ตอนที่ 1561

War sovereign Soaring The Heavens

มาเยือนสำนักจันทร์จรัสแสง!

 

เหินร่างข้ามผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ มุ่งหน้าไปยังประเทศฝูเฟิงด้วยความเร็วสูงสุด ต้วนหลิงเทียนแม้จะร้อนกับสภาพอากาศแต่ก็ไม่ปริปากบ่นอะไร ใจครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังอยู่สำนักจันทร์จรัสแสง เขาได้ยินศิษย์พี่กล่าวถึงประเทศฝูเฟิงบ่อยๆ

 

ในวาจายังเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะไปอาศัยอยู่ กระทั่งอยากจะลงหลักปักฐานที่ประเทศฝูเฟิง

 

ป๋ายลี่หงยังกล่าวบอกไว้ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะการต้อนรับขับสู้อันดีจากสำนักจันทร์จรัสแสง คงเดินทางไปยังประเทศฝูเฟิงนานแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงคาดคิดไปว่าป๋ายลี่หงสมควรพาพวกเฟิ่งหวู่เต้ามายังประเทศฝูเฟิง

 

แถมยังรู้สึกสังหรณ์อย่างประหลาดว่าน่าจะใช่แน่ๆ

 

เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลยก็คือในขณะที่เขากำลังเดินทางข้ามทะเลทรายร้อนตับสุกนั้น บิดาไม่เอาไหนในสายตาเขาได้ออกจากทวีปเมฆาล่องเพราะเบาะแสที่เขาเหลือทิ้งเอาไว้ในเมืองหลวงอาณาจักรนภาล่อง

 

“ไปสำนักจันทร์จรัสแสง”

 

ต้วนฟรูเฟิงกล่าวออกเสียงเย็น คนมาไวไปไวดั่งสายลมนัก เพียงวันเดียวก็ออกจากทวีปเมฆาล่อง จนย้อนกลับมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกครั้ง

 

แน่นอนว่าในเวลาหนึ่งวันนั้น เวลาที่ใช้ในการเดินทางมีไม่ถึง 1 ในสิบด้วยซ้ำ

 

ด้วยเบาะแสที่ต้วนหลิงเทียนเหลือทิ้งไว้ ยังกล่าวบอกว่าได้นำพาเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมาพักอาศัยอยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสง และสำนักจันทร์จรัสแสงที่ว่าก็คือขุมพลังชั้น 7 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

 

ขณะเดียวกันก็เอ่ยถึงสถานที่ตั้งสำนักจันทร์จรัสแสงเอาไว้เช่นกัน

 

ดังนั้นต้วนหรูเฟิงจึงมุ่งหน้าไปยังสำนักจันทร์จรัสแสงพร้อมกับกู่มี่ทันที

 

ต้วนหรูเฟิงลอยร่างเหนือน่านฟ้าสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างเงียบงัน สองมือไพร่หลังเหลือบมองลงไปอย่างสงบ ใบหน้าไม่เผยอารมณ์ยินดียินร้ายอะไร

 

อย่างไรก็ตามหากมองลึกลงไปในแววตาจะเห็นถึงความวาดหวังไม่น้อย ความหวังที่จะได้พบเจอหน้าลูกชายอีกครั้ง

 

“เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงเป็นผู้ใด?”

 

กู่มี่ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง สองตาทอประกายวาบตะโกนออกมาดังลั่นสำนักจันทร์จรัสแสง!

 

จังหวะนี้ทั้งสำนักจันทร์จรัสแสงอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจ

 

“เสียงนี่..ดังมาจากบนฟ้า! สำนักเรามีอาคมห้ามบิน แต่ทว่าผู้มากลับเหินบินได้…เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียน!”

 

อาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ในทันที

 

ครู่ต่อมาพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

 

ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมีธุระอะไรกับสำนักจันทร์จรัสแสงของพวกมันกัน?

 

ยิ่งไปกว่านั้นจากวาจายังคล้ายเรียกหาเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงอีกด้วย!

 

ในขณะเดียวกันบริเวณเขตหวงห้ามของสำนักจันทร์จรัสแสง ก็ตื่นตัวกันไม่น้อย

 

“ยอดฝีมือขอบเขตเซียนจากที่ใดกัน?”

 

เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงเจียงเว่ยและยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่มาเยือนสำนักจันทร์จรัสแสง

 

อย่างไรก็ตามในเมื่อผู้มาเรียกหาเจียงเว่ย เช่นนั้นเจียงเว่ยไม่ออกไปก็ไม่ได้

 

สุดท้ายแล้วนั่นก็คือผู้มีพลังขอบเขตเซียน!

 

ถึงแม้ว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตเซียนด่านพลังใด แต่เหล่าอาวุโสขอบเขตเซียนทั้งหลายก็เลือกที่จะติดตามเจียงเว่ยเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าด้วยเช่นกัน

 

ไม่นานเจียงเว่ยและเหล่าอาวุโส ก็ได้เห็นร่างชายชราคนหนึ่งลอยตัวรอคอยอยู่

 

ชายชราร่างกายผ่ายผอมมาในชุดสีเทา มือข้างหนึ่งถือไว้ด้วยไม้เท้าประหลาด บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม สร้างแรงกดดันให้พวกมันนัก!

 

ในฐานะที่พวกมันเองก็บรรลุขอบเขตเซียนเช่นกัน ย่อมตระหนักได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้มีพลังฝีมือเหนือพวกมัน!

 

จังหวะนี้เจียงเว่ยอดไม่ได้ที่จะเผยสายตาอิจฉาระดับพลังอีกฝ่าย

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกมันได้แลเห็นชายวัยกลางคนที่ลอยร่างเหนือขึ้นไปจากชายชราร่างผอม สีหน้าของพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้ลอยร่างอย่างสงบสองมือไพร่หลัง ทั่วกายไม่มีไอพลังเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย

 

มองผ่านๆอาจคิดว่าเป็นคนธรรมดา แต่ทีท่าสภาวะอีกฝ่ายบอกให้พวกมันรู้ว่าไม่ธรรมดา!

 

ยิ่งท่วงท่าสภาวะสงบเช่นนี้ กลับทำให้พวกมันบังเกิดความหวาดกลัวออกมาจากก้นบึ้งของใจ พวกมันตระหนักได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ สมควรร้ายกาจยิ่งกว่าชายชราผ่ายผอมหลายขุม!

 

ชายชราผู้นี้เห็นชัดว่าคงเป็นเพียงข้ารับใช้ของอีกฝ่าย!

 

“มิทราบใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 เป็นยอดคนจากที่ใดหรือ?”

 

เจียงเว่ยและคนอื่นๆย่อมมีความภาคภูมิใจไม่น้อย แต่ต่อหน้าผู้มาเยือนทั้ง 2 พวกมันได้แต่ประพฤติตัวเรียบๆร้อยๆ ไม่กล้าเชิดหน้าหยิ่งยะโสถือดีอันใด

 

ถึงแม้พวกมันจะบรรลุขอบเขตเซียนเช่นกัน แต่พวกมันก็รู้ดีว่าด่านเซียนของพวกมันต้อยต่ำที่สุดในขอบเขตเซียน ไหนเลยยังจะกล้าโอหัง

 

ยิ่งเป็นเรื่องปกติที่จะไม่กล้าวางท่าอะไรต่อหน้าผู้ที่คล้ายจะเป็นขอบเขตเซียนด่านพลังสูงกว่า!

 

“เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงเป็นผู้ใด?”

 

กู่มี่ไม่เพียงไม่แยแสคำถามของเจียงเว่ย ยังไม่เหลือบแลใครสัก เพียงกล่าวถามย้ำคำเดิมออกมา

 

ถูกเมินเฉยเช่นนี้แม้เจียงเว่ยและคนอื่นๆจะขุ่นขึ้งใจ แต่ไหนเลยกล้าแสดงออกทางสีหน้าได้? เจียงเว่ยยังรีบตอบกลับไปทันที “ใต้เท้าท่านนี้ ข้าคือเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง มิทราบว่าท่านมาหาข้าด้วยมีเหตุอันใดหรือ?”

 

ในวาจาของเจียงเว่ยเต็มไปด้วยความกังวลใจ

 

ชายชราร่างผอมผู้นี้ สร้างแรงกดดันให้มันมากเกินไป!

 

ยามถูกชายชราร่างผอมหันมาสบตา เจียงเว่ยรู้สึกราวกับมันเป็นเพียงมุสิกตัวกระจ้อยที่ถูกพญาอสรพิษจับจ้อง ตัวตนที่มันไม่มีวันต่อต้านได้!

 

“สำนักจันทร์จรัสแสงเจ้า มีคนชื่อต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”

 

กู่มี่กล่าวถาม

 

ทันทีที่กล่าวจบคำ กู่มี่ก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าสีหน้าแววตาเจียงเว่ยบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปวูบหนึ่ง อย่างไรก็ตามมันกลับสู่ความปกติได้แทบจะในพริบตา

 

ได้ยินคำถามนี้ของกู่มี่ ใจเจียงเว่ยพลันสะท้านไปทันใด คนอื่นก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามพวกมันพยายามควบคุมสีหน้าอารมณ์ ให้กลับสู่ปกติเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ทว่าในใจของพวกมันเสมือนมีมรสุมโหมกระหน่ำ!

 

ตัวตนที่ลึกลับทรงพลังนี่ มาหาต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ!?

 

ต้วนหลิงเทียนมิใช่มาจากทวีปมนุษย์หรือไร? ไฉนไปรู้จักกับยอดฝีมืออันน่ากลัวแบบนี้ได้?

 

จังหวะนี้ในใจของเจียงเว่ยบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที

 

“เจ้าสำนัก เจ้าชมดูใบหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้นเถอะ…กลับละม้ายคล้ายต้วนหลิงเทียนถึง 6-7 ส่วน!”

 

ตอนนี้เองอาวุโสขอบเขตเซียนที่ลอบมองใบหน้าต้วนหรูเฟิงพลันส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดกล่าวแจ้งเจียงเว่ยด้วยความร้อนรน

 

เสียงที่ส่งผ่านปราณแรกกำเนิดไปให้เจียงเว่ยยังสั่นไม่น้อ

 

เจียงเว่ยพอได้ยินก็ลอบมองสำรวจต้วนหรูเฟิงอย่างลับๆ

 

ตอนแรกมันไม่ได้สนใจรูปร่างหน้าตาต้วนหรูเฟิงมากนักด้วยไม่กล้ามองอีกฝ่ายนานๆ แต่พอตรวจสอบให้ดีก็พบว่าละม้ายคล้ายเหมือนต้วนหลิงเทียนจริงๆ!

 

โดยเฉพาะหว่างคิ้วที่แผ่พุ่งความองอาจออกมานั่น! ปานจะหลุดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน!!

 

‘แย่แล้ว!’

 

ใจเจียงเว่ยสะท้านไปโดยพลัน ความหวาดกลัวเริ่มสะท้อนออกในแววตา

 

จังหวะนี้เจียงเว่ยตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับผู้มาเยือนเบื้องหน้าทั้ง 2 แน่

 

ไร้ซึ่งความลังเลอันใด เจียงเว่ยเร่งส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดไปนัดหมายกับอาวุโสขอบเขตเซียนคนอื่นๆทันที “อาจารย์ลุง อาจารย์อา พวกเราตอบให้ตรงกันว่ามิรู้จักต้วนหลิงเทียน ทั้งสำนักจันทร์จรัสแสงเรามิเคยมีศิษย์นามต้วนหลิงเทียน!”

 

ได้ยินเสียงผ่านปราณดังกล่าว อาวุโสทั้งหลายก็เห็นด้วยทันที

 

ตอนนี้พวกมันยังตระหนักได้ทันที ‘ความเป็นมา’ ของต้วนหลิงเทียนน่ากลัวจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

 

ตอนนี้พวกมันบังเกิดความรู้สึกเสียใจนักที่คิดร้ายต่อต้วนหลิงเทียน!

 

หากต้วนหลิงเทียนไม่ถูกพวกมันไล่ล่า ก็นับว่าไม่มีเรื่องราวบาดหมางอันใดกัน ถึงแม้ภูมิหลังต้วนหลิงเทียนจะไม่ธรรมดา ก็คงไม่มาหาความจากพวกมันแบบนี้

 

อนิจจาตอนนี้ทุกอย่างเลยเถิด จนเหนือการควบคุมของพวกมันอย่างสิ้นเชิง

 

วินาทีนี้พวกมันทั้งหมดล้วนมีความคิดในใจเพียงเรื่องเดียว…หาหนทางเอาตัวรอดจากผู้มาเยือนทั้ง2 ให้ได้! กระทั่งหากถ่วงเวลาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี!!

 

เพราะหากถ่วงเวลาอะไรได้ อย่างน้อยพวกมันก็มีเวลาได้หารือแผนการต่างๆด้วยกัน

 

หาไม่แล้วหากทั้งสองได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักจันทร์จรัสแสงกับต้วนหลิงเทียน น่ากลัวว่าทั้ง 2คงได้ลงมือทำลายสำนักจันทร์จรัสแสงระบายอารมณ์เอา!

 

“เรียนใต้เท้า แม้ข้าจะเป็นเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง แต่ข้ามิเคยได้ยินนามต้วนหลิงเทียมาก่อนเลย”

 

เจียงเว่ยมองตอบกู่มี่อย่างใจเย็น

 

“เจ้ามิเคยได้ยินงั้นหรือ?”

 

เมื่อได้ยินคำตอบเจียงเว่ย ลึกลงไปในแววตากู่มี่เรืองประกายสลัววูบหนึ่ง กล่าวถามซ้ำออกมา

 

“ใช่ ข้ามิเคยได้ยินเลย”

 

เจียงเว่ยยืนยัน

 

“มันไม่เคยได้ยิน แล้วพวกเจ้าเล่า?”

 

กุ่มี่เบนตามามองถามอาวุโสคนอื่นๆของสำนักจันทร์จรัสแสงทันที ขณะที่ถามลึกลงไปในแววตายังเผยประกายหนึ่งวูบวาบขึ้น มุมปากยังยกยิ้มแสยะบางๆ

 

“ใต้เท้า ข้าเองก็มิเคยได้ยินมาก่อน”

 

“ข้าก็มิเคยได้ยินเลยใต้เท้า”

 

……

 

จังหวะนี้อาวุโสสำนักจันทร์จรัสแสงล้วนส่ายหัว ตีหน้ามึนกล่าวตอบว่าไม่เคยได้ยินทั้งสิ้น

 

“เทียนเอ๋อไม่อยู่นี่งั้นรึ?”

 

ตอนนี้เองคิ้วของต้วนหรูเฟิงก็เริ่มขมวดเป็นปม

 

เพราะมันได้ใช้สำนึกเทวะสำรวจตรวจสอบทุกตารางนิ้วของสำนักจันทร์จรัสแสงเรียบร้อยแล้ว หากแต่ไม่พบร่องรอยของต้วนหลิงเทียนเลย

 

“พวกเจ้ามิเคยได้ยิน หรือลังเลที่จะยอมรับ?”

 

กู่มี่ว่ายตามองทั้งหมด ค่อยกล่าวถามเจียงเว่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

ได้ยินวาจานี้ของกู่มี่ ลูกตาของพวกมันก็สั่นไหวทันที พวกมันตระหนักได้ว่าท่าทางยอดฝีมือเบื้องหน้าคงค้นพบอะไรบางอย่างแล้ว

 

อย่างไรก็ตามพวกมันยังแสร้งทำสงบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไป

 

“ท่านจ้าวตำหนัก ดูท่าพวกมันคงมิคิดให้ความร่วมมือกับเราแต่โดยดี”

 

หากกู่มี่มาคนเดียวมันคงลงมือด้วยวิธีของมันไปแล้ว ทว่ามีต้วนหรูเฟิงมาด้วย มันไม่กล้าลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

“กู่มี่ เจ้าต้องรายงานเรื่องไร้สาระให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร?”

 

ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกเสียงเย็น เมื่อไม่พบตัวต้วนหลิงเทียนในใจย่อมมีความกังวลขึ้นมาไม่น้อย

 

ยิ่งไปกว่านั้นไหนเลยมันจะสัมผัสไม่ได้ว่าตอนนี้เจียงเว่ยและคนอื่นๆ กระวนกระวายใจเพียงใด

 

เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้เรื่องต้วนหลิงเทียนดี แต่กล้าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้!

 

“ท่านจ้าวตำหนัก!”

 

ทันทีที่ได้ยินกู่มี่เรียกหาต้วนหรูเฟิง ใบหน้าของเจียงเว่ยและพวกเผยความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

 

คำ จ้าวตำหนัก นี้ ผู้คนทั่วไปไม่อาจใช้เรียกกันได้สุ่มสี่สุ่มห้า

 

ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามีขุมพลังอันร้ายกาจไม่น้อย แต่ผู้ที่กล้าเรียกตัวเองว่าจ้าวตำหนัก ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากขุมพลังที่มีอำนาจปกครองแดนดิน!

 

คำ จ้าวตำหนัก นี้ส่วนใหญ่แล้วใช้เรียกผู้นำขุมพลังตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป!

 

ผู้นำขุมพลังตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป!!

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ได้ เจียงเว่ยและอาวุโสรู้สึกเสมือนจะหน้ามืดตามัวขึ้นมาเสียให้ได้ คล้ายตอนนี้มีเมฆหมอกทมิฬปกคลุมพวกมันก็ไม่ปาน

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยเสียงเตือนของเจียงเว่ยทำให้ทุกคนดึงสติกลับมาได้ทันที

 

“บางที มันอาจจงใจเรียกหาเช่นนี้เพื่อขู่ขวัญพวกเรา”

 

นี่คือวาจาที่เจียงเว่ยส่งผ่านปราณแรกกำเนิดมา

 

หลังที่ได้ยินคำเตือนของเจียงเว่ย อาวุโสทั้งหลายก็หวนกลับมาสงบใจได้ทันที พอได้คิดพวกมันยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมาเช่นกัน เพราะไหนเลยผู้นำขุมพลังชั้น 5 หรือเหนือกว่านั้นจะมาเยือนสำนักจันทร์จรัสแสงของพวกมันได้?

 

สำนักจันทร์จรัสแสงของพวกมันก็แค่ขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น

 

ต่อหน้าขุมพลังชั้น 5 ขึ้นไป พวกมันก็ไม่ต่างจากมด!