองต้องมาตรการของความปลอดภัย ข้าวางแผนที่จะให้อวิ๋นจิ่นดูแลพวกเขาโดยเฉพาะ”

“นี่……พ่อจะไปตระเตรียม แต่ไม่รู้จะเตรียมเช่นไร?”

“ก็ไม่จำเป็นต้องดีมากนัก แค่ขยายห้องฝึกซ้อมวิทยายุทธก็พอ ข้าว่าจะขยายด้านในของห้องฝึกซ้อมวิทยายุทธเอาไว้พักผ่อนแล้วจัดห้องตำราไว้อีกฝั่ง เพียงพอให้พวกเขาทั้งห้าคนใช้ก็พอแล้วจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง”

“ก็ดี!”

แม่ทัพฉีฟังลูกสาวของเขาทุกประการ ลูกสาวนั้นฟื้นขึ้นมาเขาก็มีความสุขมากล้นแล้ว พ่อบ้านก็ตื่นเต้นมากเช่นกันจึงได้ยิ้มให้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่เช่นนั้น

เด็กๆถูกนำตัวไปยังห้องของฉีเฟยอวิ๋นแล้ววางไว้บนเตียงทีละคนๆ แม่ทัพฉีเดินไปเดินมา ครู่หนึ่งอุ้มคนนี้ขึ้น ครู่หนึ่งอุ้มคนนั้นขึ้น คนใดก็ชอบทั้งนั้น

หนานกงเย่นั่งอยู่ด้านข้างและมีคนปรนนิบัติดื่มชา หงเถาลี่ว์หลิ่วยืนมองดูอยู่ตรงหน้าประตู ผู้คนของจวนท่านแม่ทัพมารวมตัวกันยังที่ลานในเรือน ทุกคนต่างก็อยากเห็นนายท่านตัวน้อยทั้งหลาย

อาอวี่ต้องตรวจสอบว่าผู้คนเหล่านี้มีผู้ที่น่าสงสัยหรือไม่

พ่อบ้านอาวุโสของจวนท่านแม่ทัพมองอยู่เช่นนั้นอย่างหาได้ยากนัก

ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ถามว่า: “ท่านพ่อ ขณะที่ท่านอยู่ในจวนอ๋องเย่ ท่านอ๋องไม่ยอมให้ท่านอุ้มพวกเขาทั้งหลายใช่หรือไม่ เหตุใดถึงดูว่าท่านพ่อประหลาดเช่นนี้ราวกับว่าอุ้มครั้งแรก?”

“ข้าผู้เดียวดูทั้งห้าคนได้ไม่ดี ท่านพ่อตากระทำด้วยตนเอง” หนานกงเย่ได้ยินก็วางท่าทีแสงจุดยืนของเขาให้ช้ด

แม่ทัพฉีมองไปและเป็นเวลาเนิ่นนานจึงได้กล่าวว่า: “นี่เป็นเรื่องจริง”

ฉีเฟยอวิ๋นนับว่ายังพอใจ: “ท่านพ่อ ข้าตั้งชื่อพวกเขาเอาไว้แล้ว ชื่อเล่น เจ้าใหญ่ เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ เจ้าห้า

พวกเขามีลูกปัดทองคำที่ข้อมือและมัดด้วยด้ายสีแดง ต่อไปท่านพ่อเห็นได้ชัดเจนว่ามีกี่อันก็เป็นคนที่เท่าใด”

“จริงหรือ?” แม่ทัพฉีตรวจสอบดู: “เช่นนี้ดี ไม่เช่นนั้นลักษณะเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด”

“ท่านพ่อ ข้าว่าจะเลือกหนึ่งคนในพวกเขาสืบทอดเสื้อคลุมของท่าน ท่านต้องสังเกตเอาไว้ให้ดี”

“เรื่องนี้ไม่ต้องแล้ว การสู้รบไม่มีสิ่งใดดี” แม้ว่าแม่ทัพฉีหวังว่าเสื้อคลุมของเขาจะมีผู้สืบทอด แต่เมื่อคิดถึงหลานชายกลับอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้คิดเช่นนั้น นางนั้นกลับจริงจังเป็นพิเศษ!