ตอนที่ 1940

 

“สวัสดี!”

 

ร่างของเซี่ยปิงก็กะพริบขึ้นมาทันที ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าซู่จี เจียงยารุ ฉู่หลงและยวีชีชีทั้งสี่คนพร้อมกับเอ่ยทักทาย “พวกเจ้ากําลังไปที่ไหนกันหรือ?”

 

เขาก็มองทั้งสี่คนตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูเหมือนว่าการที่ไม่ได้พบกันนาน ซู่จี เจียงยารุ ฉู่หลงและยวีชีชีทั้งสี่คนจะมีเสน่ห์ขึ้นมาก งดงามอย่างไร้ที่ติ มีกลิ่นอายของการเป็นนักบุญหญิงของนิกายให้ความรู้สึกที่ไม่อาจเอื้อม

 

หากเดินออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าจะทําให้ลูกศิษย์ผู้ชายจํานวนมากแค่ไหนของนิกายที่รู้สึกด้อยค่า รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับพวกเธอ ไม่กล้าที่จะมองพวกเธอตรงๆ

 

“พวกเรากําลังไปที่โถงหลักของนิกายเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของลูกศิษย์หน้าใหม่”

 

เจียงยารุก็ตอบกลับไป

 

การทดสอบของลูกศิษย์หน้าใหม่?!

 

เซี่ยปิงก็กะพริบตา เขาก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน ซู่จี เจียงยารุ ฉู่หลงและยวีซีชีทั้งสี่คนเหมือนจะเข้าร่วมกับนิกายฟ้าดินได้เพียงไม่นาน ยังคงเป็นลูกศิษย์ใหม่ของนิกาย

 

ดังนั้นพวกเธอจึงต้องเข้าร่วมการทดสอบนี้เช่นกัน

 

สําหรับซู่เหม่ย หนานกงหวูและชิวซุยทั้งสามคนนั้น เป็นเพราะว่าพวกเธอเข้าร่วมกับนิกายฟ้าดินในสถานะสาวรับใช้ของเซี่ยปิง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่มีภาระหน้าที่ต้องทําอะไรเพื่อนิกาย ไม่จําเป็นที่จะต้องเข้าร่วมการทดสอบของลูกศิษย์หน้าใหม่นี้

 

“จริงสิ นี่เจ้าก็กําลังจะไปเข้าร่วมการทดสอบด้วยรึ?”

 

ซู่จีเอ่ยถามอย่างสงสัย เธอไม่ได้พบกับเซี่ยปิงมาเป็นระยะเวลานาน เพราะถึงอย่างไรเจ้านี่ก็มักจะปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับ ออกเดินทางไปทั่วทั้งจักรวาล ไม่รู้ว่าก่อกรรมทําชั่วมามากมายแค่ไหน

 

“ใช่ จุดหมายของข้าก็เป็นเหมือนกับพวกเจ้า ทว่าข้าไม่ได้ไปเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ แต่เป็นผู้ควบคุมดูแลการทดสอบครั้งนี้ เพราะถึงอย่างไรใครกันที่ใช้ให้ข้าเลื่อนตําแหน่งกลายเป็นอาวุโสของนิกาย เฮ้อ ยิ่งมีความสามารถมากแค่ไหน หน้าที่ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”

 

เซี่ยปิงยืนไขว้มือไว้ข้างหลังในขณะที่เอ่ยออกมาอย่างวางท่า

 

เพราะถึงอย่างไรใครกันที่จะคิดได้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาก็เลื่อนขึ้นจากตําแหน่งลูกศิษย์ไปสู่ตําแหน่งผู้อาวุโส จากผู้เข้าร่วมการทดสอบกลายเป็นผู้ควบคุมดูแลการทดสอบ

 

“โอ้อวดคุยโว โอ้อวดคุยโวต่อไป”

 

ฉู่หลงก็กัดมุมปากและมีแรงกระตุ้นที่ต้องการจะอัดเจ้าบัดซบนี้อย่างปาเถื่อนอยู่ในใจลึกๆ

 

“หึหึ”

 

ยวีชีชีก็เพียงแค่หัวเราะแห้งๆออกมาพร้อมกับกําหมัดขึ้นมาอย่างแน่น เหมือนว่าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

 

“จริงสิ ตอนนี้การบ่มเพาะของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เซี่ยปิงก็เอ่ยถามอย่างสงสัย

 

ไอ้ลูกหมา!

 

ซู่จี เจียงยารุ ฉู่หลงและยวีชีชีทั้งสี่คนก็กัดฟันอย่างแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟ พวกเธอก็รู้ว่าสาเหตุที่เจ้าบัดซบนี้ตั้งใจถามคําถามเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการที่จะโอ้อวดพรสวรรค์ของตนเอง ต้องการวางมาดใหญ่โตต่อหน้าพวกเธอ!

 

“ไม่ค่อยได้บ่มเพาะเท่าไหร่ เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาในระดับหล่อหลอมสมบัติขั้นสูงเท่านั้นเอง”

 

เจียงยารุก็กัดฟันพูดออกมา

 

“ระดับหล่อหลอมสมบัติขั้นสูง? เยี่ยม เยี่ยม ความเร็วการบ่มเพาะเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย เปรียบคนเหนือกว่าก็ด้อย เปรียบคนด้อยกว่าก็เหนือ หวังว่าพวกเจ้าจะหมั่นเพียรพยายามต่อไป ถือว่ามีศักยภาพทีเดียว บางทีอาจจะมีโอกาสแตะถึงส้นเท้าของข้าได้”

 

เซี่ยปิงก็เผยท่าทางของผู้อาวุโสที่ชี้แนะเด็กรุ่นหลัง ให้กําลังใจพวกเธอ

 

เปรียบคนเหนือกว่าก็ต้อย เปรียบคนด้อยกว่าก็เหนือ?!

 

เมื่อได้ยินคําเหล่านี้ ซู่จี เจียงยารุ ฉู่หลงและยวีชีชีก็รู้สึกหดหู่มากยิ่งขึ้น ในบรรดาลูกศิษย์หน้าใหม่ทั้งหมดนั้น พวกเธอก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจํานวนมากแค่ไหนที่ชื่นชมและนับถือพวกเธอ

 

ทว่าคําพูดของเจ้าบัดซบนี่คืออะไรกัน เปรียบคนเหนือกว่าก็ด้อย เปรียบคนด้อยกว่าก็เหนือ? จะบอกว่าพรสวรรค์ของพวกเธออยู่ในระดับกลางๆเท่านั้นรึ?!

 

ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเทียบกับเจ้าสัตว์ประหลาดเซี่ยปิงนี้ไม่ได้จริงๆ ทว่าเมื่อได้ยินคําพูดวางมาดอวดดีของเจ้าบัดซบนี้แล้ว พวกเธอก็ยังรู้สึกมีน้ําโหขึ้นมา

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าเพียรพยายามเข้าล่ะ บางทีสักวันในอนาคตพวกเจ้าอาจจะมีโอกาสยืนอยู่บนเวทีเดียวกับข้า” เซี่ยปิงก็ทิ้งท้ายถ้อยคําที่หยิ่งทะนงเหล่านี้ก่อนที่จะจากไป

 

“บัดซบเอ๊ย นี่มันน่าโมโหเกินไป สุดท้ายแล้วเจ้าบัดซบนั่นกําลังหมายความว่าอย่างไรกัน? ต้องการที่จะยั่วยุพวกเราเพียงเท่านั้นหรือ?” ซู่จีก็กําหมัดขึ้นมา ต้องการที่จะพุ่งกระโจนเข้าไปอัดเจ้าบัดซบเซี่ยปิงจนใบหน้าบวมเป่งกลายเป็นหมู

 

“เป็นการอวดความสามารถของตนเอง หลังจากที่ได้เป็นผู้อาวุโสแล้ว เขาก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น หยิ่งยโสมากขึ้น”

 

ยวีชีชีก็โมโหจนกัดฟันอย่างแน่น การที่ไม่ได้เห็นเจ้ามนุษย์สารเลวนี่เป็นระยะเวลานาน ไม่คาดคิดว่าจะเป็นบุคคลที่ยั่วโมโหยิ่งนัก ยิ่งมีท่าทางที่กวนโอ๊ยมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“พวกเราจะต้องบ่มเพาะกันอย่างขยันขันแข็ง อย่าให้เจ้าบัดซบนั่นทําให้พวกเรารู้สึกด้อยค่า”

 

เจียงยารุก็กัดฟันพูดออกมา

 

“พูดถูก ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะต้องตามเจ้านั่นจนทัน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะดูสิว่าเขาจะยังอวดดีได้อีกหรือไม่” ฉู่หลงก็โมโหไม่น้อย ไม่เคยเห็นผู้ชายคนใดที่กวนโอ๊ยเช่นนี้มาก่อน

 

เห็นได้ชัดว่าได้กลายเป็นผู้อาวุโสของนิกายฟ้าดิน ไม่คาดคิดว่าจะวางมาดใหญ่โตต่อหน้าพวกเธอ ลูกศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ต้องการโอ้อวดพรสวรรค์ของตนเอง

 

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เจ้านี่ไม่ว่าจะไต่เต้าขึ้นไปในระดับสูงแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเป็นบุคคลที่บัดซบเช่นเดิม ไม่ได้รักษาท่าที่หรือมีความสง่าผ่าเผยมากขึ้นแม้แต่น้อย

 

ซู่ ซู่ ซู่!!

 

พวกเธอก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ รีบบินออกไปสู่โถงหลักของนิกายอย่างรวดเร็ว

 

ภายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งสี่คนก็มาถึงที่โถงหลัก ในช่วงเวลานี้ก็มีลูกศิษย์หน้าใหม่จํานวนมากที่รวมตัวกันอยู่แล้ว แบ่งออกกันเป็นแถวๆ มีระเบียบวินัยกันอย่างมาก

 

พวกเธอก็สังเกตเห็นว่าบนเวที่มีผู้นํานิกายจูเซี่ยน รวมถึงผู้อาวุโสของนิกายอีกมากกว่าสิบคนซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเซี่ยปิงเช่นกัน ทว่าเจ้าบัดซบนั่นก็ยังคงอวดดีไม่เลิก ไม่คาดคิดว่าจะยืนอยู่ ในตําแหน่งตรงกลางเวที อีกทั้งยังยืนไขว้มือไว้ข้างหลังทั้งสองข้างและมีสีหน้าที่ไม่แยแสผู้ใด

 

ทว่าบรรดาลูกศิษย์หน้าใหม่ที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็จับจ้องไปที่เซี่ยปิงซึ่งอยู่ตรงกลางเวที พวกเขาต่างก็มีสีหน้าที่คลั่งไคล้และตื่นเต้นอย่างมาก ราวกับได้เห็นดารานักแสดงดัง แต่ละคนต่างก็พูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม

 

“แม่เจ้า นั่นคือศิษย์พี่เซี่ยปิงหรือ? ในที่สุดข้าก็ได้เห็นยอดฝีมือที่แท้จริง”

 

“ว่ากันว่าเขาเข้าร่วมกับนิกายฟ้าดินได้เพียงไม่กี่ปี ทว่ากลับเลื่อนขั้นขึ้นมาถึงระดับกฎเทวรูปแล้ว กลายเป็นบุคคลในระดับผู้อาวุโส ตอนนี้ก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลการทดสอบของลูกศิษย์หน้าใหม่ มีหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของการทดสอบนี้”

 

“ไม่มีทาง นี่เขาเข้าร่วมได้เพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นหรือ? จะมีพรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์มากไปแล้ว อายุยังน้อย ไม่คาดคิดว่าจะเลื่อนขั้นขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ดั่งปีศาจที่แท้จริง หากให้เวลาเขา การที่จะพัฒนาเป็นเซนต์ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ใช่รึ?”

 

“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ว่ากันว่าในตอนที่ศิษย์พี่เซี่ยเข้าร่วมกับนิกายฟ้าดินใหม่ๆ ผู้คนทั่วทั้งนิกายฟ้าดินต่างก็ให้ความสนใจเขาเป็นอย่างมาก แม้แต่เซนต์อสูรมืดที่ไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ก็ต้องการทาบทามเขามาเป็นศิษย์ให้ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทําให้ผู้คนทั่วทั้งทางตะวันออกของจักรวาลต้องตกใจไปตามๆกัน”

 

“นอกจากนี้ศิษย์พี่เซี่ยก็ไม่ได้ทําให้เซนต์อสูรมืดต้องผิดหวังเลย มีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ก้าวข้ามผ่านบรรดาลูกศิษย์ในรุ่นเดียวกันทั้งหมด อีกทั้งยังเลื่อนตําแหน่งขึ้นมาจนอยู่ในระดับผู้อาวุโส”

 

“ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นในศูนย์กลางของจักรวาลก็ได้ส่งลูกศิษย์จํานวนหนึ่งมาเพื่อทําการประเมินศิษย์ ทว่าพวกเขากลับมั่นใจในความสามารถของตนเองมากเกินไป ต้องการที่จะสร้างอุปสรรคขวากหนามให้กับศิษย์พี่เซี่ย ทําให้การทดสอบยุ่งยาก ไม่คาดคิดว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะถูกศิษย์พี่เซี่ยอัดจนบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ก็ยังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ยังไม่สามารถออกมาได้”

 

“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป ไม่ใช่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือ? ลูกศิษย์แต่ละคนของที่นั่นก็ราวกับเป็นบุตรที่สวรรค์ประทานมา ลูกศิษย์ของนิกายระดับเซนต์อย่างพวกเราไม่ใช่คู่มือของพวกเขาไม่ใช่หรือ?”

 

“มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ทว่าก็อาจจะเป็นเพราะว่าศิษย์พี่เซี่ยมีพรสวรรค์ที่มากเกินไป แม้แต่ลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็ไม่อาจจะเทียบเคียงเขาได้”

 

“บุคคลอย่างศิษย์พี่เซี่ยเหมาะที่ถูกเรียกว่าวีรบุรุษของโลกที่แท้จริง”

 

“หากข้ามีพรสวรรค์ของศิษย์พี่เซี่ยแม้เพียงเสี้ยวเดียว คาดการณ์ได้ว่าข้าจะสามารถกวาดล้างคู่ต่อสู้ทุกคนในรุ่นเดียวกันได้”

 

ลูกศิษย์ของนิกายฟ้าดินจํานวนมากก็พูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม มองเซี่ยปิงด้วยสายตาที่เคารพนับถืออย่างแท้จริง

 

หากผู้นํานิกายและบรรดาผู้อาวุโสไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ บางทีพวกเขาก็อาจจะรีบพุ่งถาโถมกันเข้าไปและขอลายเซ็นจากเซี่ยปิง

 

เพราะว่าผลงานต่างๆที่เซี่ยปิงได้สร้างไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก ทว่าแต่ละอย่างก็เป็นเรื่องที่สะท้านฟ้าสะท้านสวรรค์ นี่ก็ทําให้ลูกศิษย์ของนิกายฟ้าดินจํานวนมากมองเขาเป็นบุคคลตัวอย่างมองเขาเป็นเป้าหมายที่จะต้องไล่ตามไปให้ถึง

 

บางครั้งการที่ออกเดินทางไปข้างนอก เพียงแค่เอ่ยชื่อของเซี่ยปิงขึ้นมา ก็เพียงพอที่จะทําให้ลูกศิษย์ของนิกายอื่นๆหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะดูถูกดูแคลนอีก